กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 191 นางเป็นใครกันแน่? (1)
ถึงแม้ตกลงเงื่อนไขกันมาก่อนแล้ว ซูหลีก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งในน้ำเสียงเศร้าโศกและจริงใจของเขา นางพลันรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเงื่อนไขที่นางยื่นให้เขาในคืนนั้น เป็นเรื่องเกินความจำเป็น
ฮ่องเต้สายตาไหวระริก รู้มาตลอดว่าเขาเป็นเด็กกตัญญู ทว่านึกไม่ถึง ต่อหน้าสตรีที่ตนเองชมชอบ เพื่อรักษาความกตัญญู กลับยอมยืดงานแต่งออกไปถึงสองปี! ใต้ฟ้านี้ ไม่มีพ่อแม่คนไหน ไม่ชอบลูกที่กตัญญู! มองดูใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขา ถึงแม้เป็นบุรุษ แต่คิ้วและดวงตาของเขา กลับมีส่วนคล้ายกับเหลียงกุ้ยเฟย ในใจอดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดขึ้นมา
“จิตใจกตัญญูเช่นเจ้าหาได้ยากนัก! เสด็จแม่ของเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ จะต้องรู้สึกปลื้มใจเป็นแน่!” ฮ่องเต้ทอดถอนใจเสียงเบา เงยหน้ามองซูหลี “ท่านหญิงหมิงซีมีความเห็นใดหรือไม่?”
ซูหลีรีบตอบ “กตัญญูรู้คุณ คือคุณธรรมอันดับแรก ความกตัญญูของเจิ้นหนิงอ๋อง หมิงซีรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ยินดีทำตามพระบัญชาของฝ่าบาทเพคะ!”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าไม่มีความเห็นใด เช่นนั้นข้าก็จะอนุญาตตามคำขอของเจ๋อเอ๋อร์ อีกสองปีให้หลังค่อยจัดหลังพิธีแต่งงาน”
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านหญิงหมิงซี!” ฮ่องเต้หันมาทางซูหลี ซูหลีรีบก้มหน้ารับฟัง ฮ่องเต้กล่าว “ถึงแม้พิธีแต่งงานถูกเลื่อนออกไป แต่นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าก็ถือเป็นคนของราชวงศ์ ภายหน้าทุกการกระทำ จำต้องระวังรอบคอบ ไม่อาจทำผิดพลาด เป็นผลให้เสื่อมเสียเกียรติของราชวงศ์!”
“หมิงซีจะจำคำสอนของฝ่าบาทไว้อย่างดีเพคะ!”
“ดี” ฝ่าบาทหันไปมองตงฟางจั๋วที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แล้วหันไปมองฮองเฮา “ส่วนจั๋วเอ๋อร์ ฮองเฮาเรียกเหล่าสตรีที่มีรายชื่ออยู่ในพิธีคัดเลือกพระชายาเข้าวังมาอีกครั้ง เพื่อเลือกพระชายาให้เขา”
“ไม่จำเป็นแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ!” ตงฟางจั๋วลุกพรวด ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว พระพักตร์พลันบึ้งตึง ฮองเฮาเองก็ขมวดคิ้วทันที เห็นเพียงตงฟางจั๋วค้อมกายและกล่าวอย่างนอบน้อม “ลูกขอบพระทัยในความหวังดีของเสด็จพ่อ! แต่หลีซูเพิ่งพ้นจากมลทิน ลูก…ยังไม่อยากแต่งงานเร็วถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อโปรดอภัยให้ลูกด้วย!”
ฮ่องเต้มองหน้าเขาด้วยสายตานิ่งขรึมครู่หนึ่ง สุดท้ายก็โบกมือ “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า” น้ำเสียงแฝงแววหน่ายใจ คล้ายไม่อยากยุ่งอีก
ฮองเฮาพลันตึงเครียด มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อลอบกำหมัดแน่น ครั้นเห็นการคัดเลือกพระสวามีใกล้เสร็จสิ้น ฮ่องเต้ลุกขึ้นทำท่าจะเดินจากไป สีหน้านางเปลี่ยนเล็กน้อย หันไปมองนอกประตูอีกครั้ง สายตากลับเป็นประกายขึ้นมาทันที
ยามนี้ เกากงกงเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท หวังอันองครักษ์ประจำกายของจิ้งอันอ๋องบอกว่ามีเรื่องต้องการทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“หวังอัน?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้ม ฝีเท้าชะงัก เหลือบมองตงฟางจั๋ว แล้วถามเสียงเข้ม “เรื่องใดกัน?”
เกากงกงลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “บอกว่า…เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านหญิงหมิงซีพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านหญิงหมิงซี?” ฮ่องเต้ทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เหล่มองซูหลี ซูหลีรีบหลุบตาต่ำ กลบซ่อนความตกใจไว้ใต้แพขนตาหนา
ได้ยินเพียงเกากงกงกล่าวอย่างระมัดระวัง “เขาบอกว่า…เขาบอกว่ามีหลักฐานยืนยัน ว่าท่านหญิงหมิงซี…ไม่ใช่ซูหลี บุตรีแห่งจวนอัครเสนาบดี!”
ครั้นวาจานี้ออกจากปาก ทุกคนในตำหนักพลันสีหน้าเปลี่ยน จ้องมองจนเกากงกงเหงื่อซึมหน้าผาก ซูหลีพลันตึงเครียด หลักฐาน?! นางหันไปมองหน้าตงฟางจั๋ว ทว่านึกไม่ถึงว่าตงฟางจั๋วกลับทำหน้าตื่นตะลึง สายตาเย็นเยียบดั่งแผ่นน้ำแข็ง
ตงฟางเจ๋อเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของทั้งสอง พลันขมวดคิ้ว ได้ยินเพียงฮ่องเต้กำชับเสียงเข้ม “ให้เขาเข้ามา!”
ฮ่องเต้กลับไปนั่งอีกครั้ง สายตาที่จดจ้องใบหน้าซูหลี คมปลาบลึกล้ำอย่างบอกไม่ถูก
ซูหลีสะท้านใจเล็กน้อย ครั้นเห็นหวังอันประคองกล่องผ้าต่วนสีขาวไว้ด้วยสองมือ สีหน้านางพลันแปรเปลี่ยนหลายตลบ ก่อนจะรีบก้มหน้าลงไป
วาจาเหล่านั้นที่นางเอ่ยกับเหลียนเอ๋อร์เมื่อเช้า ไม่ได้มีแค่ตงฟางจั๋วที่ได้ยิน แม้แต่หวังอันก็ได้ยินหมดแล้ว! เขากลับไปขุดกระดาษดอกหลีที่นางฝังไว้ใต้รากต้นดอกหลีในปีนั้นเพื่อนำมาเป็นหลักฐาน? แต่หวังอันไม่ได้มีความแค้นใดกับนาง ตงฟางจั๋วเองก็เห็นชัดว่าไม่ได้เป็นผู้ออกคำสั่ง ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย ค้นพบว่าทุกคนในห้องนี้ มีเพียงฮองเฮาที่ภายนอกดูคล้ายตกใจ ทว่าในส่วนลึกของดวงตากลับนิ่งสงบไร้คลื่นอารมณ์ นางพลันกระจ่างขึ้นมาทันที!
ชีวิตคนเรา ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อดังคาด ในเมื่อหนีไม่พ้น นางตัดสินใจเงยหน้าขึ้น รีบเก็บงำอารมณ์ทั้งปวงไว้ในใจ รอคอยข้อสงสัยและคำถามที่กำลังจะต้องเผชิญอย่างสงบนิ่ง
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วแน่น สูดหายใจลึกๆ เงยหน้ามองหวังอันที่สาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาในตำหนัก องครักษ์ประจำกายที่ติดตามเขามาสิบกว่าปี ที่ผ่านมาภักดีไม่เคยมีใจเป็นอื่น ยามนี้กลับทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบไปทั้งหัวใจ
“กระหม่อมหวังอัน ถวายบังคมฝ่าบาทและฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!” คล้ายรู้สึกได้ถึงสายตาผิดหวังและเย็นชาของตงฟางจั๋วที่มองมา หวังอันตัวสั่นเล็กน้อย ไม่ได้หันมองเขา เพียงคุกเข่าก้มหน้าไปทางฮ่องเต้
ฮ่องเต้กล่าวเสียงเข้ม “เจ้าบอกว่าท่านหญิงหมิงซีไม่ใช่บุตรีจวนอัครเสนาบดีตัวจริง?”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“เช่นนั้นนางเป็นใคร?”
หวังอันเงยหน้าบอกว่า “ท่านหญิงหมิงอวี้แห่งจวนเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนในตำหนักสีหน้าตื่นตะลึง ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันเปิดปาก ฮองเฮาเบิกดวงตาหงส์กว้าง ตำหนิด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? พูดอีกทีซิ! เจ้ารู้หรือไม่ สร้างเรื่องลวงส่งเดชให้ร้ายท่านหญิงจะมีโทษสถานใด?”
หวังอันรีบกล่าว “ทูลฮองเฮา กระหม่อมไม่กล้าพูดจาเหลวไหล! กระหม่อมมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าท่านหญิงหมิงซีไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนอัครเสนาบดี แต่เป็นท่านหญิงหมิงอวี้แห่งจวนเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!” เขายกวัตถุที่ประคองไว้ในมือขึ้นเหนือศีรษะ ใบหน้าสงบนิ่ง “หลักฐานอยู่นี่ ฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ!”
“หวังอัน!” ตงฟางจั๋วสายตาตึงเครียด ตวาดเสียงกร้าวทันที แทบจะลุกขึ้นไปแย่งวัตถุในมือเขา ทว่ากลับถูกฮ่องเต้ตวัดมองด้วยสายตาคมปลาบ
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย สิบนิ้วที่อยู่ในแขนเสื้อลอบกำแน่น ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใด
เกากงกงรีบเดินเข้าไปรับกล่องผ้าต่วน และเปิดออกอย่างระมัดระวัง ด้านในมีซองจดหมายสวยงามฉบับหนึ่งวางอยู่ ในซองจดหมาย กระดาษสาที่ทำจากดอกหลีฝีมือประณีตแผ่นหนึ่งถูกดึงออกมา ปรากฏสู่สายตาฮ่องเต้
ฮ่องเต้กวาดตาอ่านเนื้อหาบนจดหมาย เป็นเพียงจดหมายรักแสดงความรู้สึกทั่วไปฉบับหนึ่ง ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ จึงขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่ลายมือของจิ้งอันอ๋องหรือ? เกี่ยวข้องกับฐานะของท่านหญิงหมิงซีอย่างไรกัน?”
“ทูลฝ่าบาท ของสิ่งนี้เป็นกลอนรักที่จิ้งอันอ๋องเคยเขียนให้ท่านหญิงหมิงอวี้ ฝ่าบาทโปรดอนุญาตให้กระหม่อมท่องกลอนให้ฟังด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“หวังอัน! เจ้า…” ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วแน่น หมายจะอ้าปากห้าม ทว่ากลับได้ยินเสียงฝ่าบาทตวาด “จิ้งอันอ๋อง! เจ้ากำลังกลัวสิ่งใดอยู่?!” ฮ่องเต้สีหน้าบึ้งตึง สายตาคมปลาบ น้ำเสียงแฝงความเย็นชา
ตงฟางจั๋วตัวสั่น รีบหุบปากทันที ก้มหน้าอดกลั้น กัดฟันอย่างกล้ำกลืน “ลูก…ไม่ได้กลัวสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ…”
“เช่นนั้นก็ให้เขาพูดให้จบ!” ฮ่องเต้ตัดบทอย่างเย็นชา น้ำเสียงไม่อนุญาตให้โต้แย้ง ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่ยามนี้พอเห็นตงฟางจั๋วขัดขวางด้วยความร้อนใจ กลับยิ่งเพิ่มความสงสัย “หวังอัน เจ้าจงบอกสิ่งที่เจ้ารู้มาให้หมด วันนี้หากไม่อาจพิสูจน์วาจาของเจ้าได้ โทษฐานลบหลู่เบื้องสูง ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าแน่! พูดมา!”
เสียงตวาดของฮ่องเต้ พาให้ทุกคนในตำหนักหัวใจสั่นสะท้าน
ในห้องเงียบกริบไร้สรรพเสียง
………………………………………………….