กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 195 พิสูจน์ตัวตน (3)
ฮ่องเต้กล่าว “เจ้าว่ามา”
ซูหลีเหล่มองสายตาหม่นหมองของตงฟางจั่วที่ยืนอยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “ยามยังมีชีวิตอยู่ท่านหญิงหมิงอวี้ถูกจิ้งอันอ๋องขืนใจ ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไป แต่ซูหลีกลับเป็นหญิงพรหมจรรย์ ฝ่าบาทสามารถเรียกคนมาตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ความจริงได้เพคะ”
สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยน แม้แต่ตงฟางเจ๋อก็ทำหน้าอึ้งงัน ตงฟางจั๋วยิ่งตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าไร้สีเลือด ราวกับถูกวาจาของนางเชือดเฉือนหัวใจ
ฮองเฮารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย การตรวจร่างกายเป็นวิธีการยืนยันตัวตนนางได้ดีที่สุดจริงๆ แต่นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายเสนอเอง ในใจพลันบังเกิดความสงสัย หวังอันได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งงัน สายตาสับสนจดจ้องมองซูหลี คล้ายต้องการมองให้ออกว่านางจะมาไม้ไหนกันแน่!
“เสด็จพ่อ! ลูกขอคัดค้านพ่ะย่ะค่ะ!” ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังจะเรียกคน ตงฟางจั๋วพลันร้องห้ามอย่างลนลาน อารมณ์พลุ่งพล่าน
สายตาฮ่องเต้คมปลาบดั่งมีด ถามอย่างตำหนิ “เพราะเหตุใด?”
ตงฟางจั๋วก้มหน้าอย่างเจ็บปวด รู้สึกเพียงว่าทั่วร่างกายไร้เรี่ยวแรง ทว่ากลับคุกเข่าหลังเหยียดตรงต่อหน้าฮ่องเต้ กล่าวอย่างสำนึกผิดและเจ็บปวดว่า “ลูก…เคยโง่เขลาเบาปัญญา ใช้วิธีที่โง่เง่าที่สุดในโลกนี้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหลีซู ผลสุดท้ายกลับได้ผลตรงกันข้าม หลงกลแผนชั่วของคนเลว! ด้วยเหตุนี้ ลูกจึงเสียใจยิ่งนักที่ทำอย่างนั้นลงไป…หลีซูนางทั้งสอนวิชาที่ตนร่ำเรียนมาทั้งชีวิตให้แก่ซูหลี ซ้ำยังถ่ายทอดเรื่องราวที่ประสบพบเจอมาให้นางรู้ ในใจของลูก แม้ซูหลีไม่ใช่หลีซู แต่ก็เหมือนหลีซูกลับมาเกิดอีกครั้ง! และการตรวจร่างกาย ก็ถือเป็นการหมิ่นเกียรติของสตรีพรหมจรรย์ ลูก…ขอร้องเสด็จพ่อโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เขาก้มศีรษะแนบหน้าผากลงกับพื้นอันเย็นเยียบ
หากตอนนั้นเขาคิดได้อย่างนี้ เรื่องระหว่างนางกับเขาคงไม่เดินมาถึงขั้นนี้! ซูหลีหลุบตาต่ำเงียบๆ แสงตะวันสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง พรมสีทองราคาแพงบนพื้นส่องประกายระยิบระยับ พาให้ผู้คนตกสู่ภวังค์ ลวดลายเถาวัลย์ที่ปักด้วยดิ้นทองบนพรมราวกับเลื้อยรัดเข้าไปในจิตใจผู้คน พาให้สับสนปั่นป่วน
ฮ่องเต้สีหน้าไร้อารมณ์ “เช่นนั้นเจ้าบอกวิธีที่จะไม่หมิ่นเกียรตินาง แต่สามารถพิสูจน์ได้ว่านางไม่ใช่ท่านหญิงหมิงอวี้มาให้ข้าฟัง?”
“ลูก…” ตงฟางจั๋วเงยหน้า คิ้วเข้มขมวดมุ่น เบ้าตาลึกโหลซูบซีด เขาอ้าปาก แต่กลับเอ่ยวาจาใดไม่ออก เขาอยากบอกทุกคนบนโลกใบนี้ว่านางคือหลีซูภรรยาของเขาจริงๆ แต่เขากลับไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ตงฟางเจ๋อหันมองซูหลี ก่อนจะกล่าวอย่างพิจารณา “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า ใช้โส่วกงซา[1]ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
พยายามรักษาเกียรติของนางไว้ให้ได้มากที่สุด ซ้ำยังสามารถลบล้างความเคลือบแคลงของฮ่องเต้ได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ซูหลีคลี่กลีบปากเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา ไม่ว่าเมื่อใดก็เหมือนว่าเขาจะใจเย็นและมีสติกว่าคนอื่นเสมอ
ฮ่องเต้ค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดนี้ จึงรีบสั่งคนไปจัดการ
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว ในใจยังคงกังวล มองซูหลีอย่างเป็นห่วง ทว่ากลับเห็นนางมองตงฟางเจ๋อด้วยสายตาแฝงแววเสน่หา แม้จะเลือนราง ทว่ากลับมิอาจปิดบัง ตงฟางจั๋วสะท้านไปทั้งใจ อึ้งงันอยู่ตรงนั้น เดิมนึกว่าที่นางเลือกตงฟางเจ๋อ เพียงเพราะไม่อยากแต่งงานกับเขา ทว่านึกไม่ถึง นางกลับมีใจให้ตงฟางเจ๋อจริงๆ งั้นหรือ? สองหมัดกำแน่นดันกับพื้นอันเย็นเยียบ กระดูกข้อต่อส่งเสียงลั่นเบาๆ ดั่งเสียงหัวใจแตกสลาย
ผงชาดสีแดงสดถูกถือประคองมาถึงตรงหน้า เกากงกงหยิบเข็มขึ้นมาแตะและจิ้มลงบนข้อมืออขาวเนียนของซูหลีด้วยตนเอง สีแดงสดไม่เลือนหาย กลับยิ่งเด่นชัด
เรื่องจริงที่ชัดแจ้งยิ่งกว่าสิ่งใดปรากฏสู่สายตา ลบล้างข้อสงสัยและความเคลือบแคลงที่มีทั้งหมดให้จางหายไปอย่างง่ายดาย
สายตาของทุกคนแตกต่างกันออกไป แม้แต่ตงฟางเจ๋อที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ยามนี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก นางคือซูหลี เป็นเพียงซูหลีเท่านั้น!
ฮองเฮาตื่นตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อ สาวเท้ายาวๆ เข้ามาดู ซูหลีปล่อยให้นางจับข้อมือ ครั้นเห็นนางตกใจ ซูหลีเพียงแย้มยิ้มบางๆ เหลือบมองหวังอันที่กำลังหน้าซีดเผือด
“คราวนี้เสด็จแม่ทรงวางพระทัยได้แล้วละพ่ะย่ะค่ะ!” ตงฟางเจ๋อเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง จากนั้นหันมองหวังอันที่อยู่อีกทางด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วถามเสียงเข้ม “หวังอัน เจ้ายังมีสิ่งใดอยากพูดอีกหรือไม่?”
หวังอันพลันตัวอ่อนล้มลงกับพื้น เบิกตากว้าง กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้! จะต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ!” เขาหันไปมองฮองเฮา คล้ายต้องการให้ฮองเฮาเชื่อเขา แต่ฮองเฮากลับไม่เหลียวมองเขาแม้แต่น้อย
รีบตั้งสติอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มเปี่ยมเมตตาตามแบบฉบับของมารดาแห่งแผ่นดินกลับมาสะท้อนอยู่บนใบหน้าของฮองเฮาอีกครั้ง นางดึงมือซูหลี ยิ้มอย่างปลอบขวัญ “ดูท่าข้าคงคิดมากไป…เฮ้อ ข้าก็เพียงแต่เป็นห่วงชื่อเสียงของราชวงศ์ หมิงซี ข้าทำให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจเสียแล้ว!”
ซูหลีเพียงรู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก นางดึงมือออกอย่างแนบเนียน ค้อมกายเอ่ยด้วยรอยยิ้มนอบน้อม “ฮองเฮาทรงกล่าวหนักไปแล้วเพคะ! ทำให้ฮองเฮาคิดมากเช่นนี้ เป็นหมิงซีต่างหากที่ไม่ดี จะกล้า ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ ได้เช่นไรเล่าเพคะ? เพียงแต่ขอฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดตัดสินอย่างเป็นธรรมเพื่อหมิงซีด้วยเพคะ!” เอ่ยจบก็หมุนกายหันไปคุกเข่าให้ฮ่องเต้ ปากบอกไม่น้อยเนื้อต่ำใจ แต่ใบหน้านางกลับมีคำว่าน้อยเนื้อต่ำใจสะท้อนชัดเสียยิ่งกว่าอะไร
ฮ่องเต้สายตาไหวระริก เดิมวันนี้เป็นวันมงคลในการเลือกพระสวามีของนาง กลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมาได้ ก็ไม่แปลกที่นางจะน้อยเนื้อต่ำใจ! ฮ่องเต้ตวัดมองหวังอัน แล้วหันไปตะโกนเรียกคนนอกห้อง “ทหาร!”
ทหารองครักษ์เข้ามารอฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด
คล้ายมองเห็นมีดจ่ออยูที่คอตนเองแล้ว หวังอันหน้าซีดเผือด ทว่ากลับไม่ร้องอ้อนวอน
ฮ่องเต้กล่าว “ลากตัวหวังอันออกไปตัดหัวเสีย!”
ตงฟางจั๋วตกตะลึง รีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “เสด็จพ่อโปรดอย่ากริ้ว!”
อย่างไรหวังอันก็ติดตามเขามาสิบกว่าปีแล้ว นอกจากครั้งนี้ แต่ก่อนไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดแม้แต่หนเดียว ถึงแม้ผู้ที่คนผู้นี้ภักดีด้วยจริงๆ คือเสด็จแม่ของเขา แต่มิตรภาพนายบ่าวหลายปี ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะขอร้องแทนเขา ทว่าเขายังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ตงฟางเจ๋อตวัดสายตาคมปลาบมองมา หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “หรือพี่รองยังคิดจะขอร้องแทนเขา? จะว่าไปแล้วก็แปลก หวังอันเป็นเพียงบ่าว ไม่มีเหตุผลอันใด เหตุใดจึงต้องใส่ร้ายท่านหญิงหมิงซี? ซ้ำยังมาก่อเรื่องหลังจากที่ท่านหญิงเลือกหม่อมฉันพอดี!” เขาหลุบตามองหวังอัน วาจาเสียดแทง แฝงความนัยชัดเจน
ฮองเฮาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ยังไม่ทันเปิดปาก ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้ก็โกรธแค้นยากข่มกลั้น เจ็บปวดจนไม่อาจบรรยายอยู่แล้ว ยามนี้ครั้นได้ฟังวาจานี้ของตงฟางจั๋ว ย่อมเดือดดาลยากสงบอารมณ์ พลันกล่าวเสียงเย็นเยียบ “น้องหกกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้บงการ?”
ตงฟางเจ๋อยิ้มบางพลางมองหน้าเขา “เจ๋อมิได้หมายความเช่นนั้น พี่รองคิดมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ๋อแค่คิดว่า บ่าวที่หักหลังนายของตนเก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ พี่รองไม่จำเป็นต้องขอร้องแทนเขา!”
ในทางกลับกัน นายที่ทอดทิ้งบ่าวในยามคับขันเพื่อความอยู่รอด ก็ไม่จำเป็นต้องยอมตายถวายชีวิตอย่างซื่อสัตย์เช่นกัน
สายตาหวังอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันมองฮองเฮาโดยสัญชาตญาณ สายตาส่งสัญญาณเตือนตวัดมองมา เขารีบก้มหน้าอย่างลนลาน ได้ยินเพียงตงฟางจั๋วกล่าวเสียงเย็น “มีประโยชน์หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินได้! ข้ากับเขา อย่างน้อยก็เป็นนายบ่าวกันมาสิบกว่าปีแล้ว ยามเผชิญหน้ากับอันตราย เขาเคยเสี่ยงตายเพื่อข้าโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง แล้วข้าจะทนมองดูเขาตายไปเฉยๆ ได้อย่างไร?! ตงฟางเจ๋อ เจ้าคิดว่าทุกคนจะเลือดเย็นเช่นเจ้ากันหมดงั้นหรือ?”
รอยยิ้มของตงฟางเจ๋อเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าพี่รองเป็นคนให้ความสำคัญกับมิตรภาพเสมอมา แต่ก็ควรแยกแยะกาลเทศะและรู้หนักรู้เบาด้วย! หวังอันเป็นบ่าว กลับไม่รู้จักเจียมตน จงใจหาเรื่องใส่ร้ายท่านหญิงในราชวงศ์ปัจจุบัน ทำผิดฐานลบหลู่เบื้องสูง! โทษนี้หนักหนานัก มิอาจผ่อนปรนเด็ดขาด!”
……………………………………..
[1] โส่วกงซา (守宫砂) คือการแต้มจุดแดงพรหมจรรย์ที่ข้อมือของสตรีเพื่อเป็นเครื่องหมายของการรักษาความบริสุทธิ์ ตามบันทึกป๋ออู้จื้อ (博物志) ในสมัยจิ้น กล่าวว่าหากใช้สารซินนาบาร์ (แร่ชนิดหนึ่งมีสีแดง) เลี้ยงตุ๊กแก ตุ๊กแกจะเปลี่ยนสี และหากป้อนแร่ซินนาบาร์จนครบ 7 ชั่งแล้วเอาตุ๊กแกมาตำ จากนั้นเอาสีแต้มไปที่แขนของสาวพรหมจรรย์ สีแดงนี้จะไม่หลุดจนกว่าจะเสียพรหมจรรย์ เป็นที่มาของวิธีการพิสูจน์ความบริสุทธ์ของหญิงสาวในสมัยโบราณ