กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 193 พิสูจน์ตัวตน (1)
“เจ้า!” ยามนี้ตงฟางจั๋วหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ความคิดประหลาดนั้นเอาแต่จู่โจมสมองเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก!
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดขมวดคิ้ว มองซูหลีด้วยสายตาเข้มขรึม ซูหลีพลันรู้สึกหัวใจเย็นเยียบ นึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้ก็ถูกตรวจสอบด้วย ดูท่าความสงสัยที่ฮองเฮามีต่อนาง ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงวันหรือสองวันเท่านั้น เรื่องนี้ไม่เหมือนกับเรื่องอื่น หากไม่ระวัง อาจเป็นเหตุให้เรื่องหนีตามบ่าวในจวนซึ่งเงียบไปนานแล้วถูกนำกลับมาพูดถึงอีก ถึงแม้นั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่เมื่อถูกกล่าวถึง คนที่ไม่ประสงค์ดีก็อาจนำเรื่องนี้มาสร้างปัญหาให้นางอีกอย่างที่ยากจะเลี่ยงได้
ซูหลีสงบจิตใจ แย้มยิ้มบางๆ “นั่นเป็นเพียงเพราะวันนั้นหมิงซีถูกพี่สาวและฮูหยินทุบตี จึงจำเป็นต้องพูดจาเลอะเลือนไปตามสถานการณ์ เพียงหวังว่าพี่สาวจะเห็นซูหลีสติไม่ดี ไม่เค้นถามอะไรหมิงซีอีกก็เท่านั้น”
ครั้นเห็นนางสามารถตอบคำถามที่ดูเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ทุกคนต่างตกตะลึง ฮองเฮาใบหน้าตึงเครียด กล่าวเสียงเย็น “ถ้าเช่นนั้น คุณหนูซูก็ไม่ได้ไม่รู้ความดังเช่นที่เขาลือกัน แต่เป็นสตรีมากอุบาย!”
ฮองเฮาพูดว่าคุณหนูซู ไม่ใช่ท่านหญิงหมิงซี สรรพนามเรียกขานที่เปลี่ยนกะทันหัน ทำให้หวังอันชะงักงัน
เขารีบกล่าว “ฮองเฮาอย่าได้หลงกลสตรีจอมหลอกลวงผู้นี้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อวานใต้เท้าซูฉุนมาเยี่ยมท่านอ๋อง ได้กล่าวถึงเรื่องในอดีตของซูหลี”
“อ้อ?” ฮองเฮาขมวดคิ้วถาม “เรื่องในอดีตอะไรหรือ?”
หวังอันตอบว่า “ซูหลีเคยมีปิ่นปักผมอยู่หนึ่งอัน ถูกคุณหนูใหญ่ซูทำเสียหาย ยามนั้นนางร้องไห้อยู่นานหลายวัน เพราะเสียใจมาก แต่เมื่อวานตอนที่ใต้เท้าซูฉุนนำปิ่นปักผมที่ซ่อมเสร็จแล้วไปคืนนาง นางกลับจำปิ่นปักผมนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างครุ่นคิด “คุณหนูซูอาจความจำไม่ดี เลยลืมไป!”
หวังอันกล่าวต่อทันที “แต่นางกลับจำเรื่องของท่านหญิงหมิงอวี้ได้ทุกรายละเอียด! บนโลกใบนี้ จะมีใครจำเรื่องของคนอื่นได้ดีกว่าเรื่องของตนเองเล่าพ่ะย่ะค่ะ? เป็นเรื่องที่ประหลาดยิ่งนัก!”
ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ สายตาของฮ่องเต้ขรึมลงหลายส่วน ทว่ากลับไม่พูดอะไร สายตาสงสัยของฮองเฮาจดจ้องมาที่ซูหลี คล้ายรอดูว่านางจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
ซูหลีกลับแย้มยิ้ม กล่าวเสียงเรียบเฉย “เรื่องนี้น่าแปลกที่ใดกัน! เพราะข้าฝันเห็นท่านหญิงหมิงอวี้ทุกวัน ได้ยินนางเล่าเรื่องยามยังมีชีวิตอยู่ ค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่า ข้ากับนางเดิมก็รูปร่างหน้าตาคล้ายกันปานนี้ มองเห็นนางบ่อยเข้า ก็เหมือนมองเห็นตัวเองอีกคนหนึ่ง! นานวันเข้า คล้ายเกิดภาพลวง รู้สึกว่าข้าก็คือนาง นางก็คือข้า! เรื่องราวที่ท่านหญิงหมิงอวี้เคยประสบพบเจอในอดีต เมื่อข้าฟังมากเข้า ก็เหมือนตนเองประสบเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตนเอง ฉะนั้น เรื่องราวของตนเอง กลับกลายเป็นเหมือนเรื่องในอดีตชาติ เลือนรางและพร่าเลือนไปมาก”
น้ำเสียงและท่าทีของนาง ล้วนเป็นธรรมชาติ ราวกับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ไม่มีเรื่องใดน่าแปลกแม้แต่น้อย
ฮองเฮาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นึกไม่ถึง สตรีนางนี้อายุแค่นี้แต่กลับร้ายกาจยิ่งนัก เผชิญหน้ากับคำถามล่อแหลมและหนักหนาขนาดนี้ต่อหน้าพระพักตร์ ทุกประโยคล้วนเกี่ยวข้องถึงความเป็นความตาย นางไม่เพียงไม่แตกตื่นลนลาน กลับยิ่งสงบนิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โต้แย้งได้อย่างไร้ที่ติทุกข้อกล่าวหา เป็นธรรมชาติจนหาช่องโหว่ไม่เจอ! ช่างร้ายกาจจริงๆ! นางกุมอำนาจในวังหลังมายี่สิบกว่าปี คนแบบใดบ้างที่นางไม่เคยเจอ แต่สตรีที่นิ่งถึงขนาดนี้ ก็มีเพียงเหลียงกุ้ยเฟยเท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงได้!
ครั้นนึกถึงเหลียงกุ้ยเฟย แววเย็นเยียบพลันพาดผ่านดวงตาหงส์ของฮองเฮา ตงฟางเจ๋อคนเดียวก็ทำให้นางปวดหัวมากพอแล้ว หากยังปล่อยให้ซูหลีรวมพลังกับเขา อนาคตจะต้องกลายเป็นภัยใหญ่หลวง ยากจะควบคุมแน่นอน!
“เสด็จพ่อ!” ตงฟางเจ๋อพลันลุกขึ้นมายืนข้างกายซูหลี แล้วกล่าวว่า “ลูกเชื่อว่าสิ่งที่ท่านหญิงหมิงซีกล่าวเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ!”
“อ้อ? เหตุใดเจ้าจึงเชื่อเช่นนั้น?” ฮ่องเต้เลื่อนสายตามามองตงฟางเจ๋อ แววตาไม่บ่งบอกอารมณ์
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงกังวานใส “อาศัยความรู้สึกที่ลูกมีต่อนางพ่ะย่ะค่ะ!”
“ความรู้สึก?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว คำตอบเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ฮ่องเต้ที่ประหลาดใจ แม้แต่ฮองเฮาและตงฟางจั๋วต่างก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย! หากผู้ใดมีใจคิดสงสัย ย่อมต้องเคลือบแคลงในคำพูดของนาง ยิ่งไปกว่านั้นนางแต่งเรื่องตั้งแต่ต้น แต่เขากลับเลือกที่จะเชื่อนางอย่างไม่มีเหตุผล! ซูหลีหันไปมองเขาอย่างอึ้งงัน ยังคงเป็นใบหน้าหล่อเหลางดงามดวงเดิม แต่นางกลับรู้สึกว่าเขาดูเปลี่ยนไปจากเดิม!
“ตลอดมาไม่ว่าเรื่องใดเจ้ามักต้องการหลักฐาน เจ้าเชื่อในความรู้สึกที่เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงแววเย็นชาหลายส่วน
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างใจเย็น “ทูลเสด็จพ่อ ลูกและซูหลีรู้จักกันมาหลายเดือน รู้นิสัยใจคอนางเป็นอย่างดี นางไม่ใช่คนที่จะแอบอ้างเป็นผู้อื่น หลอกลวงเบื้องสูงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! วันที่ลูกช่วยซูหลีจากมือโจรสองคนนั้น นางเคยบอกลูกว่า คนผู้หนึ่งหากผ่านความเป็นความตายมาได้ ก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ลูกเห็นด้วยกับคำพูดนี้ยิ่งนัก หลังจากเรื่องในวันนั้นหากหมิงซีนิสัยเปลี่ยนไป ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล หลักฐานที่หวังอันมี ตามหลักแล้วไม่มากพอที่จะพิสูจน์อะไรได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทำหน้าครุ่นคิด ไม่ได้เอ่ยอะไร หลุบตามองหวังอัน หวังอันรีบกล่าว “เจิ้นหนิงอ๋องไม่รู้จักท่านหญิงหมิงอวี้ จะอาศัยความรู้สึกตัดสินว่านางไม่ใช่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องของกระหม่อมมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านหญิงหมิงอวี้ ซ้ำยังเคยกล่าวคำสาบานสามภพสามชาติ ไม่มีทางจำท่านหญิงหมิงอวี้ผิดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าหมายความว่า พี่รองมั่นใจว่านางคือท่านหญิงหมิงอวี้?” ตงฟางเจ๋อค่อยๆ หันไปมองตงฟางจั๋ว สีหน้าเรียบเฉย ทว่ากลับถามด้วยสายตาคมปลาบสุดแสน “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ พี่รอง? ท่านมั่นใจจริงหรือว่าซูหลีก็คือท่านหญิงหมิงอวี้? เพื่อสืบสวนคดีที่ไม่เป็นธรรม ถึงขั้นสร้างเรื่องลวงโลกว่าวิญญาณมาเข้าฝัน หลอกลวงเบื้องสูง?”
ประโยคหลอกลวงเบื้องสูง ทำให้ตงฟางจั๋วสะท้านไปทั้งตัว เขาเงยหน้ามองตงฟางเจ๋อ แววขัดแย้งในดวงตาฉายชัด นี่เขากำลังบีบให้ตนเองปฏิเสธว่านางไม่ใช่หลีซูต่อหน้าเสด็จพ่อหรือ? เขากำลังบีบให้ตนเองมอบภรรยาสู่อ้อมอกเขา? ไม่มีทาง!
ตงฟางจั๋วหลับตาอย่างเจ็บปวด ถ้าหากพิสูจน์ว่านางคือหลีซู โทษหนักฐานหลอกลวงเบื้องสูง ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่านางจะรอดพ้นไปอย่างปลอดภัย!
ลืมตาขึ้น เบื้องบน สายตาสงสัยของเสด็จพอกำลังจ้องเขม็งมาที่เขา สายตาคาดหวังของเสด็จแม่ ทำให้เขาไม่กล้าหันไปสบตา ด้านข้าง สายตาคมปลาบที่คล้ายคำเตือนของตงฟางเจ๋อ เหมือนค้อนที่ทุบลงกลางใจเขา ทำให้เขาไม่อาจมองข้ามความเจ็บปวดที่แผ่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ…
ทว่าสตรีที่เขารักที่สุด ยามนี้กลับไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ กลีบปากเม้มแน่น ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าของนางในยามนี้ ไร้ซึ่งความคาดหวังใดๆ ราวกับมั่นใจว่าเขาจะต้องยืนยันว่านางคือหลีซูด้วยความเห็นแก่ตัวแน่นอน!
หัวใจพลันเจ็บปวด เขาไออย่างหนัก เงยหน้าขึ้น ความเจ็บปวดจู่โจมหัวใจ เขากลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นไร้อารมณ์ในพริบตา หันไปกล่าวกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ นาง ไม่ใช่หลีซูพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีสะท้านไปทั้งหัวใจ หันมองเขาอย่างประหลาดใจ ค้นพบว่ายามนี้สายตาเขาจดจ้องมองไปยังที่แห่งหนึ่ง ทว่ากลับดูเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
เสียงของเขาคล้ายแบกรับน้ำหนักมหาศาลเอาไว้ นี่คือประโยคที่ยากที่สุดในชีวิตของตงฟางจั๋ว! เอ่ยจบ หัวใจของเขา ราวกับว่างเปล่าตามไปด้วย! เขาเพิ่งจะมั่นใจว่านางยังมีชีวิตอยู่…เขาเพิ่งจะมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเพราะนางยังมีชีวิตอยู่ แต่ ณ วินาทีนี้ เขากลับต้องปฏิเสธด้วยปากตนเองว่านางไม่ใช่ภรรยาของตนเอง ส่งนางสู่อ้อมอกของผู้อื่นด้วยมือตนเอง…นับจากนี้ นางและเขา ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกแล้วจริงๆ!
………………………………………………