กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 194 พิสูจน์ตัวตน (2)
หัวใจเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก แต่เหตุใดเขายังมีชีวิตอยู่เล่า?
สายตาของฮองเฮาเปลี่ยนผันไปมา ปกปิดความผิดหวังเอาไว้ไม่มิด ส่วนหวังอันเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่ใช่ว่ามองไม่เห็นความขัดแย้งในสายตาเขา เพียงแต่นึกไม่ถึงว่านายของเขาจะเลือกอย่างนี้! เพราะถ้าหากยอมรับว่านางคือหลีซู อย่างน้อยยังมีโอกาสขอร้องฝ่าบาท แต่หากปฏิเสธว่านางไม่ใช่ นั่นแสดงว่านายของเขาจะต้องสูญเสียหญิงอันเป็นที่รักไปตลอดกาล!
“ท่านอ๋อง!” หวังอันอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียงดัง “ท่านอ๋องมั่นใจแล้วแท้ๆ ว่านางก็คือหลีซู เหตุใดจึงต้องปฏิเสธด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ? วันนี้ตอนเช้าท่านอ๋องรีบไปหานางที่จวนอัครเสนาบดี ก็เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้มิใช่หรือ? ยามนี้ท่านปฏิเสธเรื่องราวทั้งหมด เท่ากับมอบภรรยาของท่านสู่อ้อมอกผู้อื่นด้วยมือท่านเองนะพ่ะย่ะค่ะ!” หัวใจเจ็บปวด นายท่านในดวงใจเขาควรจะแย่งชิงด้วยกำลังทั้งหมดที่มีถึงจะถูก เหตุใดจึงยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้?!
หากเป็นแต่ก่อน บางทีตงฟางจั๋วอาจเป็นอย่างที่หวังอันและฮองเฮาคาดเดาไว้ ทว่ายามนี้ เมื่อผ่านความสำนึกผิดและครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างเจ็บปวดรวดร้าว สิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดคือขอเพียงนางมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปอย่างมีความสุข…
“จั๋วเอ๋อร์!” ฮองเฮาลุกขึ้นเดินมาหาเขาอย่างปวดใจ “เจ้าเป็นอะไรไป? ถึงแม้เจ้าจะชอบนางอีกสักเท่าใด ก็ไม่อาจพูดโป้ปดเพื่อช่วยให้นางพ้นความผิดได้!”
“ลูกเปล่าทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” ตงฟางจั๋วมองมารดาของเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ตั้งแต่เล็กจนโต เขารู้ดี ไม่ว่าเรื่องใดเสด็จแม่ล้วนวางแผนไว้ให้เขาเสมอ ถึงแม้มีพฤติกรรมบางอย่างที่เขาไม่เห็นด้วย แต่เขาก็อภัยให้นางได้เพราะนางทำเพื่อเขา และเขาก็พยายามทำตัวให้สมกับที่นางคาดหวังมาโดยตลอด! แต่วินาทีนี้ เขากลับรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก เสด็จแม่พร่ำบอกอยู่เสมอว่ารักเขา ทว่ากลับไม่เคยเข้าใจความต้องการของเขาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้!
กัดฟันกล้ำกลืนความเจ็บปวดทั้งหมด เขากล่าวทีละคำอย่างแน่วแน่และชัดเจน “เสด็จแม่ ลูกมั่นใจ นางคือซูหลีบุตรีแห่งจวนอัครเสนาบดี ไม่ใช่หลีซูภรรยาของลูกที่ตายไปแล้วอย่างแน่นอน! หวังว่าเสด็จแม่จะไม่ข้องพระทัยกับคำถามนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าฮองเฮาเปลี่ยนไปโดยพลัน สายตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง ขณะเดียวกันนั้นทางด้านหลัง สายตาที่คมปลาบดั่งมีดของฮ่องเต้ก็ทิ่มแทงแผ่นหลังนาง ฮองเฮาปวดใจสุดแสน โกรธจนแทบพูดไม่ออก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเพราะอารมณ์เดือดดาล ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยพูดว่า “เจ้า เจ้าช่าง…ช่างทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”
“เสด็จแม่เองก็ทำให้ลูกผิดหวังยิ่งนัก!”
“เจ้า!” ฮองเฮาสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว สายตาตำหนิและผิดหวังของนางทำให้ตงฟางจั๋วเบือนหน้าหนี ได้ยินเพียงฮองเฮากล่าวว่า “เจ้านึกว่าแม่ทำอย่างนี้เพราะเห็นแก่ตัวอย่างนั้นหรือ? ข้าเห็นเจ๋อเอ๋อร์เป็นเหมือนลูกแท้ๆ เสมอมา จึงไม่อาจอนุญาตให้สตรีที่เคยแต่งงานกับโอรสของข้า เปลี่ยนตัวตนในพริบตาเพื่อมาแต่งงานกับโอรสอีกองค์ของข้า! นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์เรา หากวันใดความจริงถูกเปิดเผยจะเป็นที่ครหาแก่ผู้คนใต้ฟ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่?!”
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว เม้มปากไม่เอ่ยคำใด ตงฟางเจ๋อกลับกระตุกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มเย็นชาบางๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น
สมแล้วที่เป็นฮองเฮา ไม่ว่าเมื่อใดก็สามารถหาเหตุผลให้ตนเองดูสูงส่ง และกล่าววาจากระตุ้นให้ฝ่าบาทรู้สึกเคลือบแคลงได้เสมอ!
มองดูใบหน้าของฮ่องเต้ที่บึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ ซูหลีอดไม่ได้ที่จะลอบแสยะยิ้มในใจ ดูท่าฮองเฮาคงมั่นใจแล้วว่านางคือหลีซู และไม่คิดจะปล่อยนางไปง่ายๆ! เช่นนั้นก็ดี แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำให้กลายเป็นผู้ถูกสงสงสัย มิสู้เป็นฝ่ายโจมตีก่อน!
สายตาคมปลาบกวาดมองหวังอัน และจดจ้องไปที่ฮองเฮา ซูหลีแย้มยิ้มอ่อนๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบเฉย “ฮองเฮาอย่ากริ้วไปเลยเพคะ ความจริงหากต้องการพิสูจน์ตัวตนของหมิงซี มิใช่เรื่องยากเลยเพคะ”
นางยกมือปัดปอยผมที่แก้มซ้าย เผยให้เห็นปานสีแดงดั่งโลหิต “สิ่งนี้ติดตัวซูหลีมาแต่กำเนิด เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!”
ฮองเฮากลับหัวเราะเย็นชา “แม้แต่ชีพจรยังสามารถปลอมแปลงได้ ปานนี้ก็อาจไม่ใช่ของจริง!”
ซูหลีคิดไว้แต่แรกแล้วว่านางต้องพูดเช่นนี้ จึงปล่อยมือลงแล้วกล่าวว่า “ปานทั่วไปอาจปลอมแปลงได้ แต่ปานของซูหลีดวงนี้เป็นปานที่เกิดจากการสะสมของพิษ ติดตัวซูหลีมาแต่กำเนิด ไม่มีทางปลอมแปลงได้แน่นอน หากฮองเฮาไม่เชื่อ จะเรียกหมอหลวงมาดูย่อมได้เพคะ”
ฮองเฮาสายตาไหวระริก หันไปมองฮ่องเต้แวบหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่พูดอะไร เพียงโบกมือเบาๆ เกากงกงก็รีบส่งคนไปเรียกหมอหลวงมาทันที
หลี่จงเหอเข้ามาเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี ทุกครั้งที่เกิดเรื่องอย่างนี้ เขามักจะเป็นคนแรกที่ถูกเรียกตัวมา ยังไม่ทันเข้าไปในตำหนัก ก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศกดดันผิดปกติ เพิ่งจะเดินไปถึงประตู พระพักตร์บึ้งตึงของฮ่องเต้ ก็ทำให้เขาเหงื่อแตกเสียแล้ว
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้โบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี ไปตรวจปานบนใบหน้าของท่านหญิงดูหน่อยเถิด”
หลี่จงเหออึ้งงัน ลอบคิดว่าปานดวงนั้นมีอะไรน่าดู หรือฝ่าบาทต้องการลบปานให้ท่านหญิง? รีบลนลานลุกขึ้น เดินไปยืนตรงหน้าซูหลี
ซูหลีปัดปอยผมขึ้นอีกครั้ง หลี่จงเหอมองดูอย่างละเอียด เมื่อก่อนไม่เคยสังเกต ยามนี้ถึงเพิ่งค้นพบว่า ปานดวงนี้ของนางคล้ายไม่ใช่ปานธรรมดา! ฉะนั้นจึงหันกลับไปกราบทูล “ทูลฝ่าบาท ปานของท่านหญิง…คล้ายเป็นปานที่ติดตัวออกมาจากท้องมารดาและเกิดจากการสะสมของพิษ หากต้องการลบ เกรงว่าคงต้องแก้พิษเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาอึ้งไปเล็กน้อย จ้องหน้าซูหลีด้วยสายตาสงสัยไม่อยากเชื่อ
ฮ่องเต้กล่าวถาม “เกิดจากการสะสมของพิษจริงหรือ? รู้หรือไม่ว่าเป็นพิษใด?”
หมอหลวงหลี่ส่ายหน้า “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ทราบ! เพียงรู้สึกว่าไม่เหมือนปานธรรมดาทั่วไปเท่านั้น!”
ไม่เหมือน แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ใช่! เมื่อครู่ก็พูดเพียงว่าคล้าย ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย! ฮองเฮากระดกคิ้ว หมายจะเปิดปาก ทว่าตงฟางเจ๋อกลับชิงพูดก่อนนางหนึ่งก้าวด้วยสายตาไหวระริก “หมอหลวงหลี่ ในเมื่อเป็นพิษ เช่นนั้นพิษประเภทนี้มีอันตรายใดต่อร่างกายของท่านหญิงหรือไม่?” คิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อย สายตาเป็นห่วงฉายชัดอย่างไม่อาจปกปิด ตงฟางจั๋วเห็นเช่นนั้นสายตาพลันหม่นหมอง หลุบตาต่ำไม่พูดอะไร เพราะเขาสูญเสียโอกาสที่จะทำอย่างนั้นไปแล้ว!
หลี่จงเหอตอบอย่างลังเล “สิ่งนี้…กระหม่อมเองก็ไม่กล้าตัดสิน! ทว่ากระหม่อมเคยตรวจชีพจรให้ท่านหญิง แต่ไม่เจอสิ่งผิดปกติใด พิษนี้ถึงแม้ติดตัวออกมาจากครรภ์มารดา แต่เดาว่าในร่างกายของท่านหญิงคงมีไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงมาสะสมอยู่ที่ผิวหนังภายนอกแทน นอกจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ก็ไม่มีอันตรายอื่นใดพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อยิ้มพลางพยักหน้า คล้ายวางใจแล้ว
ฮ่องเต้กล่าว “เจ้าออกไปก่อนเถิด”
ฮองเฮาหันมาเห็นแววสงสัยรางๆ ที่ยังคงสะท้อนอยู่ในดวงตาของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ขี้สงสัย และเมื่อใดเริ่มสงสัยก็ยากจะลบล้าง เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าฮองเฮา นางจึงรีบกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ฝ่าบาท หมอหลวงหลี่ก็ดูเหมือนไม่ค่อยมั่นใจนะเพคะ! ในเมื่อเป็นพิษ ก็สามารถวางยาตนเองได้เช่นกัน กล้าวางยาเหล่าองค์ชายในพิธีคัดเลือกพระสวามี หากท่านหญิงหมิงซีจะวางยาตนเองเพื่อสร้างปานขึ้นมา มีเรื่องใดยากกันเล่าเพคะ?”
ฮ่องเต้นัยน์ตาเข้มขรึม จ้องมองซูหลีไม่เอ่ยอะไร
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รู้ดีว่าหากข้อสงสัยนี้ถูกพูดถึงเมื่อใด ฮ่องเต้ไม่มีทางเลิกสงสัยง่ายๆ เป็นแน่ ถึงอย่างไรเรื่องวิญญาณเข้าฝันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดเกินไป ยามนั้นที่ฮ่องเต้เลือกที่จะเชื่อ นั่นเป็นเพราะไม่มีใครคิดว่านางคือหลีซู ยามนี้เมื่อถูกตั้งคำถามเช่นนี้ หลักฐานที่นางเคยแสดงทั้งหมดในตอนนั้นล้วนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความน่าเชื่อถือ ตอนนี้หากจะให้ฮ่องเต้เชื่ออย่างสนิทใจว่านางคือซูหลี ก็เหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ถึงแม้วิธีนั้น นางจะไม่อยากใช้ก็ตาม
สูดหายใจลึกๆ ซูหลีเงยหน้าสบตาฮ่องเต้ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท ฮองเฮา หมิงซีรู้ดีว่าเรื่องวิญญาณเข้าฝันยากจะทำให้ผู้คนเชื่อ แต่เรื่องนี้เป็นความจริง หมิงซีไม่กล้าโป้ปดอย่างแน่นอนเพคะ! หากฝ่าบาทและฮองเฮายังทรงสงสัย หมิงซียังมีวิธีพิสูจน์อีกหนึ่งวิธีเพคะ”
……………………………………………