กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 213 องค์หญิงแห่งแคว้นเปี้ยนมาเยือน (2)
ถึงแม้จะมีเรื่องเกิดขึ้นในจวนเซ่อเจิ้งอ๋องอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลีเฟิ่งเซียนได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ หน้าตาซูบซีดลงไปไม่น้อย แต่ท่าทางของเขาในยามนี้ยังคงถือว่ามีกำลังวังชา วาจาที่กล่าวก็เต็มไปด้วยความโกรธเคือง มีเหตุมีผล เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ทุกคนได้ยิน ก็พลันตกใจ สี่สิบไม้? จั้นอู๋จี๋ผู้นี้อวดดีและบ้าบิ่นดังคาด ไม่ผิดแผกไปจากข่าวลือที่ว่าเขาเป็นคนเย็นชาแข็งกร้าว ลงมือโหดร้ายถึงเพียงนี้ เกรงว่าเซียวจ้งโส่วคงลุกจากเตียงไม่ได้อีกเป็นเดือน!
“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” ฮ่องเต้คล้ายประหลาดใจเล็กน้อย ได้ยินแล้วก็กระดกคิ้วเข้ม ก่อนจะขานเรียกด้วยน้ำเสียงที่แยกแยะอารมณ์ไม่ออก “แม่ทัพจั้น!”
จั้นอู๋จี๋รับคำก้าวออกจากแถว วันนี้เขาเข้าตำหนัก ไม่ได้สวมชุดเกราะ แต่เปลี่ยนไปสวมใส่ชุดพิธีการของทหาร บุคลิกยังคงดูเย็นชาและห่างเหิน คิ้วเชิดดวงตามองตรง เผชิญหน้ากับคำถามอันน่าเกรงขามของฮ่องเต้ กลับตอบอย่างไม่ลนลาน “ทูลฝ่าบาท มีเรื่องเช่นนี้จริงพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดมาถึงตรงนี้ ก็ชะงักไปเล็กน้อย หันมองหลีเฟิ่งเซียนอย่างเย็นชา แล้วค่อยกล่าวต่อ “เมื่อคืน เว่ยเทียนเชารองแม่ทัพแห่งค่ายเซียวฉีของกระหม่อมกับเซียวจ้งโส่วลงไม้ลงมือกันเพื่อแย่งชิงสตรีขายศิลปะนางหนึ่งในหอเทียนเซียง ก่อเรื่องเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ผิดกฎทหาร เซียวจ้งโส่วไม่เพียงไม่คิดว่าตนเองผิด ยังลบหลู่เบื้องสูง ไม่สำนึกผิด! ฉะนั้นกระหม่อมจึงสั่งโบยเขาสี่สิบไม้ตามกฎของกองทัพเพื่อเป็นตัวอย่าง!”
หลีเฟิ่งเซียนเอ่ยเสียงเข้มอย่างเดือดดาล “เซียวจ้งโส่วเป็นคนของค่ายหงเยี่ยน ไม่ใช่คนของค่ายเซียวฉีที่อยู่ในการดูแลของแม่ทัพจั้น ท่านไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเขา กระทำการเกินอำนาจด้วยการสั่งลงโทษเขา เขาย่อมต้องมีความเห็นต่าง! ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ขัดแย้งกับเว่ยเทียนเชา ใครผิดใครถูกยังไม่ทันกระจ่าง แม่ทัพจั้นกระทำเช่นนี้ไม่ถือเป็นการลำเอียงหรือ!”
จั้นอู๋จี๋ยิ้มเย็น “วาจาของผู้น้อยแซ่จั้นเพียงฝ่ายเดียวยากพิสูจน์ความจริง โชคดีที่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยังมีพยานผู้เห็นเหตุการณ์อีกสามท่านสามารถยืนยันได้ว่าวาจาของผู้น้อยแซ่จั้นจริงหรือเท็จ!”
“พยานคือผู้ใด?” ครั้นได้ยินว่ายังมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ ฮ่องเต้ก็ถามขึ้นทันที
จั้นอู๋จี๋สีหน้าราบเรียบดั่งผิวน้ำนิ่ง หันไปมองตงฟางเจ๋อที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงดังฟังชัด “พยานสามท่านนั้นก็คือเจิ้นหนิงอ๋อง ท่านหญิงหมิงซี แล้วยังมีเหลียงหรูเยวี่ยบุตรีของผู้บัญชาการทหาร!”
ครั้นวาจานี้ออกจากปากเขา เหล่าขุนนางต่างพากันตกตะลึง การแต่งงานของเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อกับท่านหญิงหมิงซีถูกกำหนดขึ้นแล้ว หนึ่งในสามขุนนางขั้นสูงสุดอย่างอัครเสนาบดีซูเซียงหรูเป็นกำลังหลักที่สนับสนุนตงฟางเจ๋ออยู่เบื้องหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าพริบตาเดียว ก็ออกไปเที่ยวเล่นกันสามคนกับบุตรีของผู้บัญชาการทหารเสียแล้ว หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุอะไร? ต้องบอกก่อนว่าผู้บัญชาการทหารเหลียงสือชูมีอำนาจควบคุมทหารอยู่ในมือถึงสามหมื่นนาย เป็นหนึ่งในขุนนางที่ฝ่าบาททรงเชื่อใจมากที่สุดในยามนี้!
ทุกคนต่างพากันหันไปมองตงฟางเจ๋อที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาด้วยสายตาสงสัย คล้ายกำลังคาดเดาถึงเหตุจูงใจของเขา แต่ตงฟางเจ๋อกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ยังคงเป็นเหมือนบ่อน้ำลึกที่ไร้คลื่นลม
ฮ่องเต้หรี่ตาเล็กน้อย สายตาตมปลาบตวัดมองตงฟางเจ๋อ “เจิ้นหนิงอ๋อง”
ตงฟางเจ๋อก้าวออกจากแถวอย่างแช่มช้า ตอบเสียงขรึม “ทูลเสด็จพ่อ เรื่องที่แม่ทัพจั้นเอ่ยเมื่อครู่ไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่ลูกเห็นเมื่อคืนพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยอย่างกระชับได้ใจความ ไม่ได้เอ่ยมากความ เงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวอีกว่า “ลูกคิดว่า เพื่อความยุติธรรม เชิญท่านหญิงหมิงซีและคุณหนูเหลียงมาอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดด้วยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ตงฟางเจ๋อไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แต่น้ำเสียงที่ชัดเจนไร้ข้อกังขา กลับเป็นการยืนยันเรื่องหนึ่งทางอ้อม นั่นก็คือเซียวจ้งโส่วมีท่าทีไม่เคารพจั้นอู๋จี๋ และได้กระทำเรื่องลบหลู่เบื้องสูงจริงๆ
สีหน้าฮ่องเต้เย็นชาเล็กน้อย “เรียกตัวมา”
ภายในตำหนักใหญ่เงียบงันไร้เสียง ทว่ากลับมีบรรยากาศชวนอึดอัดซึ่งเป็นสัญญาณของคลื่นลมที่กำลังจะมาเยือนแผ่ปกคลุมไปทั่ว ทุกคนต่างก็กำลังแอบคาดเดา เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในตำหนักในวันนี้ เกรงว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นในราชสำนัก!
ซูหลีมาเข้าเฝ้าตามพระบัญชา เจอเหลียงหรูเยวี่ยด้านหน้าตำหนักพอดี พวกนางมองตากันโดยมิได้นัดหมาย ยามนี้ทั้งสองกระจ่างแจ้งแล้วถึงจุดประสงค์ของฮ่องเต้ที่เรียกพวกนางมาเข้าเฝ้า
ฮ่องเต้เปล่งเสียงเคร่งขรึมจากบังลังก์มังกรสูงส่งถามว่า “เจ้าคือเหลียงหรูเยวี่ย บุตรีของผู้บัญชาการทหาร?”
เหลียงหรูเยวี่ยตัวสั่นเล็กน้อย รวบรวมความกล้าตอบว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันคือเหลียงหรูเยวี่ย บุตรีของผู้บัญชาการทหารเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มบางๆ “ดี เจ้าจงเล่าเหตุการณ์ที่เจ้าเห็นในหอเทียนเซียงเมื่อคืนนี้ให้ข้าฟัง”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนมีไมตรีจิตของฮ่องเต้ นางก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น พอเห็นสายตานิ่งขรึมของเหลียงสือชูผู้เป็นบิดาที่กำลังแอบส่งกำลังใจให้นาง ความหวาดกลัวในใจพลันจางหายไปหลายส่วน เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังอย่างละเอียด ขณะที่ซูหลีลอบกังวลใจ กลับได้ยินเสียงอันน่าเกรงขามของฮ่องเต้ถามนางว่า “หมิงซี เรื่องที่เหลียงหรูเยวี่ยเล่ามา มีตรงไหนตกหล่นหรือไม่?”
ซูหลีสะดุ้งตกใจ รีบเก็บงำความคิด เรื่องเมื่อคืน ตงฟางเจ๋อและเหลียงหรูเยวี่ยล้วนเป็นพยาน นางย่อมไม่อาจสร้างเรื่องหลอกลวง จึงตอบเสียงขรึม “ทูลฝ่าบาท เรื่องที่คุณหนูเหลียงเล่าล้วนเป็นความจริงเพคะ”
“อืม” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ในเมื่อกระทำความผิด แม่ทัพจั้นสั่งลงโทษก็เป็นเรื่องสมควร คล้ายไม่มีเรื่องใดไม่เหมาะสม เซ่อเจิ้งอ๋องใช่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่” ชั่วแวบหนึ่ง สายตาลึกล้ำของเขามีประกายเย็นชาพาดผ่าน
ซูหลีสะดุดใจ เซียวจ้งโส่วทำผิดถูกโบยเป็นเรื่องหนึ่ง แต่จั้นอู๋จี๋กระทำเกินอำนาจด้วยการลงโทษโดยพลการก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าฟังจากวาจาของฮ่องเต้ คล้ายไม่คิดตำหนิแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าเป็นการลำเอียง ดูท่าแล้ว…กลับเหมือนกำลังเอาผิดหลีเฟิ่งเซียนเสียมากกว่า
หลีเฟิ่งเซียนหน้าเปลี่ยนสี คัดค้านอย่างทนไม่ไหว “ฝ่าบาท ยามนี้พยานทั้งสามได้ยืนยันแล้วว่าจั้นอู๋จี๋กระทำเกินอำนาจ ลงโทษโดยพลการ ตามกฎหมายแคว้นเฉิง สมควรถูกลดตำแหน่งหนึ่งขั้น!” เขาสะบัดแขนเสื้อก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว น้ำเสียงแข็งกร้าว สายตาเย็นชากวาดมองเงาร่างที่ยืนหลังเหยียดตรงของจั้นอู๋จี๋ จอมทัพแห่งสามเหล่าทัพที่เคยควบม้าฝ่าทะเลทรายผู้นี้พลันแผ่ราศีน่าเกรงขามออกมารอบกาย พาให้ผู้คนพรั่นพรึง
เผชิญหน้ากับท่าทีไร้ซึ่งความเกรงกลัวของหลีเฟิ่งเซียน ฮ่องเต้นัยน์ตาเคร่งขรึม ไม่ตอบอะไร
จั้นอู๋จี๋หรี่ตาเล็กน้อย ยืดหลังตรง เดิมเขาก็เกิดมามีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางยิ่งโดดเด่นสะดุดตาดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ เขากลับกล่าวหยัน “ค่ายหงเยี่ยนของท่านอ๋อง เป็นที่รู้จักกันว่ามีกฎระเบียบเคร่งครัด ยามนี้กลับมีหมาหัวเน่าเช่นเซียวจ้งโส่ว หากไม่ลงโทษให้เด็ดขาด จะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติของกองทัพ!” เขาตอบกลับอย่างเย็นชา ไม่ยอมอ่อนข้อ
หลีเฟิ่งเซียนเพลิงโทสะลุกท่วม กล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าดูแลค่ายทหารของตนเองอย่างไร ใช่เรื่องที่เจ้าต้องยุ่งเกี่ยวเมื่อไหร่? ถึงแม้เซียวจ้งโส่วมีความผิด เรื่องที่เจ้ากระทำการเกินอำนาจก็เป็นความจริง! ข้ายอมรับผิดที่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้มงวดพอ แต่เจ้าจั้นอู๋จี๋ ก็สมควรได้รับโทษที่กระทำการเกินอำนาจ!”
จั้นอู๋จี๋กระตุกมุมปาก ทว่าก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น หัวใจซูหลีกลับเย็นเยียบลงไปหนึ่งส่วน สีหน้าเช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นรอยยิ้มของผู้มีชัย!
“เรื่องเมื่อคืน อู๋จี๋ยอมรับว่ากระทำการไม่สมควรไปบ้าง แต่เพื่อความน่าเกรงขามของกองทัพแคว้นเฉิงเรา อู๋จี๋จำต้องทำเช่นนี้ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบ เขาก็คุกเข่ากับพื้น สีหน้าเรียบเฉยไร้ความกลัว ท่าทางองอาจผึ่งผาย
วาจาใจกว้างที่ยอมรับผิดก่อนแล้วค่อยโจมตีตามหลัง เหมือนดั่งเสียงคุกเข่าของเขาที่ดังสะเทือนเข้าไปในใจของทุกคนในตำหนัก เหล่าขุนนางส่วนใหญ่แสดงสีหน้าว่าเห็นด้วยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเป็นเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าหลีเฟิ่งเซียนกำลังหาเรื่องโดยใช่เหตุ
บรรยากาศในตำหนักพลันจมดิ่งสู่ความเงียบงัน ซูหลีหน้าซีดขาวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะก้าวเท้าไปข้างหน้า “ฝ่าบาท!” ยังเอ่ยไม่ทันจบ สายตาของทุกคนก็ตวัดมองมาทางนางอย่างพร้อมเพรียง ครั้นพลั้งปากเอ่ยออกไป ก็ไม่อาจถอยหลังได้อีก ซูหลีกัดฟันเอ่ย “หมิงซีคิดว่า เซียวจ้งโส่วทำผิดสมควรถูกลงโทษ แม่ทัพจั้นเองก็ทำผิดกฎทหารเช่นกัน ตามกฎหมายของแคว้นเฉิง แม่ทัพจั้นเองก็สมควรได้รับโทษเช่นกันเพคะ!”
…………………………………………….