กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 180 ยังกล้าบอกว่าไม่ใช่เจ้าอีกหรือ? (1)
ตงฟางเจ๋อรู้สึกได้ถึงการกระทำของนาง สายตาพลันชะงัก ทว่ากลับไม่ขยับหนี
ปลายนิ้วดั่งหยกขาวไล้ผ่านหว่างคิ้วของชายหนุ่มอย่างอบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ สัมผัสอย่างนุ่มนวลสุดแสน ราวกับสิ่งที่นางกำลังสัมผัสคือจิตวิญญาณที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตนี้ ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งร่าง ความรู้สึกที่ถูกหวงแหนเช่นนี้…นอกจากเสด็จแม่ เขายังไม่เคยได้รับมันจากผู้อื่นเลยสักครั้ง!
ครั้นเห็นคิ้วคมเข้มของเขาคลายปม กลีบปากของนางก็หยักยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เผยให้เห็นรอยยิ้มจริงใจที่หาดูได้ยาก พาให้ใจสั่นไหว ราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิชโลมใจให้สดชื่น หัวใจของเขาที่ผ่านการฝึกฝนท่ามกลางวังวนแห่งอำนาจมานานหลายปีจนกลายเป็นเหมือนเหล็กกล้า พลันจมดิ่งสู่ความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ตงฟางเจ๋อสายตาสั่นไหว พลันยกมือขึ้นกุมปลายนิ้วของนาง เสี้ยววินาทีหนึ่ง ซูหลีเหมือนมองเห็นนัยน์ตาอันลึกล้ำของเขาที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์มีคลื่นความรู้สึกป่วนพล่าน ทว่ากลับอบอุ่นยิ่งนัก
“ท่านอ๋องเพคะ…” นางอดไม่ได้ที่จะขานเรียก เมื่อน้ำเสียงเย็นใสประกอบกับสายลมยามราตรี ยิ่งทำให้ฟังดูมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร นางรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเสียงตนเองเล็กน้อย “พวกเราจะไปไหนหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อกุมมือนาง แย้มยิ้มไม่ตอบ แต่กลับสอดมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบผ้าต่วนสีแดงยาวๆ แถบหนึ่งออกมาปิดตานางเอาไว้
ซูหลีอึ้งงัน หมายจะปัดออกตามสัญชาตญาณ ทว่ากลับถูกเขากุมมือไว้แน่น
ดวงตาถูกผ้าสีแดงปกคลุม การมองเห็นถูกบดบัง โลกของนางแปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง มีเพียงกลิ่นอายสะอาดสะอ้านหอมสดชื่นของเขาที่เติมเต็มประสาทสัมผัสของนางในยามนี้
เขาจะพานางไปที่ใดกันแน่? ทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ถึงขนาดที่ต้องเอาผ้าปิดตานาง! ทันใดนั้น หัวใจพลันกระสับกระส่าย นางขมวดคิ้วขานเรียก “ตงฟางเจ๋อ!”
เขาขานรับ “อืม” เบาๆ ข้างหูนาง เสียงทุ้มต่ำฟังดูเบิกบาน คล้ายกำลังดีใจที่ได้ยินนางเรียกชื่อเขา ซูหลีชะงักเล็กน้อย เบือนหน้าหนีอย่างขัดเขิน ตงฟางเจ๋อหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่เอ่ยมากความ เพียงตวัดแส้เฆี่ยนม้า ตะโกนเสียงดัง ‘ย่าห์’ แล้วโอบกอดนางพุ่งทะยานออกจากริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้
จุดหมายปลายทางเป็นปริศนา ขณะเดียวกันกับที่ทำให้คนกระสับกระส่าย ก็ยังทำให้รู้สึกคาดหวังและแปลกใจด้วย ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เขาบังคับม้าให้หยุด แล้วอุ้มนางลงจากหลังม้า นางได้ยินเสียงคลื่นแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่ไม่ไกล ที่แท้เดินทางมาตั้งนาน ก็วนอยู่รอบแม่น้ำเองหรอกหรือ? พวกเขาออกจากแม่น้ำหลานชาง แล้วก็กลับมาที่แม่น้ำหลานชางอีกครั้ง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น!
ขณะกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้น เบื้องหน้ามีเงาร่างคนเคลื่อนไหว คล้ายมีคนเดินเข้ามา ตงฟางเจ๋อเดินตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเข้ามาในห้องกว้างขวางห้องหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือนาง แล้วหัวเราะเบาๆ ข้างหู กล่าวว่า “ข้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าหนึ่งชิ้น วางไว้ในห้องนี้ ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป หากเจ้าหาเจอ ก็เป็นของเจ้า แต่ว่า…ห้ามถอดผ้าปิดตาออก!” เขาเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค
ซูหลีหลุดหัวเราะ มีใครที่ไหนให้ของขวัญผู้อื่นแบบนี้กัน?
“ปิดตาหาของ ของขวัญของท่านอ๋องชิ้นนี้ ช่างไร้ความจริงใจยิ่งนัก! ซูหลีจะเอามาทำอะไรเล่าเพคะ? ท่านอ๋องเก็บไว้เองเถิดเพคะ!” นางกล่าวเสียงเรียบ ยกมือหมายจะดึงผ้าปิดตาออก ทว่ากลับได้ยินตงฟางเจ๋อกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างไม่ร้อนใจ “ถ้าหากของขวัญชิ้นนี้ เป็นแหวนอีกวงของแหวนหยกขาวคู่นั้นเล่า?”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ มือบางชะงักค้างกลางอากาศ แหวน? ถึงแม้ถูกผ้าปิดตาไว้ แต่กลับไม่อาจปกปิดสีหน้าตกตะลึงของนางได้ แหวนหยกขาวอีกหนึ่งวงที่ราชวงศ์เปี้ยนหมกมุ่นหนักหนา และเกี่ยวข้องกับความลับเรื่องชาติกำเนิดของมารดานางน่ะหรือ? บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของนางอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ยามหลับตาฝันนางก็อยากได้! เพียงแต่…เหตุใดจึงมาอยู่กับตงฟางเจ๋อได้เล่า?
ตงฟางเจ๋อมองดูสีหน้าของนางที่เปลี่ยนแปลงไปมา สายตาพลันไหวระริก หัวเราะเสียงเบา กล่าวว่า “ในเมื่อซูซูไม่อยากได้ เช่นนั้นก็ช่างเถิด!” เอ่ยจบ เขาก็หมุนกายทำท่าจะเดินจากไป
ซูหลีรีบร้องเรียก “เดี๋ยวก่อนเพคะ!”
ตงฟางเจ๋อชะงักฝีเท้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำไม? หรือซูซูเปลี่ยนใจแล้ว?”
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “ถึงแม้จะไม่จริงใจมากพอ แต่อย่างน้อยก็เป็นน้ำใจจากท่านอ๋องที่แม้คนอื่นร้องขอก็ยังไม่มีวันได้รับ ซูหลีจะกล้าทำให้ท่านอ๋องเสียน้ำใจได้เช่นไรเล่าเพคะ! เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะสามารถบอกใบ้ให้หน่อยได้หรือไม่ ห้องที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ อีกทั้งหม่อมฉันเองก็มองไม่เห็น ถ้าหากท่านอ๋องเอาของไปซ่อนไว้บนคานห้อง แม้ซูหลีจะตามหาจนหัวหมุน ก็หาไม่เจอหรอกเพคะ!”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะ ตอบว่า “ของสิ่งนั้น…อยู่ในที่ที่เจ้าเอื้อมถึง”
ซูหลีอึ้งงัน ค่อยๆ เริ่มคลำหาไปข้างหน้า ตงฟางเจ๋อยืนจ้องนางอยู่ข้างหลัง ทุกการเคลื่อนไหว ทุกสีหน้า คล้ายไม่อยากให้เล็ดลอดสายตาไปแม้แต่น้อย
ซูหลีเดินไปไม่กี่ก้าว ก็คลำเจอเสาที่มีขนาดเท่าปากชามต้นหนึ่ง พลันอึ้งงันไป ห้องทั่วไปไม่มีของแบบนี้อยู่ ถึงแม้มีก็ควรเป็นเสาที่ทำจากไม้ นางขมวดคิ้ว สัมผัสได้ว่าในอากาศมีความชื้นแฝงอยู่ จึงชะงักเท้า นางรู้สึกเหมือนตนเองเดินมาจนถึงขอบอ่างอาบน้ำแล้ว จึงก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดมากนัก เสียงหัวเราะของตงฟางเจ๋อก็ดังมาจากข้างหลัง พลางกล่าวว่า “ข้าจะบอกใบ้ให้เจ้าหนึ่งอย่าง ของสิ่งนั้นอยู่บนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ติดกับหน้าต่างฝั่งตะวันออก”
โต๊ะเตี้ย หน้าต่างฝั่งตะวันออก นางหันหน้าไปทางนั้นโดยสัญชาตญาณ ถึงแม้มองไม่เห็น แต่สมองของนางกลับมีภาพหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน โต๊ะเตี้ยตัวยาวที่ทำจากไม้การบูรตัวหนึ่ง วางอยู่ใต้หน้าต่างที่หันไปทางแม่น้ำ…
โรงเตี๊ยมริมแม่น้ำ?! นางสะท้านไปทั้งร่าง แทบจะหลุดปากโพล่งออกไป ยกมือดึงผ้าปิดตาลงทันที แล้วหันไปมองเขา สายตาของเขาลึกล้ำดั่งมหาสมุทร สีหน้าของนางสับสนตึงเครียด ในใจพลันเย็นเยียบ
“ดูท่าซูซูไม่ต้องควานหาก็รู้แล้วว่ามันอยู่ที่ใด!” ตงฟางเจ๋อยังคงมีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า แต่สายตากลับคมปลาบ
ซูหลีสะดุ้งเล็กน้อย ปลายนิ้วที่กำผ้าต่วนสีแดงเริ่มกำแน่นจนซีดขาว นางเม้มปากแน่น เดินไปทางโต๊ะเตี้ยโดยไม่พูดจา หยิบถุงผ้าต่วนขึ้นมาเปิดดูเบาๆ ด้านในมีแหวนหยกขาวอยู่หนึ่งวงตามคาด!
ซูหลีสายตาเป็นประกาย ทว่ากลับหมองลงในชั่วพริบตา
แหวนหยกขาวมันวาว รูปแบบดูคล้ายเรียบง่าย แต่ฝีมือกลับประณีตยิ่ง ด้านในแหวนสลักอักษรซับซ้อนที่ไม่รู้ความหมายเอาไว้ เทียบกับแหวนวงเก่าของนางแล้ว เหมือนกันแทบทุกประการ! แต่หากมองดูอย่างละเอียด แหวนหยกขาววงนี้แม้ละเอียดประณีต แต่กลับไม่อาจเทียบกับแหวนวงเก่าของนาง ครั้นสังเกตอักษรลายบุปผาที่ถูกสลักไว้ด้านในอีกครั้ง ก็พบว่ามีร่องรอยเหมือนเพิ่งถูกสลักใหม่รางๆ นางยกมาเทียบกับนิ้วชี้ของตนเอง พบว่ามันใหญ่กว่านิ้วนางเล็กน้อย
สีหน้าซูหลีพลันเคร่งเครียด วางแหวนวงนั้นไว้ที่เดิม หันหน้ากลับมากล่าวพร้อมรอยยิ้มหยัน “แหวนวงนี้ทำจากหยกชั้นดี แต่กลับทำขึ้นในเมืองหนานจวิ้น แคว้นเฉิง ฝีมือแกะสลักประณีต แต่รอยมีดยังใหม่เอี่ยม เหมือนแหวนของท่านหญิงหมิงอวี้มากจริงๆ เพคะ”
“อ้อ?” ตงฟางเจ๋อเหลือบมองแหวนวงนั้นคล้ายไม่อนาทรร้อนใจนัก เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าก็แค่เห็นว่าซูซูชอบแหวนวงนั้นยิ่งนัก จึงตั้งใจทำเลียนแบบมาเอาใจซูซูหนึ่งวง นึกไม่ถึงว่าจะถูกซูซูจับได้ง่ายดายเพียงนี้”
เอาใจนาง? เกรงว่าจะมีจุดประสงค์อื่นมากกว่า!
ซูหลีหยิบแหวนขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา แย้มยิ้มอ่อนๆ “ท่านอ๋องรออยู่ที่ริมฝั่งน้ำตั้งนาน พาซูหลีมาที่นี่ในยามวิกาล เพียงเพื่อเอาใจเท่านั้นจริงหรือเพคะ?”
สีหน้าตงฟางเจ๋อพลันเรียบขรึมเล็กน้อย สายตาคมปลาบดั่งมีด จ้องมองนางตรงๆ น้ำเสียงกลับแยกแยะอารมณ์ไม่ออก “หากซูซูไม่ชอบ ความตั้งใจของข้า ก็คงสูญเปล่าเสียแล้ว”
ซูหลีนิ่งงัน เพียงมองหน้าเขานิ่งๆ ไม่เอ่ยคำใด
…………………………………………….