กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 211 ถูกเกี้ยวพาราสีต่อหน้าธารกำนัล (2)
สายตาซูหลีขรึมลงเล็กน้อย แม่นางเตี๋ยอู่ผู้นี้ท่าทางไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่ถ่อมตนจนดูต้อยต่ำ เอ่ยวาจาสองสามประโยค ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่ากลับสามารถใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างผู้มีวรยุทธ์สองคนนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งนี้ขึ้นได้ อุบายไม่ธรรมดา สตรีที่เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบดีเช่นนี้มาขายศิลปะอยู่ที่หอเทียนเซียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายจริงๆ
บุรุษชุดพิธีการใบหน้าตึงเครียด “เช่นนั้นก็มาดูกันว่าหมัดของผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่า!” ยังเอ่ยไม่ทันจบ เงาร่างของเขาก็โฉบไหว กระโดดถีบขาข้างเดียวกลางอากาศพุ่งไปทางชายฉกรรจ์ชุดเทา เมื่อเท้าสัมผัสพื้นก็หมุนกายหันไปโอบเอวเตี๋ยอู่ทันที
ชายฉกรรจ์ชุดเทารีบดึงเตี๋ยอู่ไปอยู่ข้างกาย พร้อมกับถอยหลังหลบการโจมตีอันรุนแรงนี้
หนึ่งคนดึง หนึ่งคนหลบ ระหว่างนั้นเตี๋ยอู่ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ดิ้นขัดขืนอยู่ในอ้อมกอดของชายฉกรรจ์ชุดเทาตามสัญชาตญาณ ขณะเร่งรีบกลับเผลอออกแรงมากไป ไม่ระวังพลาดเหยียบชายกระโปรง ร่างกายเอนไปข้างหลัง ล้มลงห่างจากตรงหน้าเหลียงหรูเยวี่ยไปไม่ไกล
หญิงงามที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นพยายามหยัดกายลุกขึ้น ไม่ทันสังเกตเห็นเศษกระเบื้องที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษกระเบื้องบาดฝ่ามือเนียนนุ่ม เตี๋ยอู่ร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงสดย้อมฝ่ามือสีขาวดั่งหยกจนแดงไปทั้งแถบ
เหตุใดบุรุษสู้กัน สตรีต้องเป็นฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บเสมอ?
เลือดเหล่านั้นคล้ายไม่ได้ย้อมฝ่ามือของเตี๋ยอู๋ให้แดงเพียงอย่างเดียว ยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำในสมองที่ถูกฉีกทึ้งไปด้วย หัวใจของซูหลีเจ็บแปลบ ทว่ายังไม่ทันตั้งตัว เหลียงหรูเยวี่ยที่อยู่ข้างกายก็พุ่งตัวออกไปประคองเตี๋ยอู่ก่อนแล้ว
เตี๋ยอู่มองนางอย่างซาบซึ้งทันที ขอบตาแดงก่ำคล้ายมีน้ำตาใกล้จะไหลออกมา ท่าทางน่าสงสาร
“เกินไปแล้วนะ! พวกเจ้า! รังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว!” เห็นฝ่ามือของเตี๋ยอู่อาบไปด้วยเลือด บุตรีสกุลผู้ดีที่มีชื่อเสียงคนนี้โกรธขึ้งจนพวงแก้มสองข้างแดงซ่าน น้ำเสียงเล็กแหลม โมโหจนกระทืบเท้าปึงปัง ถึงขั้นไม่เหลือความอ่อนหวานในยามปกติ เพียงแต่นางเป็นบุตรีสกุลผู้ดีตัวเล็กๆ ได้รับการอบรมมาอย่างเข้มงวด จึงไม่อาจกล่าววาจาหยาบคายเพื่อด่าทอได้
“เด็กผู้หญิงตัวกระจ้อยอย่างเจ้าเกี่ยวอะไรด้วย…” ชายฉกรรจ์ชุดเทาตวาดเสียงเกรี้ยว แต่เมื่อจ้องมองไปยังซูหลีที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้านหลังเหลียงหรูเยวี่ย ก็พลันอึ้งงันไปทันที ครั้นเห็นเขาพูดไม่จบประโยค บุรุษชุดพิธีการจึงหันมองตามสายตาเขา แล้วก็อึ้งตามไปด้วย
สตรีนางนี้งามสง่ายิ่ง งามจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้! สีหน้านางเรียบเฉย สายตาแฝงแววโกรธรางๆ เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจบุรุษสั่นไหวแล้ว นางเป็นใครกัน? ไยจึงงามล่มเมืองถึงเพียงนี้! เตี๋ยอู่เองก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับสตรีนางนี้กลับถูกกลบรัศมีลงไปถนัดตา!
สายตาซูหลีเย็นชาเล็กน้อย “ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนรังแกสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้ต่อหน้าธารกำนัล ยังรู้อยู่หรือไม่คำว่าน่าอดสูสะกดเช่นไร?”
“ฮ่าๆ หญิงงามเอ๋ย นี่จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร? เจ้างามถึงเพียงนี้…ข้าจะรังแกลงได้เช่นไร…อยากจะดูแลให้ดีเสียมากกว่า” ชายฉกรรจ์ชุดเทามองซูหลี ลืมไปจนสิ้นว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ใด แววตาละโมบพาดผ่าน วาจาส่อแววคลุมเครือสุดแสน
คนบางคนอาศัยฤทธิ์สุราทำตัวกำเริบเสิบสาน เกรงว่าแม้ตายก็ยังไม่รู้ว่าตายอย่างไร!
ซูหลียิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“ไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่า คืนนี้ข้าอยากให้สาวงามอย่างเจ้ามาดื่มสุราเป็นเพื่อน…” สาวงามกลับยิ้มอย่างไม่คาดคิด บุรุษชุดพิธีการเห็นแล้วหัวใจคันยุบยิบ จึงเริ่มกล่าววาจาเกี้ยวพาบ้าง
“อย่างพวกเจ้าน่ะหรือ?” สาวงามยังไม่ทันเอ่ยวาจา คุณชายสวมอาภรณ์ผ้าต่วนรูปงามบีบคั้นผู้คนด้านหลังนางพลันยิ้มอ่อนเอ่ยวาจาแทรกขึ้นมา เขานั่งพิงหลังด้วยท่าทางเกียจคร้าน หางตาแฝงรอยยิ้ม
ชายสองคนนั้นพลันเบิกตากว้าง ยามนี้จึงเพิ่งมองเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ข้างหลัง คนผู้นี้มีบุคลิกสูงส่ง รูปโฉมงดงาม สายตากลับเย็นชา
“พวกข้าทำไม? ข้าเองก็เคยสร้างผลงานและได้รับรางวัลจากฝ่าบาท แข็งแกร่งกว่าเหล่าคุณชายที่รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ!” ชายฉกรรจ์ชุดเทาถลึงตา โต้กลับอย่างไม่ยอมลดละ
“อ้อ” ตงฟางเจ๋อเบ้ปาก “เคยมีผลงานหรือ ใครจะไปรู้เล่า ผ่านไปครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เห็นความสามารถอะไรเลย!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” บุรุษชุดพิธีการหน้าตึงเครียด
“นับแต่โบราณหญิงงามชมชอบวีรบุรุษ แม่นางผู้นี้เลื่อมใสผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งเป็นที่สุด หากผู้ใดเสี่ยงชีวิตเพื่อนางได้ นางต้องซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากแน่ๆ” รอยยิ้มของตงฟางเจ๋อเริ่มไม่ประสงค์ดีอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่น่าเสียดายที่คนโง่สองคนถูกความงามบังตา มีแก่ใจสังเกตสีหน้าเขาดีๆ เสียที่ไหน?
“เจ้าพูดจริงหรือ?” ชายฉกรรจ์ชุดเทาพลันเผยสีหน้าดุดัน
“ไม่เชื่อหรือ? มิสู้ลองดูสักตั้ง” ตงฟางเจ๋อกระดิกคิ้วแย้มยิ้ม
เหลียงหรูเยวี่ยที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งได้ยินก็อึ้งงัน มีผู้ล่วงเกินท่านหญิงเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงตอบสนองเช่นนี้เล่า?
ซูหลีกวาดตามองเขาอย่างเย็นชา ใบหน้าตึงเครียด ทว่ากลับไม่เอ่ยปฏิเสธแต่อย่างใด ตงฟางเจ๋อไม่ใช่คนที่จะสร้างความวุ่นวายส่งเดช ที่เขาเอ่ยวาจาเหล่านี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน แต่ไม่ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร ใช้นางเป็นเหยื่อล่อ นางย่อมรู้สึกไม่ดีเป็นธรรมดา ดวงหน้างามเย็นชา ไอเย็นเริ่มก่อตัว ถึงแม้สีหน้านางไร้อารมณ์ แต่ในสายตาของสองคนนั้นกลับยังคงงดงามจนน่าทึ่ง
ชายฉกรรจ์ชุดเทาไม่ลังเลอีก เหวี่ยงหมัดออกไปทันที! บุรุษชุดพิธีการเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว พลันเบี่ยงตัวหลบหลีก ทั้งสองโรมรันพันตู เคลื่อนตัวไปที่ใดระเนระนาดทุกที่ หอเทียนเซียงพลันโกลาหลวุ่นวาย! ผ่านไปไม่นานมีแขกหลายโต๊ะได้รับผลกระทบไปด้วย ถ้วยชามหล่นแตกเสียงดังเกลื่อนกระจายไปทั่วพื้น ทุกคนพากันร้องแตกตื่น วิ่งออกไปข้างนอก สถานที่เกิดเหตุวุ่นวายไม่เหลือชิ้นดี หากยามนี้มีคนเข้ามาในหอเทียนเซียงจะต้องคิดว่าตนเองเดินเข้าผิดร้านแน่นอน!
เถ้าแก่คลานตัวสั่นไปถึงมุมร้าน นั่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่บนพื้น มารร้ายสองตนนี้มาจากที่ใดกัน!
ตงฟางเจ๋อจ้องเงาร่างสองสายที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไม่ยอมละสายตาแม้แต่น้อย กลีบปากกระตุกคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววเย็นยะเยือกพาดผ่านนัยน์ตาลึกล้ำ
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นเพียงทหารท่าทางน่าเกรงขามสิบกว่านายวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน บุรุษที่อยู่ด้านหน้าสุดร่างกายสูงใหญ่ดูน่าเกรงขาม คือแม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋นั่นเอง
ครั้นบุรุษชุดพิธีการเห็นจั้นอู๋จี๋ หน้าพลันเปลี่ยนสี รีบดึงกายถอยหลัง ในใจพลันร้องลั่นว่าซวยแล้ว จั้นอู๋จี๋เป็นคนหน้าตาเย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็นที่รู้กันโดยทั่วว่าเขาปกครองทหารอย่างเข้มงวด ทันทีที่พบว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เขาจะทำการลงโทษอย่างหนัก วันนี้ถูกเขาจับได้คาหนังคาเขา ช่างโชคร้ายโดยแท้!
ท่ามกลางความลนลานเขากลับไม่สูญเสียสติปัญญา รีบคุกเข่าข้างเดียว กล่าวคารวะ “ข้าน้อยเว่ยเทียนเชา รองแม่ทัพค่ายเซียวฉีคารวะท่านแม่ทัพจั้น!” เขารีบเค้นสมองคิดหาทางเอาตัวรอดทันที
เมื่อชายฉกรรจ์ชุดเทาได้ยินดังนั้นก็สะท้านไปทั้งใจ ผู้มากลับเป็นจั้นอู๋จี๋แม่ทัพทหารม้าผู้เลื่องชื่อลือชา! และคนที่ต่อสู้กับเขามานานกว่าครึ่งวัน ก็เป็นถึงรองแม่ทัพค่ายเซียวฉีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของจั้นอู๋จี๋ นามว่าเว่ยเทียนเชา! สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปมาหลายตลบ ก้มหน้าครุ่นคิดหาทางรอดในทันใด
จั้นอู๋จี๋ก้มมองสภาพน่าอนาถ จมูกเขียวหน้าบวมของสองคนนี้ด้วยสายตาเย็นชา เพลิงโทสะลุกท่วมใจ เขาก้าวเดินไปตรงหน้าตงฟางเจ๋ออย่างรวดเร็ว แล้วประสานมือกล่าวเสียงเข้ม “กระหม่อมจั้นอู๋จี๋ ถวายบังคมเจิ้นหนิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีเห็นเขาคล้ายลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็หันมาค้อมศีรษะให้นางเล็กน้อย “ท่านหญิงหมิงซี”
ชายฉกรรจ์ชุดเทากับเว่ยเทียนเชาตื่นตะลึงไปทันที นึกว่าตนเองฟังผิด รีบเงยหน้า แต่ท่าทางเคร่งขรึมและนอบน้อมของจั้นอู๋จี๋ ก็ได้ทำลายความหวังสุดท้ายของพวกเขาไปจนสิ้นในพริบตา
…………………………………