กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 186 ที่แท้นางคือหลีซู (2)
ซูฉุนงงงัน ราวกับคำถามประโยคนี้ของนางประหลาดยิ่ง นัยน์ตาอบอุ่นกวาดมองใบหน้านาง “ปิ่นปักผมนี้เป็นของเจ้าแต่แรกแล้ว คราก่อนซูชิ่นไม่ระวังทำเสียหาย เจ้าร้องไห้อยู่หลายวัน ข้าให้คนนำไปซ่อม แต่ไม่มีโอกาสคืนให้เจ้าเสียที นึกไม่ถึงว่าพริบตาเดียวเวลาล่วงเลยไปถึงครึ่งปีเสียแล้ว”
ซูหลีอึ้งค้าง ตั้งแต่ที่ดวงวิญญาณของนางมาสิงอยู่ในร่างคุณหนูรองแห่งจวนอัครเสนาบดีผู้นี้ มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เรื่องราวเก่าๆ ยามที่ซูหลียังมีชีวิตอยู่ นางแทบไม่รู้เลย โชคดีที่คนในจวนปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาและห่างเหิน จึงมีคนจำเรื่องในอดีตของนางได้ไม่มากนัก แต่ซูฉุนเป็นคนที่เป็นห่วงเป็นใยซูหลีมากที่สุด ชั่วขณะหนึ่ง นางพลันลนลาน รีบหลุบนัยน์ตาลงต่ำ พลางกล่าวเสียงเรียบ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ครึ่งปีมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ซูซูเองก็ลืมไปแล้ว ขอบคุณพี่ใหญ่มากนะเจ้าคะ! ซูซูชอบมาก”
ซูฉุนแย้มยิ้ม “ลำบากเจ้าแล้ว โชคดีที่ปิ่นซ่อมเสร็จแล้ว เจ้าชอบก็ดี” ก้มหน้าจิบชา คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย คล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่
สายตาซูหลีขรึมลง นางยกมือนวดขมับ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ซูฉุนกล่าวอย่างใส่ใจ “เมื่อคืนซูซูนอนไม่หลับหรือ? ใช่ปวดหัวเรื่องเลือกพระสวามีหรือไม่? จิ้งอันอ๋องและเจิ้นหนิงอ๋อง ล้วนเป็นท่านอ๋องที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน จิ้งอันอ๋องนิสัยหุนหันโมโหง่าย แต่ธาตุแท้ไม่ใช่คนเลว กอปรกับเป็นคนให้ความสำคัญต่อมิตรภาพยิ่ง ในราชสำนัก คนเช่นเขาถือว่าหายาก แต่เจิ้นหนิงอ๋องนั้น…” นอกจากเย็นชา ความคิดยากแท้หยั่งถึง และฉลาดปราดเปรื่องแล้ว ธาตุแท้ของเจิ้นหนิงอ๋องเป็นคนเช่นไร เขากลับบอกไม่ได้มาโดยตลอด
ซูหลีทอดถอนใจ เอ่ยว่า “กล่าวถึงจิ้งอันอ๋อง สองวันก่อนเขาป่วยหนัก ไม่รู้ว่าดีขึ้นบ้านหรือยัง? พี่ใหญ่สนิทสนมกับจิ้งอันอ๋อง วันนี้จะไปเยี่ยมเขาหรือไม่?”
ซูฉุนพยักหน้า แววกังวลพาดผ่านหว่างคิ้ว “ข้ากำลังคิดจะไปจวนจิ้งอันอ๋องพอดี ซูซูจะไปด้วยกันหรือไม่?”
ซูซูส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มบางพลางตอบว่า “ข้าไม่ไปดีกว่าเจ้าค่ะ หากจิ้งอันอ๋องเห็นข้า อาจไปกระตุ้นบาดแผลในใจ ไม่เป็นผลดีต่ออาการป่วย”
ซูฉุนเองก็ไม่ได้บังคับนางอีก เพียงกำชับให้นางดูแลสุขภาพ จากนั้นก็กล่าวลาและจากไป แล้วสั่งให้คนเตรียมรถม้า มุ่งหน้าไปยังจวนจิ้งอันอ๋อง ครั้นทหารเฝ้าประตูเห็นเขา ก็รีบวิ่งเข้าไปรายงานในเรือน
ยามนี้ล่วงเลยมาถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าต้นฤดูหนาวแล้ว ในเรือนไร้แสงตะวันสาดส่อง ไอหนาวพวยพุ่งรอบบริเวณ ซูฉุนเดินตามหวังอันเข้าไปในเรือน ยามเห็นตงฟางจั๋วที่กำลังเอนกายพิงเตียงและห่มผ้ามีใบหน้าซูบซีดด้วยอาการป่วย ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผ่านไปเพียงครึ่งปี จิ้งอันอ๋องที่หล่อเหลาสง่างาม มีรัศมีมังกรแผ่กำจายอยู่รอบกายในวันวาน กลับป่วยจนมีสภาพเช่นนี้! แต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดใจมากที่สุด ไม่ใช่รูปร่างภายนอกที่ซีดเซียวและผอมบางของเขา แต่เป็นสีหน้าเลื่อนลอย และแววตาไร้ชีวิตชีวาคู่นั้นของเขาต่างหาก
ชัดเจนว่าอาการป่วยของเขา เกิดจากใจ!
ซูฉุนอดทอดถอนใจไม่ได้
ตงฟางจั๋วเงยหน้า สายตาไม่ได้แปรเปลี่ยน เพียงพยักพเยิดไปทางด้านข้าง “เจ้ามาแล้วหรือ? นั่งเถิด”
ซูฉุนเองก็ไม่ได้เสียเวลาเกรงอกเกรงใจกับตงฟางจั๋ว แต่ก่อนเขาได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้เข้าวังมาเป็นสหายร่วมเรียนกับเหล่าท่านอ๋อง สำหรับท่านอ๋องที่ดูใจร้ายผู้นี้ เมื่อได้ทำความรู้จักกันจึงค่อยค้นพบว่าแท้จริงเขาเป็นคนที่ไม่เลว เพียงแต่มีฐานะสูงส่ง กอปรกับเป็นโอรสองค์เดียวของฮองเฮา ตั้งแต่เยาว์วัยหากอยากได้ลมต้องได้ลม อยากได้ฝนต้องได้ฝน ถูกตามใจจนทำให้เกิดนิสัยแย่ๆ ซูฉุนทอดถอนใจ “เห็นสภาพของท่านอ๋องแล้ว กระหม่อมไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าท่านคือจิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋วที่เคย ‘สังหารอสุรกายด้วยมือเปล่า’ ผู้นั้น!”
“สังหารอสุรกายด้วยมือเปล่า…” ตงฟางจั๋วสายตาไหวระริก นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อแปดปีก่อน! ตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบสี่ปี ทหารรักษาความปลอดภัยจับสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่งมาจากนอกเมือง ปรากฏว่าสัตว์ป่าตัวนั้นกระโดดออกจากกรงไปทำร้ายผู้คนมากมาย เหล่าฝูงชนวิ่งหนีด้วยความแตกตื่น ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ มีเพียงเขาที่ต่อสู้กับสัตว์ป่าดุร้ายตัวนั้นด้วยมือเปล่า ไร้ซึ่งความเกรงกลัว ถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่สุดท้ายก็กำราบสัตว์ป่าตัวนั้นสำเร็จ และได้รับคำชมจากเสด็จพ่อ…
“เรื่องเมื่อนานมาแล้ว หากเจ้าไม่เอ่ยถึงข้าคงลืมไปแล้ว!” ตงฟางจั๋วกล่าวหยันตนเอง
ซูฉุนกลับเอ่ยว่า “แต่กระหม่อมยังจำได้แม่น ยามนั้นท่านอ๋องกล้าหาญชาญชัย มีปณิธานแรงกล้า ทั้งยังตรัสว่าใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดมีค่าพอให้ท่านเกรงกลัว! แต่ท่านอ๋องในยามนี้…ป่วยเป็นไข้ใจ หงอยเหงาเศร้าสร้อย ทรมานตนเองถึงขั้นนี้ ไม่เหมือนท่านอ๋องคนเก่าแม้แต่น้อย!”
ตงฟางจั๋วยิ้มขมฝาด เอ่ยถามว่า “ข้าคนก่อน ควรเป็นเช่นไรเล่า?” เขาเงยหน้ามองซูฉุน ผู้ที่เป็นสหายร่วมเรียนของเขาตั้งแต่ยามเยาว์วัย เขาเคยกลั่นแกล้งซูฉุนหลายครั้งหลายหนเพราะนิสัยเถรตรงของเขา แต่ต่อมาก็ค่อยๆ กลายเป็นชื่นชม ทั้งในและนอกวัง ทุกคนต่างพากันเคารพและกริ่งเกรงเขา เพียงเพราะเขาเป็นโอรสของฮองเฮาแห่งราชวงศ์ สิ่งที่ผู้คนมองเห็นมีเพียงฐานะของเขา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา มีเพียงซูฉุนคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เหมือนคนอื่น ฉะนั้นเขาจึงเห็นซูฉุนเป็นสหายเพียงคนเดียวของเขา! ต่อหน้าสหาย ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใดๆ เขาทอดถอนใจแล้วกล่าว “ซูฉุน เจ้าคงไม่เคยรักใครแน่ๆ!”
ซูฉุนอึ้งงันเล็กน้อย ได้ยินเพียงตงฟางจั๋วเอ่ยว่า “ฉะนั้นเจ้าจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าในตอนนี้…ก่อนที่คดีของหลีซูจะถูกรื้อ ข้ายังหลอกตัวเองได้ แต่ตอนนี้…” เสียงของเขาพลันสะดุด หลับตาอย่างเจ็บปวด “ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะไปจุดธูปเซ่นไหว้หลุมศพนาง ข้า…เจ้าเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นหรือไม่?”
ความเจ็บปวดปรากฏเด่นชัด ความสิ้นหวังแผ่ปกคลุมใบหน้าซูบเซียว ซูฉุนอึ้งงัน เห็นสหายรักมีสภาพเช่นนี้ เขากลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ตงฟางจั๋วพึมพำ “น้องของเจ้า…ซูหลี ข้าเคยคิดว่านางคือคนที่ฟ้าส่งมาชดเชยให้ข้า ทว่านึกไม่ถึง นางกลับเป็นบทลงโทษที่หลีซูส่งมา…มิน่าเล่านางกับหลีซูถึงได้เหมือนกันขนาดนั้น! บางครั้งข้าถึงกับเคยสงสัยว่านางก็คือซูซู!” เสียงหัวเราะอย่างโศกเศร้า พาให้คนฟังรู้สึกปวดใจตามไปด้วย
ซูฉุนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถามว่า “ท่านหญิงหมิงอวี้เป็นคนเช่นไร?”
“นางน่ะหรือ” ตงฟางจั๋วลืมตา มองดูคานห้องบนเพดาน แววตาเลื่อนลอยพลันจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ “นางดูสง่างามบริสุทธิ์ดังเช่นดอกหลี ทว่ากลับมีความทะนงตนเหมือนดอกเหมย นางชอบความเงียบสงบ มักทำให้คนรู้สึกว่านางเป็นคนเย็นชา แต่แท้จริงกลับมีนิสัยแกร่งกร้าวดั่งเปลวเพลิง…”
ซูฉุนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว
ตงฟางจั๋วกล่าวต่ออีกว่า “ยามนางยิ้ม สายตานางเรียบเฉย เหมือนดั่งบ่อน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบ่อ แต่ประกายสดใสของบ่อน้ำลึกบ่อนั้น กลับราวกับสามารถส่องสว่างไปถึงใจคน และหลอมละลายน้ำแข็งได้…นางเป็นสตรีที่ยากจะลืมเลือนตั้งแต่แรกพบ! ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรทำผิดต่อนาง…” เขาหลับตาแน่น หัวใจเจ็บปวดจนไม่อาจหายใจ
ตงฟางจั๋วไม่ได้บรรยายเค้าโครงใบหน้าของหลีซู แต่เงาร่างของคนผู้หนึ่งกลับผุดขึ้นมาในสมองของซูฉุน ก้มหน้าแย้มยิ้มบางๆ สายตาลึกล้ำดั่งบ่อน้ำ ประกายสดใสส่องสว่างใจคน ซูหลีน้องสาวของเขา คล้ายกับหลีซูที่ตงฟางจั๋วกำลังกล่าวถึงมาก!
ซูฉุนขมวดคิ้วเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “จะว่าไปแล้ว ก็น่าแปลกจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องใดแปลก?” ตงฟางจั๋วหันไปถาม
ซูฉุนครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “ซูซูนางมีนิสัยอ่อนแอและขี้กลัวมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่คนเป็นยังไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งกลัวผีเป็นพิเศษ…”
“กลัวผี?” ตงฟางจั๋วกล่าวทวนด้วยน้ำเสียงตกใจ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา เอ่ยอย่างมั่นใจ “เป็นไปไม่ได้! นางเป็นคนใจกล้ามาก! ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ทั้งที่นางรู้ฐานะของข้า แต่ก็ยังกล้าตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับข้าด้วยการตั้งคำถามและตำหนิข้า! ในพิธีคัดเลือกพระสวามี ยามนางเอ่ยถึงเรื่องวิญญาณเข้าฝัน อาจมีอารมณ์พลุ่งพล่าน มีเจ็บปวดบ้าง แต่กลับไม่มีความกลัวต่อวิญญาณที่มาเข้าฝันเลยแม้แต่น้อย! เจ้าลองคิดดู คนที่กลัวผี จะเผชิญหน้ากับเรื่องประหลาดเช่นวิญญาณเข้าฝันได้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนั้นได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นฝ่ายไปที่ห้องโถงไว้ทุกข์ของหลีซูที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เพื่อตรวจสอบศพของดวงวิญญาณอีกด้วย!”
………………………………………………………….