กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 183 ข้อตกลงระหว่างนางกับเขา (2)
ดวงตาเปล่งประกาย นางครุ่นคิดด้วยสายตาเข้มขรึม ก่อนจะหันไปถามเขาด้วยเสียงแช่มช้า “ท่านอ๋องอยากกำจัดพิษในร่างกายหรือไม่เพคะ?”
จู่ๆ ได้ยินนางถามถึงเรื่องนี้ ตงฟางเจ๋ออึ้งงัน มองนางด้วยสายตาคมปลาบ ถามว่า “เจ้ามีวิธีหรือ?”
ซูหลีคลายผ้าห่มที่หุ้มร่ายกายออก กระชับอาภรณ์ที่หลุดลุ่ยเบาๆ ไม่ได้ตอบคำถามทันที
ตงฟางเจ๋อเองก็ไม่เร่งเร้า ราวกับรู้ว่าประเด็นสำคัญของนางไม่ใช่เรื่องพิษในร่างกายเขา เพียงมองนางด้วยสายตาเรียบเฉยและใจเย็น
ซูหลีรีบไตร่ตรองเป็นการด่วน คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่นางจะสามารถคิดได้ ถึงแม้จะมีอันตราย แต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว อย่างไรนางก็ต้องเตรียมแผนสำรองไว้ให้ตัวเอง!
พิษดอกฉิงฮวาที่อยู่บนตัวหลีซูติดตัวมาตั้งแต่เกิด ฉะนั้นซูหลีจึงมีความรู้เกี่ยวกับพิษชนิดนี้มากเป็นพิเศษ
คืนนั้นนางเองก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาถูกพิษ เพียงแต่นางถูกพิษจากรากดอกฉิงฮวาตั้งแต่ยังเล็ก ต้องไปแช่กายในยาพิเศษที่อารามฝอกวงทุกปี วันนั้นนางเพิ่งจะไปที่อารามฝอกวง แต่กลับถูกเรียกตัวกลับมาโดยด่วนเพราะฝ่าบาทพระราชทานพิธีแต่งงานให้ ระหว่างทางพิษกำเริบ จึงจำต้องมาแช่กายรักษาอาการในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะกระโดดเข้ามาในอ่างอาบน้ำด้วยร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส พิษดอกฉิงฮวาที่เพิ่งถูกขับออกจากร่างกายนางจึงซึมซาบเข้าไปในกระแสเลือดของเขา โชคดีที่พิษไม่ร้ายแรง ขอเพียงเขาระมัดระวังไม่ใช้พลังเกินแปดส่วน ก็จะยังไม่เป็นอุปสรรคใหญ่ แต่ตงฟางเจ๋อเป็นคนเช่นไร ถึงแม้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้มีภัยแฝงซ่อนอยู่ในร่างกายตนเองไปตลอดชีวิต! ทว่ายามนี้พอได้ยินนางเอ่ยถึง เขากลับมีใบหน้าเรียบนิ่ง เหมือนไม่สนใจแม้แต่น้อย!
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เปิดปากกล่าวว่า “พิษของดอกฉิงฮวาแบ่งออกเป็นส่วนดอกและราก พิษต่างกันแต่กลับส่งผลเชื่อมโยงกัน คนทั่วไปหากโดนพิษนี้อาจไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นคนที่มีวรยุทธ์กลับไม่เป็นผลดีนัก ยิ่งวรยุทธ์สูงส่ง เมื่อพิษกำเริบก็ยิ่งอันตราย เส้นลมปราณไหลย้อนกลับ ง่ายมากที่ธาตุไฟจะแตกซ่าน หากหนักหน่อยเส้นลมปราณก็จะแตกสลาย เป็นอันตรายถึงชีวิต!” นางจงใจเน้นย้ำผลข้างเคียงของพิษ พลางสังเกตสีหน้าของเขาอย่างละเอียด
แต่ตงฟางเจ๋อกลับยังคงมีสีหน้าปกติ เอนกายพิงขอบเตียงด้วยท่าทางเกียจคร้าน ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แม้แต่น้อย
นิ่งสงบถึงเพียงนี้ สมแล้วที่เป็นเจิ้นหนิงอ๋อง! ซูหลีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “…ดูจากท่าทางของท่านอ๋อง คล้ายไม่ค่อยสนใจนัก หรือท่านอ๋องไม่อยากแก้พิษเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อเงยหน้า หัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้าย่อมอยาก!”
ซูหลีได้ยินก็กระดกคิ้ว ถามเสียงขรึม “เช่นนั้นท่านอ๋องก็ไม่เชื่อว่าหม่อมฉันสามารถหายาแก้พิษได้?”
ตงฟางเจ๋อหรี่ตา ไม่ได้พูดอะไร สายตาเปลี่ยนผันไปมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน คล้ายไม่พอใจท่าทางเจรราด้วยสีหน้าจริงจังของนาง เขาเอื้อมมือออกไปดึงตัวนางเข้ามา
ซูหลีไม่ได้ระวังตัว ร้องตกใจ ถลาเข้าไปในอ้อมอกเขา
ซูหลีรู้สึกอ่อนแรง นึกหงุดหงิดขึ้นมา ทว่าบุรุษที่อยู่ข้างล่าง ยามนี้สายตากลับคมปลาบ คล้ายต้องการมองทะลุเปลือกนอกเข้าไปในจิตใจของนาง ซูหลีหัวใจสั่นไหว รีบหยุดความคิดอันยุ่งเหยิงของตนเอง ได้ยินเพียงเขากล่าวเสียงแช่มช้า “ซูซูมากความสามารถดังคาด แม้แต่พิษลับแห่งราชวงศ์เปี้ยนก็ยังรอบรู้ ข้าสงสัยยิ่งนัก เจ้าจะไปหายาแก้พิษดอกฉิงฮวานี้มาได้เช่นไร?”
ซูหลีหัวใจเต้นรัว รู้สึกได้ว่าสายตาเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่เหมือนกำลังตั้งคำถาม กลับเหมือนมีความมั่นใจบางอย่างแฝงอยู่
“หม่อมฉันจะไปหามาอย่างไร ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องถามมากความ เอาเป็นว่าซูหลีมีวิธี ขอเพียงท่านอ๋องรับปาก…”
“หากข้าไม่รับปากเล่า?” สีหน้าเขาไม่แปรเปลี่ยน กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายถึงเพียงนั้น ราวกับเป็นเรื่องล้อเล่น
เหมือนถูกน้ำเย็นสาดหน้า ซูหลีชะงักงัน ลืมไปจนสิ้นว่ายามนี้พวกเขาอยู่ในท่าทางคลุมเครือขนาดไหน ชั่วขณะหนึ่งกลับพูดไม่ออก
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเข้ม “เมื่อใดที่เสด็จพ่อมีรับสั่งลงมาแล้ว ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เจ้าผิดกฎมาแล้วสองหน หากยังคิดโลภมาก ผลที่ตามมาจะร้ายแรงยิ่ง!” เสียงเข้มขรึมคล้ายกำลังขู่ แต่ก็เหมือนกำลังเตือนด้วยความหวังดี
ซูหลีย่อมเข้าใจความหมายของเขา จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้ หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ ฉะนั้นท่านอ๋องทรงวางใจได้ หม่อมฉันไม่มีทางฝืนใจผู้อื่นแน่นอนเพคะ”
“อ้อ?” ตงฟางเจ๋อคล้ายผิดคาด ยกมือปัดปอยผมที่บดบังดวงตานาง สายตาที่แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนจ้องหน้านางอย่างไม่วางตา “เช่นนั้น ลองบอกทางเลือกของเจ้ามาให้ข้าฟัง”
ซูหลีอยากเจรจากับเขาอย่างจริงจัง แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือของเขาในยามนี้ แล้วยังช่วยนางปัดปอยผมอีก…ช่างเป็นการเกี้ยวพาราสีที่ชัดเจนยิ่งนัก! ซูหลีร้อนผ่าวไปทั้งตัว พยายามควบคุมจิตใจ มองเขาแล้วกล่าวว่า “อย่างที่ท่านอ๋องทรงกล่าว สามวันให้หลัง การคัดเลือกพระสวามีอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น แต่ตอนนี้…หม่อมฉันยังไม่อยากแต่งงานเพคะ! ฉะนั้นหม่อมฉันอยากขอร้องท่านอ๋อง…เลื่อนการแต่งงานออกไปก่อน โดยอ้างว่าจะไว้ทุกข์สองปีเพคะ”
ความหมายในวาจาชัดเจนมาก นางจะเลือกเขา ทว่ากลับไม่อยากแต่งงานกับเขาทันที! ตงฟางเจ๋อสายตาขรึมลงเล็กน้อย สายตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกจ้องมองนางไม่วางตา
เหลียงกุ้ยเฟยเพิ่งจะสิ้นพระชนม์ได้หนึ่งปี ถึงแม้ตำแหน่งพระสนมจะไม่สูงเท่ามารดาแห่งแผ่นดิน ลูกหลานไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์นานถึงสามปี แต่ตงฟางเจ๋อเป็นลูกที่กตัญญูต่อบุพการี ทุกคนในใต้หล้าล้วนรู้ดี หากเขาใช้ข้ออ้างเช่นนี้ ขอร้องให้ฝ่าบาทเลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อน น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก! ขอเพียงเขายอม
เดิมทีตงฟางเจ๋อเองก็ตั้งใจไว้อย่างนี้เหมือนกัน หลังจากที่เสด็จแม่จากไป จิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไว้ทุกข์เพื่อมารดาที่จากไปสามปีเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ครั้นวาจานี้ออกจากปากนาง ใจเขากลับรู้สึกไม่ยินดีนัก นางเหมือนกลัวที่จะต้องแต่งงานกับเขามาก? หรือว่า นางกลัวที่จะต้องแต่งงานกับทุกคน!
“จากนั้นเล่า?” เขาถามขึ้น เขาไม่มีทางไร้เดียงสาจนคิดว่า นางโยนเหยื่อล่อเช่นการแก้พิษให้ แล้วยังเลือกเขาเป็นพระสวามี จากนั้นจะขอแค่เลื่อนงานแต่งออกไปโดยไร้เงื่อนไขใด นางไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางปล่อยให้เขาเอาเปรียบแน่นอน
ซูหลีตอบ “เงื่อนไขของหม่อมฉันง่ายมากเพคะ ภายในสองปีนี้ หากหม่อมฉันต้องการยกเลิกงานแต่ง ท่านอ๋องต้องให้ความร่วมมืออย่างไร้ข้อโต้แย้ง!”
มือที่กำลังปัดปอยผมพลันค้างเติ่ง ชายหนุ่มหรี่ตา ไอเย็นเยียบพาดผ่านดวงตาจนน่าตกใจ
“เจ้าคิดจะหลอกใช้ข้า?” เสียงนิ่งขรึม แสดงให้เห็นถึงความไม่สบอารมณ์ในใจ ตงฟางเจ๋อเอื้อมมือจับแขนเนียนขาวของนาง แล้วดึงตัวนางเข้ามา
กลิ่นอายอันตรายพลันแผ่กำจายไปทั่วห้อง
ซูหลีตกใจ รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องกล่าวหนักไปแล้ว! ซูหลีมีหรือจะกล้าหลอกใช้ท่านอ๋อง ท่านอ๋องและซูหลีต่างก็ได้สิ่งที่ต้องการ นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น ระยะเวลาสองปี จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ซูหลีเพียงอยากให้พวกเราสองคนมีเวลาทำความรู้จักกันมากขึ้น เช่นนั้นจึงจะมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายใช่คนที่ตนเองอยากใช้ชีวิตร่วมด้วยหรือไม่!”
ครั้นสูญเสียแรงค้ำจากแขนทั้งสองข้าง นางก็นอนทับอยู่บนแผงอกของเขาอย่างช่วยไม่ได้ ในแผงอกกำยำของชายหนุ่ม เสียงหัวใจเต้นที่ดังออกมารัวเร็วกว่ายามปกติถึงสามส่วน และนางในยามนี้ หัวใจก็เต้นรัวดั่งกลอง ไม่รู้ว่าส่วนลึกในใจ ต้องการฟังคำตอบเช่นใดจากปากเขากันแน่
…………………………………………