กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 199 สนองคำสัญญาของนาง (1)
อีกฝ่ายใช้อำนาจบาตรใหญ่ ท่าทางถมึงทึงเช่นนั้น บ่งบอกว่าต้องการให้ขบวนรถม้าถอยออกไปให้หมด ไม่อนุญาตให้มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น คนผู้นี้เป็นใครกัน? จึงได้บ้าบิ่นถึงเพียงนี้! นางเข้าวังหลายครั้ง ท่ามกลางเหล่าขุนนาง คล้ายไม่เคยเห็นขุนพลคนใดมีท่าทางโอหังอวดดีเช่นนี้มาก่อน ซูหลีพลันตระหนัก หรือว่า…เป็นเขา?
“พวกท่านรังแกกันเกินไปแล้ว!” กล้ำกลืนอยู่นาน โม่เซียงร้องอย่างโกรธขึ้ง
ขุนพลอึ้งงัน เด็กสาวผู้นี้! ช่างรับมือยากจริงๆ เขาสะบัดแขน ชี้ไปยังคนที่นั่งอยู่บนหลังม้า กล่าวกับโม่เซียงด้วยเสียงตำหนิ “รู้ไหมว่าท่านผู้นี้เป็นใคร? ท่านผู้นี้คือแม่ทัพทหารม้าของพวกเรา! เด็กอย่างเจ้า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง โชคดีที่แม่ทัพของพวกเรามีน้ำใจกว้างขวางไม่เหมือนสตรีอย่างพวกเจ้า มิเช่นนั้นคงไม่ไว้หน้าเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว!”
เป็นดังที่นางคาดไว้จริงๆ คนที่อยู่บนหลังม้า ก็คือจั้นอู๋จี๋แม่ทัพทหารม้า! ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ เห็นเพียงเขานั่งอยู่บนหลังม้า ใบหน้าเย็นชา กระดกกลีบปากยิ้มหยันอย่างไม่ปิดบัง คนของตนเองร้องป่าวประกาศฐานะตนเองต่อหน้าธารกำนัล เขาไม่อับอายกลับรู้สึกเป็นเกียรติ? คล้ายดูแคลนสตรีเพศยิ่งนัก! นางอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะเย็นชา
เสียงหัวเราะของนาง เมื่อดังปะปนอยู่ท่ามกลางเสียงโต้เถียงของโม่เซียง เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่แม่ทัพใบหน้าเย็นชาผู้นั้นใบหูกลับกระดิกเล็กน้อย ดวงตาที่หลับอยู่พลันเบิกโพลง สายตาคมปลาบตวัดมองมาที่ซูหลีโดยตรง
นัยน์ตากระจ่างใสสบตากับดวงตาเย็นชาโดยตรง ราวกับมีสะเก็ดไฟที่มองไม่เห็นปะทุอยู่กลางอากาศ พริบตาเดียวก็หายวับไป ซูหลีมองหน้าเขา ไม่หลบสายตา ท่าทางไม่สะทกสะท้าน
จั้นอู๋จี๋อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เขารบราฆ่าฟันอยู่ในสนามรบมานานหลายปี รอบกายมีไอสังหารแผ่กำจาย แม้แต่ชายฉกรรจ์อกสามศอก เมื่อถูกเขาจ้องด้วยสายตาบีบคั้นยังต้องก้มหน้า ไม่กล้าสบตาตรงๆ
ทว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เรือนร่างดูบอบบาง แต่กลับไร้ซึ่งความกลัว…หาได้ยากยิ่ง
เขามองดูนาง ไม่เอ่ยวาจาใด การโต้เถียงด้านล่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถดึงดูดสายตาของพวกเขาออกไปได้สำเร็จในที่สุด
“แม่ทัพแล้วอย่างไรเล่า? เป็นแม่ทัพก็ต้องพูดจากันด้วยเหตุด้วยผลสิเจ้าคะ! พวกเรามาถึงที่นี่ก่อนแท้ๆ!” โม่เซียงโวยวายอย่างสุดจะทน “…เดิมทีข้าไม่อยากพูด นี่เป็นขบวนรถม้าย้ายจวนของท่านหญิงหมิงซีของพวกเรา ท่านหญิงมีตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่ง หากจะมีใครต้องหลีกทางก็ควรเป็นพวกท่าน!” ครั้นเห็นอีกฝ่ายยกตำแหน่งเม่ทัพมาข่มเหงคน โม่เซียงเองด้วยความเดือดดาล จึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ยกฐานะขุนนางขั้นหนึ่งของท่านหญิงออกมาข่มอีกฝ่ายคืน
ขุนพลผู้นั้นอึ้งงันไปเล็กน้อย ถึงแม้เพิ่งกลับมาเมืองหลวงวันนี้ แต่ชื่อเสียงของท่านหญิงหมิงซี เขาได้ยินมานานแล้ว
จั้นอู๋จี๋กระดกคิ้วเล็กน้อย ช้อนเปลือกตา ตวัดสายตาคมปลาบมองมาที่โม่เซียง
โม่เซียงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ได้ยินเพียงเขากล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “ท่านหญิงอบรมคนของนางเช่นนี้รึ ถึงกับกล้าโวยวายเสียงดังต่อหน้าแม่ทัพอย่างข้า!” ใบหน้าเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แข็งกร้าวดั่งก้อนหิน ดวงตาเย็นชาหาที่เปรียบไม่ได้ ไอเย็นพาดผ่าน รังสีอำมหิตแผ่กำจายจนชวนให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ
ผู้คนรอบข้างพากันสะดุ้ง อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
โม่เซียงเป็นเพียงเด็กสาว ภายใต้รังสีอำมหิตเช่นนี้ นางเองก็ผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทว่ายังคงทำใจดีสู้เสือ หมายจะโต้เถียงกลับ แต่จู่ๆ ชายเสื้อกลับถูกกระตุกเบาๆ นางหันกลับไปมอง ก็เห็นเหลียนเอ๋อร์ชะโงกศีรษะออกมาจากข้างหลัง มองจั้นอู๋จี๋เหมือนหวาดกลัวมาก ก่อนจะโน้มน้าวโม่เซียงเสียงเบา “พี่สาวโม่เซียง แม่ทัพผู้นี้น่ากลัวจัง พวกเรายอมหลีกทางดีกว่ากระมัง”
คนอื่นๆ ที่อยู่ในขบวนย้ายจวนกับโม่เซียงเองก็พยักหน้า ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ อย่างไรยามนี้ท่านหญิงก็ไม่อยู่ ทุกคนต่างคิดเหมือนกัน แต่โม่เซียงกลับไม่ยอม
แต่ก่อนไร้อำนาจไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ ถูกข่มเหงรังแกอยู่ในจวนอัครเสนาบดีอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น ยามนี้คุณหนูของนางเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่งของราชวงศ์ปัจจุบัน เหตุใดยังต้องยอมถูกผู้อื่นข่มเหงอีกเล่า? นึกมาถึงตรงนี้ โม่เซียงพลันฮึกเหิม เงยหน้าตะโกนเสียงดัง “ไม่ได้! ท่านหญิงย้ายจวน ได้เลือกฤกษ์งามยามดีไว้แล้ว สิ่งของเหล่านี้ล้วนต้องรีบเร่งขนไปให้ทันเวลา หากเสียฤกษ์ แล้วท่านหญิงโกรธ บ่าวรับผิดชอบไม่ไหว! ท่านขุนพลผู้นี้ โปรดหลีกทางด้วย!”
“บังอาจยิ่งนัก!” ขุนพลคนแรกตวาดเสียงกร้าว ทว่ากลับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป ทำได้เพียงหันกลับไปมองนายของตน รอฟังคำสั่ง
จั้นอู๋จี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวอย่างหมดความอดทน “ยามสตรีพบเจอปัญหาก็เอาแต่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย ปากคอเราะร้าย ไม่รู้จักกาลเทศะ!” เขาโบกมือเล็กน้อย คล้ายออกคำสั่งให้คนของเขาบังคับแหวกทาง
ทว่าในตอนนี้เอง น้ำเสียงเย็นชาและกังวานใสดั่งหยกกระทบผิวน้ำเย็น พลันดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนอย่างชัดเจน “หลีกทางให้แม่ทัพเสีย”
โม่เซียงได้ยินเสียงก็อึ้งงัน รีบหันไปมอง ครั้นเห็นซูหลี ก็ดีใจยิ่งนัก คำว่า “คุณ” เพิ่งจะหลุดจากปาก กลับถูกซูหลีโบกมือห้ามไว้ก่อน
ซูหลีหันกลับมา นัยน์ตาเย็นชากระจ่างใสมองผ่านกลุ่มคนแน่นขนัดไปยังด้านหลังขบวนรถม้าอันเหยียดยาวดั่งลำตัวมังกร ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นชายากจะคาดเดาความหมาย จั้นอู๋จี๋ผู้นี้คิดจะให้คนของนางหลีกทาง ไม่ใช่เรื่องยาก แต่นางกลับอยากรู้นัก แม่ทัพทหารม้าผู้ยิ่งใหญ่และหยิ่งยโสจะเคลื่อนตัวผ่านหน้านาง และไปจากสถานที่แห่งนี้ได้เช่นไร!
รถม้าบรรทุกของหนักสิบกว่าคัน ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังฝั่งหนึ่งของถนนภายใต้การออกคำสั่งของโม่เซียง
จั้นอู๋จี๋ไม่ได้เคลื่อนตัวออกเดินทางทันที กลับเลื่อนสายตามองซูหลีอย่างแช่มช้า ท่าทางโอหังอวดดี มองนางจากบนหลังม้าสูงๆ ราวกับไม่แยแสสิ่งใดในโลกนี้ ขุนพลนายนั้นแค่นเสียงเย็นชา กล่าวอย่างย่ามใจ “สตรีทำเรื่องใดมักวุ่นวายเสมอ ต้องให้แม่ทัพของพวกเราออกหน้า ยอมหลีกทางเสียตั้งแต่แรกก็เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายมิใช่หรือ?”
ซูหลีสีหน้าสงบนิ่ง ยังคงยิ้มบางๆ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดอวดดีของเขา
ขุนพลพลิกกายขึ้นม้า จั้นอู๋จี๋จึงค่อยละสายตาออกไป เชิดหน้าตบสะโพกม้าศึก ก่อนจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
การทะเลาะวิวาท ตามหลักแล้วควรปิดฉากลงแต่เพียงเท่านี้
เหล่าผู้คนที่มุงดูอยู่หมายจะแยกย้าย แต่ทันใดนั้น ทหารม้ากลุ่มนั้นกลับชะงักหยุด
เมื่อรถม้าย้ายจวนคันสุดท้ายหลีกทางให้ เบื้องหน้า พลันมีองครักษ์ชุดเกราะสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอยู่ใจกลางถนน!
คนนับสิบยืนเรียงแถว แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม พวกเขายืนนิ่งไม่ขยับ ท่าทางดุดันดั่งกระบี่ที่พร้อมจะพุ่งตัวออกจากฝักได้ทุกเมื่อ รถม้าสีดำลวดลายประณีตคันหนึ่งถูกห้อมล้อมไว้ตรงกลาง
ขุนพลคนเดิมดูออกว่านั่นไม่ใช่กลุ่มองครักษ์ทั่วไป ทว่ายังคงตวาดเสียงเข้ม “ผู้ใดอยู่เบื้องหน้า?”
องครักษ์ชุดดำกลุ่มนั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงเงยหน้าอย่างพร้อมเพรียง สายตาเย็นชาดั่งดาบแหลมตวัดมองมา ขุนพลผู้นั้นออกรบมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่ว่าไม่เคยเผชิญโลกกว้าง แต่ยามนี้เขากลับอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นจนเกือบตกม้า
จั้นอู๋จี๋สะท้านไปทั้งใจ ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเย็นชาไม่สะทกสะท้านดังออกมาจากในรถม้า “ทำไม? หรืออยากให้ข้าหลีกทางให้พวกเจ้าด้วย?” เมื่อเสียงเย็นชาลึกล้ำนี้ดังขึ้น เหล่าองครักษ์ชุดดำที่รายล้อมอยู่หน้ารถม้าพลันทำหน้าเคร่งขรึม พวกเขาหลีกไปยืนสองฝั่งแหวกออกเป็นทางเดิน ม่านรถถูกเปิด คนผู้หนึ่งก้าวเท้ายาวๆ ออกมา
อาภรณ์ผ้าต่วนสีดำ รัดเกล้าสีทอง ใบหน้าหยก สง่าราศีไม่ธรรมดา
“เจิ้นหนิงอ๋อง!” ท่ามกลางชาวบ้านที่มามุงดูมีคนร้องขึ้นอย่างตกตะลึง กลุ่มคนแตกตื่น พากันเขย่งเท้ามุงดูละครฉากเด็ด
ขุนพลผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่ รีบประคองสติ ลงจากม้ามาขอรับโทษ “กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านอ๋องเสด็จ ขอท่านอ๋องโปรดอย่ากริ้ว!”
ตงฟางเจ๋อไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เพียงมองตรงไปยังจั้นอู๋จี๋ หัวเราะแล้วกล่าวเสียงเข้ม “ไม่เจอกันนาน ท่านแม่ทัพจั้นสบายดีหรือไม่?”
………………………………………