กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 185 ที่แท้นางคือหลีซู (1)
นางพยักหน้าโดยสัญชาตญาณ ระยะเวลาสองปี น่าจะนานพอที่ต่างฝ่ายต่างมั่นใจในความรู้สึกของตนเองแล้ว
“ท่านอ๋อง…ยอมตกลงแล้วหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อตอบพลางแย้มยิ้ม “ข้ารับปากเจ้า สองปีให้หลัง เจ้าจะต้องกลายเป็นพระชายาของข้าเจิ้นหนิงอ๋องอย่างแน่นอน ภายหน้าหากข้าก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุด เจ้าก็จะกลายเป็นฮองเฮาแห่งแคว้นเฉิง ฮองเฮาเพียงหนึ่งเดียวของข้าตงฟางเจ๋อ” ในน้ำเสียงอบอุ่นมั่นคงของเขา แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพะเน้าพะนอ
ซูหลีอึ้งงัน หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เพียงหนึ่งเดียว! นี่คือสัญญาที่เขาให้นางงั้นหรือ? แต่สัญญาเช่นนี้ นางกลับไม่กล้าเชื่อง่ายๆ
เขาหยัดกายขึ้นประทับจุมพิตอ่อนโยนลงบนหน้าผากนาง บางเบาจนเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ ทว่ากลับมีอานุภาพเหนือกว่าจูบเผด็จการที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาก่อนหน้านี้หลายเท่า หัวใจของซูหลีพลันสับสนยุ่งเหยิง
ค่ำคืนนี้ เมื่อแรงปรารถนาจางหายไป ความอ่อนโยนและเงียบสงบก็เข้ามาแทนที่ โชคชะตาที่พัวพันกันของนางกับเขา เพิ่งจะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริงตั้งแต่นี้เป็นต้นไป…
หากจะบอกว่าพักนี้ในเมืองหลวงที่ไหนคึกคักมากที่สุด ย่อมต้องเป็นที่จวนอัครเสนาบดี!
ตอนแรกก็คุณหนูรองแห่งจวนอัครเสนาบดีได้รับการอวยยศให้เป็นท่านหญิง แล้วยังแหกกฎกลายเป็นขุนนางหญิงขั้นหนึ่ง เป็นที่เชิดหน้าชูตาอีก ยามนี้คุณชายใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีที่ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้ประพันธ์และเรียบเรียงหนังสือ ‘หย่าซ่งแห่งแคว้นเฉิง[1]’ เขาใช้เวลาสามปี ในการไปเยี่ยมเยียนและขอคำชี้แนะอันล้ำค่าจากสิบนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคปัจจุบัน จนในที่สุดก็ได้ออกมาเป็น ‘หย่าซ่งแห่งแคว้นเฉิง’ ผลงานชิ้นเอกที่ร่วมเรียบเรียงโดยเหล่านักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นเฉิง!
ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เขาได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจากฮ่องเต้ด้วยเรื่องนี้ เพียงเขาประพันธ์และเรียบเรียงผลงานระดับตำนานร่วมกับสิบนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงของเขาก็จะกลายเป็นที่กล่าวขานกันสืบต่อไปอีกเนิ่นนาน ดังเช่นที่คนธรรมดาไม่อาจทำได้ ด้วยเหตุนี้ ขุนนางทั้งหลายจึงพากันมาเยี่ยมเยียน หน้าประตูจวนสกุลซูคลาคล่ำไปด้วยรถม้า ชื่อเสียงและเกียรติยศของจวนอัครเสนาบดีโดดเด่นไม่เป็นสองรองผู้ใด
เห็นแก่ในอดีตที่ซูฉุนเคยเป็นห่วงนาง ซูหลีรู้สึกว่าสมควรไปเยี่ยมเขาสักครั้ง แต่เพียงแค่มองจากที่ไกลๆ ก็เห็นซูฉุนกำลังยืนแย้มยิ้มบางๆ อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เหมือนดาวล้อมเดือน เหล่าขุนนางที่อยู่ในวงการมานาน ต่างพากันปั้นหน้ายิ้มประจบประแจง นางไม่ชอบเลยจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงรีบหมุนกายกลับไปยังเรือนหลังเล็กที่ทั้งสะอาดและสงบหลังเก่า นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางลานบ้าน หลับตาพริ้ม อาบแดดอย่างผ่อนคลาย ซึมซับมุมสงบที่หาได้ยากยิ่งในจวนอัครเสนาบดี
“ซูซู!” เสียงขานเรียกอบอุ่นพลันดังมาจากด้านหลัง ซูหลีลืมตาทันที หันไป ก็เห็นซูฉุนที่เดิมควรอยู่ต้อนรับเหล่าขุนนางอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า กำลังเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
ไม่เจอกันครึ่งปี ซูฉุนที่คลุกคลีอยู่แต่กับตัวหนังสือทุกคืนวัน กลิ่นอายหนังสือรอบกายเขายิ่งเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้เขาดูเหมือนนักปราชญ์ผู้มีความรู้กว้างไกล ยิ่งขับเน้นให้เขาสง่างามและอ่อนโยน
“พี่ใหญ่!” ซูหลีลุกขึ้นขานเรียก ถึงแม้นางกับซูฉุนเคยเจอกันเพียงไม่กี่หน แต่นางกลับขานเรียกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซูฉุนต่างจากทุกคนในครอบครัวสกุลซู เขามีความภาคภูมิและซื่อตรงดังเช่นที่ผู้มีความรู้พึงมี ไม่โลภในชื่อเสียง ไม่เอนเอียงไปตามอำนาจ แยกแยะถูกผิด อบอุ่นและให้ความสำคัญกับมิตรภาพ เป็นคนที่หาได้ยากยิ่ง! ได้ยินมาว่าเขากับตงฟางจั๋วค่อนข้างใกล้ชิดกัน ตรงกันข้ามกลับค่อนข้างมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับตงฟางเจ๋อที่ซูเซียงหรูคอยสนับสนุนอยู่ ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด?
ซูหลีเดินไปหาเขา กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม “ในจวนมีแขกมาแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่มากมาย ยามนี้ยังไม่กลับไป เหตุใดพี่ใหญ่จึงมีเวลามาหาข้าได้เล่าเจ้าคะ?”
พอเอ่ยถึงขุนนางหล่านั้น แววรำคาญพลันพาดผ่านดวงตาซูฉุน เขาดึงมือนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนพวกนั้นมีท่านพ่อคอยต้อนรับอยู่แล้ว พวกเราพี่น้องไม่ได้เจอกันครึ่งปี มา ขอพี่ใหญ่ดูหน่อย…อืม ดูเหมือนซูซูจะสูงขึ้นอีกแล้ว!” เขายิ้มกว้างพลางยกมือวัดระดับความสูงอยู่เหนือศีรษะนาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นใจ เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า เขาเงยหน้ามาเห็นแผ่นหลังของนางพอดี ไม่รู้เพราะเหตุใด น้องสาวที่สนิทกันขนาดนั้น เขากลับเกือบจำนางไม่ได้
มองดูดวงหน้างามที่ปกปิดปานแดงเรียบร้อย ซูฉุนอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างชื่นชม “มิน่าเล่าองค์ชายจากสามแคว้นต่างพากันแย่งกันสู่ขอเจ้า ที่แท้ซูซูของเราก็เติบโตเป็นโฉมสะคราญงามล่มเมืองแล้วนี่เอง!”
“พี่ใหญ่เองก็องอาจผ่าเผยกว่าครึ่งปีที่แล้วยิ่งนัก หากไปเดินบนถนนเช่นนี้ เกรงว่าเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงที่ยังไม่ได้ออกเรือน คงต้องพากันป่วยเป็นไข้ใจแน่นอน!” ซูหลีหลุบตาแย้มยิ้มบางๆ ดวงตาสุกสกาวสดใส
ไม่รู้เป็นเพราะว่าซูหลีคนก่อนไม่เคยล้อเล่นเช่นนี้กับเขาหรือไม่ ซูฉุนอึ้งงัน มองพิจารณานางขึ้นลง ส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ได้ยินคนบอกว่าเจ้าเปลี่ยนไปมากในครึ่งปีที่ผ่านมา ข้ายังไม่เชื่อ วันนี้ดูแล้วคงไม่ใช่ข่าวลือ! มีสง่าราศีปานนี้ ท่าทางก็สงบเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ หากมิใช่ว่าอยู่ในเรือน ข้าคงไม่กล้าเข้ามาทักส่งเดช!”
ซูหลีสายตาไหวระริกเล็กน้อย เงยหน้าถามว่า “เปลี่ยนไปเช่นนี้ไม่ดีหรือเจ้าคะ?”
“เปล่าเลย! ดีมาก! แบบนี้ดีมาก!” ซูฉุนรีบกล่าวขึ้น ยื่นมือตบไหล่นางเบาๆ “น้องสาวของข้า ควรเป็นแบบนี้แหละ!” เชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตนเอง โดดเด่นยิ่งนัก
รอยยิ้มของเขาบริสุทธิ์และอ่อนโยน พาให้ผู้พบเห็นนึกถึงแสงยามรุ่งอรุณ ทั้งอบอุ่นและชวนให้รู้สึกสบายใจ
ซูหลีได้รับอิทธิพลจากรอยยิ้มของเขา พลอยรู้สึกอบอุ่นหัวใจไปด้วย นางแย้มยิ้ม กล่าวว่า “พี่ใหญ่จากบ้านไปครึ่งปี เมื่อคืนเพิ่งมาถึง วันนี้เพิ่งกลับจากราชสำนักก็ถูกผู้คนห้อมล้อมชวนสนทนาเป็นเวลานาน คงเหนื่อยแล้วกระมัง รีบเข้ามาดื่มชาในเรือนเถิด”
ครั้นเชิญเขาเข้าไปในเรือน โม่เซียงก็รีบยกชาใหม่มาให้
ซูฉุนยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ พลางกวาดมองรอบข้าง แล้วกล่าวด้วยความอิจฉา “เรือนของซูซูดีกว่าจริงๆ! ถึงแม้ชื่อเสียงรุ่งโรจน์ ทว่ากลับยังสามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายสงบสุข ไม่มีผู้ใดรบกวนเช่นนี้ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!”
ซูหลียกถ้วยชาขึ้น แย้มยิ้มเล็กน้อย มุมปากที่เม้มเบาๆ มีแววขมฝาดพาดผ่านชั่วพริบตา ความรุ่งโรจน์…สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงเปลือกนอก ผู้ใดเล่าจะมองเห็นเบื้องหลังของความรุ่งโรจน์ว่านางทุ่มเทและลำบากขนาดไหน! ทว่า… หลังจากที่ลบล้างมลทินสำเร็จ หัวใจของนางก็สงบสุขกว่าเมื่อก่อนมากจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนฝันร้ายทุกคืน หรือนอนไม่หลับบ่อยๆ อีก โดยเฉพาะหลังจากทำข้อตกลงสองปีกับตงฟางเจ๋อ สองสามวันมานี้หัวใจของนางก็ไม่มีเรื่องให้กังวลมากขนาดนั้นแล้ว จึงใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจยิ่งกว่าเดิม
“พี่ใหญ่เจ้าคะ อีกไม่กี่วัน ข้าก็ต้องย้ายออกแล้ว ฝ่าบาทพระราชทานจวนให้ข้า ยามนี้ซ่อมแซมและปรับปรุงเสร็จแล้ว” นางเงยหน้ามองเรือนที่อาศัยอยู่มากว่าครึ่งปีหลังนี้ ในยามที่นางลำบากและเผชิญหน้ากับความลังเลที่สุด นางล้วนผ่านเรื่องราวทั้งหมดในที่แห่งนี้ หลังจากนี้ เรือนหลังนี้คงต้องถูกทิ้งให้รกร้าง! จู่ๆ นางก็รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าแววปวดใจที่พาดผ่านดวงตานางเพียงเสี้ยววินาที กลับถูกซูฉุนมองเห็นเข้า เขาอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูนาง ยกมือตบแขนนางเบาๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวว่า “หากไม่อยากย้าย ก็อยู่ต่อเถิด! จวนที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เจ้า เป็นการแสดงพระมหากรุณาธิคุณเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องย้ายเข้าไปอยู่ก็ได้ เจ้าเป็นบุตรีสกุลซู รั้งอยู่ที่จวนสกุลซู ไม่มีผู้ใดว่าอะไรได้!”
ซูหลีส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม กล่าวด้วยสายตามั่นคง “อาศัยอยู่ที่นี่มาก็นานแล้ว ถึงเวลาต้องเปลี่ยนสถานที่บ้างแล้วเจ้าค่ะ”
ซูฉุนไม่ได้เกลี้ยกล่อมมากไปกว่านั้น ด้วยมองว่านางเพียงทอดถอนใจให้กับความอยุติธรรมที่ได้รับในหลายปีที่ผ่านมาเท่านั้น จึงยิ้มบาง แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “ซูซูมีความสุขก็ดีแล้ว!” เอ่ยจบก็ล้วงกล่องเครื่องประดับขนาดเล็กและยาวที่สลักลวดลายประณีตออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้ซูหลี ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใด ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย คล้ายกำลังรอดูปฏิกิริยาของซูหลีเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
ซูหลีรับไปด้วยความสงสัย เมื่อเปิดออกดู พบว่าเป็นปิ่นปักผมไม้จันทน์ที่มีหยกสีเขียวมรกตร้อยติดอยู่ ปลายปิ่นสลักรูปดอกเหมยอย่างประณีต แทบจะมองเห็นลวดลายของกลีบดอกได้อย่างชัดเจน กลิ่นไม้จันทน์หอมสดชื่นลอยแตะปลายจมูก ยังมีกลิ่นหอมอันสง่างามของดอกเหมยผสมอยู่จางๆ ช่างมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ซูหลีมองแวบเดียวก็รู้สึกชื่นชอบทันที นางถามอย่างเบิกบานใจ “พี่ใหญ่ สิ่งนี้…ให้ข้าหรือเจ้าคะ?”
…………………………………………
[1] หย่าซ่ง (雅颂) หย่า (雅) คือบทเพลงในราชสำนัก ซ่ง (颂) หมายถึง บทเพลงบูชาบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในพิธีบวงสรวง (อ้างอิงมาจากบท 风雅颂 ของหนังสือรวมเพลงพื้นบ้านและเพลงพิธีการในราชสำนัก 《诗经》)