กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 188 นางไม่ใช่ซูหลี (1)
ม่านตาเย็นชา พลันมีแววดุดันพาดผ่าน โม่เซียงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รับคำและเดินออกจากเรือนไปอย่างลนลาน
ในเรือนเล็กๆ หลังนี้ เหลือแค่ซูหลีกับเหลียนเอ๋อร์เพียงสองคน เหลียนเอ๋อร์ร้องไห้จนแทบหมดแรง ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็ปวดใจสุดแสน รีบกุมหัวไหล่อันสั่นเทาของนางไว้ แล้วปลอบเสียงเบา “พวกนางโกหกเจ้า! เหลียนเอ๋อร์เด็กดี เจ้ามองข้าสิ หากข้าไม่ใช่คุณหนูของเจ้าแล้วจะเป็นใคร?” นางพยายามแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น พยายามทำให้เป็นธรรมชาติเหมือนยามอยู่กับเหลียนเอ๋อร์ในอดีต
เหลียนเอ๋อร์นิ่งอึ้ง มองนางด้วยแววตาสงสัย “พวกนางบอกว่า ท่านแค่หน้าเหมือนคุณหนูของข้าเท่านั้น!”
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ “พวกนางพูดจาเหลวไหล เหลียนเอ๋อร์ ข้าชอบดอกหลีมากที่สุดใช่หรือไม่?”
เหลียนเอ๋อร์รีบพยักหน้า สายตามีแววยินดีผุดขึ้นมา
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “ทุกปียามดอกหลีผลิบาน ข้าจะให้เจ้าไปชมดอกไม้ วาดภาพ ดีดพิณ ร่ายรำ เป็นเพื่อนข้าที่สวนหลี เจ้าบอกว่าข้าเป็นเซียนดอกหลีลงมาจุติ ยังจำได้หรือไม่?”
“อื้มๆ!” แววตาขุ่นมัวเพราะอาการสติฟั่นเฟือนของเหลียนเอ๋อร์พลันสว่างสดใส มือที่คลายออกจากเข่าจับซูหลีไว้แน่น พยักหน้ารัวๆ ถามอย่างร้อนใจ “ปีนั้นยามที่ดอกหลีเพิ่งเบ่งบาน คุณหนูอยากไปวาดภาพในสวน เหลียนเอ๋อร์ยังช่วยคุณหนูเด็ดดอกหลีมาตั้งหลายดอก ท่านน้าจิ้งหวั่นบอกว่าจะเอาไปทำขนมเซียงเกาให้คุณหนู…”
สายตาแฝงความคาดหวัง คล้ายต้องการยืนยัน พาให้รอยยิ้มของซูหลีขมขื่นเล็กน้อย ความทรงจำในอดีตซัดสาดเข้ามาดั่งคลื่นน้ำ ดอกหลีเบ่งบาน พานพบบุรุษรูปงาม สองฝ่ายคะนึงหา กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมในชาตินี้!
“คุณหนูวาดรูปดอกหลี งดงามที่สุด ต่อมามีคนผู้หนึ่งเข้ามา งดงามมากเช่นกัน…เขา…เขาผู้นั้นพอเห็นคุณหนู ก็อึ้งงันไป…” เหลียนเอ๋อร์ราวกับจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ
สายตาซูหลีหม่นหมอง หัวใจสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม แรกพบร่วมวาสนา พบกันอีกคราเมื่อยามตายจาก ชีวิตคนเราช่างไม่เที่ยงถึงเพียงนี้
“เขา…เขาชอบคุณหนูเหลือเกิน…เขาเป็นผู้ใดกันนะ เหตุใดข้านึกไม่ออก…” เหลียนเอ๋อร์เคาะศีรษะตัวเอง ท่าทางหงุดหงิดมาก
ซูหลีถอนหายใจ กล่าวว่า “เขาคือจิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋ว! ยามนั้นเจ้าเห็นเขาก็ยืนอึ้งไปเลย!”
ครั้นบุรุษที่เร้นกายอยู่บนต้นไม้ใหญ่นอกสวนได้ยินมาถึงตรงนี้ ร่างกายพลันสะท้าน เบิกตากว้าง คล้ายไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยิน! มองดูซูหลี แม้ห่างกันไกล แต่ความเจ็บปวดเพียงเสี้ยววินาทีที่นางหวนนึกถึงความทรงจำ กลับไม่อาจเล็ดลอดสายตาเขาไปได้ หัวใจเขาสั่นสะท้านจนแทบแหลกละเอียด
แทบจะหายไม่ออกอยู่แล้ว!
“ใช่แล้ว! เป็นจิ้งอันอ๋อง!” เหลียนเอ๋อร์ร้องขึ้นอย่างดีใจ “เขาเด็ดดอกหลีดอกหนึ่งมาเสียบที่เรือนผมคุณหนู เอ่ยวาจากับคุณหนูหลายประโยค…บอกว่าสามภพสามชาติไม่แยกจาก อะไรสักอย่าง…เขายังถามว่าคุณหนูชอบสิ่งใด จะมอบของขวัญให้คุณหนูหนึ่งชิ้น…” ถึงแม้สติฟั่นเฟือน สภาพจิตใจคล้ายไม่มั่นคง แต่เหลียนเอ๋อร์กลับจำเรื่องราวในอดีตของหลีซูได้อย่างแม่นยำ! นางเงยหน้ามองซูหลีอย่างร้อนรน สายตาคาดหวัง คล้ายเด็กน้อยที่กำลังพยายามจดจำใบหน้าของญาติสนิท
ซูหลีเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็อดสะอื้นขึ้นมาไม่ได้ ในใจพลันรู้สึกเปรี้ยวฝาด “ข้าบอกกับเขาว่า สิ่งที่ข้าต้องการ ผู้คนในโลกนี้ไม่มีใครให้ข้าได้! เพราะว่าดอกหลี ไม่อาจเบ่งบานไม่โรยราตลอดสี่ฤดูกาล…” ครั้นเอ่ยถึงเรื่องในอดีต นางสะดุดไปเล็กน้อย หวนนึกถึงสวนอีหยวนที่เคยไปเมื่อสองวันก่อน “แต่ข้ากลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะทำได้จริงๆ! เพียงแต่น่าเสียดาย สายเกินไปเสียแล้ว!”
มือสั่นเทาอย่างรุนแรง ดวงตาของตงฟางจั๋วพร่ามัว ถ้าหากเรื่องทั้งหมดนั้นหลีซูเล่าให้นางฟังผ่านความฝัน เช่นนั้นเสียงทอดถอนใจด้วยความเจ็บปวดที่มาจากใจเช่นนั้น มาจากที่ใดกัน?
“ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ! พอจิ้งอันอ๋องได้ฟังประโยคนี้ ก็อึ้งไปเลย ต่อมาเขายังเคยเขียนจดหมายให้คุณหนูหนึ่งฉบับ!” เหลียนเอ๋อร์แย้มยิ้มเบิกบาน คล้ายกลับไปเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาที่แสนน่ารักในอดีต
“จดหมาย!” หัวใจของซูหลีคล้ายถูกบางสิ่งทิ่มแทง เจ็บปวดรวดร้าว เหลียนเอ๋อร์ในตอนนี้ เหมือนเชือกแห่งความทรงจำที่ผูกมัดนางไว้ และฉุดนางลงไปในบ่อน้ำแห่งความทรงจำที่นางไม่อยากจดจำมากที่สุดอย่างไม่อาจขัดขืน
“มีจดหมายฉบับหนึ่งจริงๆ…” เสียงของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาเลื่อนลอย คล้ายดังมาจากส่วนลึกของความทรงจำ “นั่นเป็นกระดาษสาที่ทำจากดอกหลี ฝีมือประณีต ขนาดเท่าฝ่ามือ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ…ดอกหลีมิอาจเบ่งบานตลอดสี่ฤดูกาล แต่กระดาษสาดอกหลีแผ่นนั้นกลับสามารถคงอยู่ไปได้ตลอดชีวิต”
“ใช่แล้ว ผู้ที่นำกระดาษสามาส่งพูดเช่นนั้น คุณหนู ท่านยังจำได้ไหมเจ้าคะว่าบนกระดาษแผ่นนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง?”
“เขียนว่า…ไม่เจอเพียงหนึ่งวัน ใจคะนึงหาจนแทบบ้า ดอกหลีขาวดั่งหิมะ พาให้ใจข้าสลาย รอยยิ้มบางของโฉมตรู ปลอบประโลมคืนวันอันเปล่าเปลี่ยวของข้า จะกุมมือของท่าน อยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่า…” ขอบตาพลันร้อนผ่าว มีบางสิ่งต้องการไหลออกมาจากข้างใน ซูหลีรีบแหงนหน้า สูดหายใจลึกๆ ความทรงจำ เป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทานได้จริงๆ!
“ท่านคือคุณหนูของข้าจริงหรือ?! คุณหนู ท่านยังมีชีวิตอยู่จริงหรือเจ้าคะ? ท่านยังไม่ตาย! คุณหนู…” เหลียนเอ๋อร์ดีใจจนเกินเหตุ นางพุ่งตัวเข้ามากอดซูหลีไว้แน่น ไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้หรือหัวเราะ หรือบางทีอาจกำลังหัวเราะทั้งน้ำตา นางเอ่ยอย่างเบิกบานว่า “เช่นนั้นยังจำได้หรือไม่เจ้าคะ ว่ากระดาษสาแผ่นนั้นเก็บไว้ที่ใด?” คล้ายยังไม่อยากเชื่อว่าคุณหนูของนางยังอยู่บนโลกใบนี้
ซูหลีตบไหล่นางเบาๆ เอ่ยพลางทอดถอนใจเสียงแผ่ว “ย่อมจำได้อยู่แล้ว ข้าห่อมันไว้ในกล่องผ้าต่วนสีขาว และฝังมันไว้ใต้ต้นดอกหลีที่ข้าและเขาพบกันครั้งแรก! ตอนนั้นข้าไร้เดียงสายิ่งนัก คาดหวังในตัวเขา ทั้งยังหวังว่าความรักและคำสัญญาที่เขามอบให้ข้า นานวันไปจะยิ่งหยั่งรากลึกดังเช่นรากของต้นดอกหลีอายุร้อยปีต้นนั้น…”
“หลีซู!” เสียงขานเรียกเบาๆ ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดสุดแสน พลันดังมาจากข้างหลัง ดั่งสายฟ้าที่ผ่าลงมา ปลุกซูหลีตื่นจากภวังค์ทันที
ร่างบางพลันสะท้าน ซูหลีรีบปล่อยเหลียนเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมอก หันกลับไปมอง นัยน์ตาแหลกสลายเพราะความตกตะลึงและเจ็บปวดของชายหนุ่มสะท้อนชัดในม่านตาของนาง พาให้หัวใจนางสั่นสะท้านไปทั้งดวง
ซูหลีลุกขึ้นอย่างตกตะลึง
“ตงฟางจั๋ว?! ท่าน…เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้?!” ทันทีที่เอ่ยวาจาออกมา น้ำเสียงกลับเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง ไม่เหลือเค้าความเจ็บปวดและเลื่อนลอยดังเช่นเมื่อครู่ เขามาตั้งแต่เมื่อใด?! นางกลับไม่รู้ตัวสักนิด! วาจาเหล่านั้นที่นางเอ่ยกับเหลียนเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าเขาได้ยินไปมากน้อยเท่าไร?!
มองดูความลนลานที่พาดผ่านดวงตาเพียงเสี้ยววินาที และดวงหน้าเย็นชาที่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ตงฟางจั๋วรู้สึกเพียงหัวใจร้าวรานสุดแสน สาวเท้าก้าวใหญ่ๆ ไปหานาง รั้งตัวนางไว้แน่น กล่าวเสียงเจ็บปวด “เจ้า! ยังกล้าบอกว่าตนเองไม่ใช่หลีซู?!”
ซูหลีถูกเขาบีบแขนจนรู้สึกเจ็บ ขมวดคิ้วแน่น จ้องเขาอย่างเย็นชา เหลียนเอ๋อร์เห็นดังนั้น รีบกระโจนเข้ามาหมายจะดึงมือเขาออก ปากก็ร้องตะโกน “ท่านอ๋องเพคะ! ท่านอ๋องรีบปล่อยคุณหนูของข้าเถิดเพคะ! คุณหนูถูกปรักปรำ คุณหนูของข้าถูกปรักปรำเพคะ!”
ซูหลีกับตงฟางจั๋วอึ้งงัน ราวกับย้อนกลับไปในวันที่พาให้ใจเจ็บปวดและแหลกสลายอีกครั้ง ตงฟางจั๋วหัวใจสะท้าน คลายมือออกจากแขนนางโดยไม่รู้ตัว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง สายตาจับจ้องใบหน้าซูหลีเขม็ง ราวกับกลัวว่านางจะหายไปต่อหน้า
เหลียนเอ๋อร์เห็นตงฟางจั๋วปล่อยมือ ก็รีบกอดซูหลีไว้แล้วร้องตะโกน “คุณหนู คุณหนูรีบไปเร็วเถิดเจ้าค่ะ!” ท่าทางลนลานแตกตื่นของนาง เห็นชัดว่าไม่อาจแยกแยะความทรงจำและเรื่องจริงได้
ยามนี้โม่เซียงเดินเข้ามา ครั้นเห็นสถานการณ์นี้เข้า ก็อึ้งค้างไปทันที หมายจะถวายบังคมตงฟางจั๋ว กลับได้รับสัญญาณจากซูหลี บอกให้นางพาเหลียนเอ๋อร์เข้าไปในเรือน
………………………………………………………