กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 215 ควรยอมนางหรือไม่? (1)
ขณะที่ตงฟางเจ๋อกับซูหลีไปถึงเขตพระราชฐาน พระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว ในสนามฝึกนอกจากทหารเฝ้าเวรยามก็ไม่มีผู้ใดอีก คณะล่าสัตว์กลุ่มใหญ่ได้ออกเดินทางไปนานแล้ว เหลือเพียงฮองเฮาผู้เดียวที่นั่งอยู่ในกระโจมพูดคุยกับราชนิกุลหญิงหลายนาง ซูหลีเงยหน้ากวาดตามอง กลับเห็นหลีเหยาที่เพิ่งหายจากอาการป่วย นางสวมอาภรณ์สีเหลืองห่าน ขับเน้นให้ใบหน้ายิ่งดูซีดขาวหลายส่วน ร่างกายอันผ่ายผอม ยังคงชวนให้รู้สึกเป็นห่วง
ครั้นเห็นซูหลีกับตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาในกระโจม ใบหน้าที่ซีดขาวของนางก็ยิ่งซีดขึ้นไปอีกหนึ่งส่วน ทว่ากลับรีบก้มหน้าซ่อนนัยน์ตาหม่นหมอง
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อเดินเข้าไปถวายพระพร ฮองเฮาสายตาเคร่งขรึมเล็กน้อย ตำหนิเสียงเรียบ “เหตุใดจึงมาสายเช่นนี้? ฝ่าบาทกับจิ้งอันอ๋องต่างพาคณะล่าสัตว์เข้าไปในสนามแล้ว เสด็จพ่อเจ้าเห็นว่าเจ้าไม่มาเสียที จึงไม่พอใจยิ่ง!”
ตงฟางเจ๋อตอบกลับอย่างใจเย็น “เสด็จแม่สั่งสอนถูกต้อง ล้วนเป็นความผิดของลูก! ลูกจะมุ่งหน้าไปสนามล่าสัตว์เดี๋ยวนี้ จะต้องทำผลงานให้ดี เพื่อเป็นการไถ่โทษที่มาสายพ่ะย่ะค่ะ!” ท่าทางเขามั่นอกมั่นใจ ราวกับกำชัยชนะไว้ในมือแล้ว
ไอเย็นพาดผ่านดวงตาหงส์ของฮองเฮา นางแย้มยิ้ม แล้วกล่าว “ดี ฝ่าบาทบอกว่า ผู้ใดที่มีผลงานโดดเด่นในวันนี้ จะตบรางวัลให้อย่างงาม! เพื่อรางวัลนี้ ทุกคนต่างทุ่มเทไม่น้อย เพื่อสร้างผลงงาน เจ๋อเอ๋อร์แม้เจ้าจะมาสาย เชื่อว่าความสามารถของเจ้าจะต้องทำให้เจ้าได้รางวัลอย่างแน่นอน!”
ตงฟางเจ๋อก้มหน้าเล็กน้อย ตอบด้วยรอยยิ้มนอบน้อม “ขอบพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ! เช่นนี้ลูกยิ่งต้องพยายามไม่ให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ผิดหวัง! ลูกขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบก็จูงมือซูหลีออกจากกระโจม รอยยิ้มบนใบหน้าตงฟางเจ๋อพลันเย็นเยียบ ซูหลีเข้าใจความรู้สึกของเขา จึงถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
“ซูซู คอยดูเถิดวันนี้ข้าจะชิงสร้างผลงานโดดเด่นให้จงได้!” เขาพลิกกายขึ้นม้า สายตาเย็นชาเมื่อเลื่อนมองมาที่ใบหน้านาง ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมสว่างไสว!
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้ม “ความสามารถของท่านอ๋อง ซูหลีไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยเพคะ”
เขาหัวเราะเสียงดัง ตะบึงม้าออกไปอย่างองอาจ ซูหลีรีบตามไปติดๆ หวั่นซินและเซิ่งฉินรั้งท้ายสุด
สนามล่าสัตว์ของราชวงศ์เป็นเขตป่ารกทึบ ภูมิประเทศซับซ้อน สิงห์สาราสัตว์เกาะกลุ่มรวมตัว ส่งเสียงดังสวบสาบอยู่รอบด้าน เสียงฝีเท้ากระทบพื้นของม้าอูจุยผ่านพื้นที่ใด ฝุ่นดินล้วนตลบอบอวล
ณ จุดลับตาที่อยู่ในป่าด้านหน้า เสือดาวสีดำลายจุดสีน้ำตาลตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้รกชัฏ แทบมองไม่เห็น ตงฟางเจ๋อได้กลิ่นอายของสัตว์ร้ายจากที่ไกลๆ
นัยน์ตาลึกล้ำมีรัศมีของนักล่าพาดผ่าน ตงฟางเจ๋อยกคันธนูวางลูกศร เพิ่งจะเล็งไปที่เสือดาวตัวนั้น กลับได้ยินเสียงแหวกลมดัง ‘สวบ’ มาจากป่าด้านซ้าย ลูกศรแหลมคมลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงแหวกลมรุนแรง มุ่งหน้ามาทางเขา
ซูหลีตกใจ ยังไม่ทันร้องเตือน เห็นเพียงตงฟางเจ๋อใบหน้านิ่งขรึม หงายตัวไปด้านหลัง ลูกศรแหลมคมลูกนั้นพุ่งเฉียดจมูกเขาเข้าไปในป่าด้านขวา
เซิ่งฉินตกใจจนลุกพรวด รีบชักดาบออกจากฝัก “ผู้ใดบังอาจถึงเพียงนี้?!”
ตงฟางจั๋วมือง้างธนู ตะบึงม้าออกมาจากป่าด้านซ้าย ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงไอพิฆาต เพียงแต่ไอพิฆาตนั้นจางหายไปในพริบตา เร็วจนซูหลีนึกว่าตนเองตาฝาด องครักษ์จ้าวสวินที่อยู่ด้านหลังเขาตะบึงม้านำหน้าไปดึงลูกธนูที่ปักอยู่บนกิ่งไม้ด้านหลังตงฟางเจ๋อออกมา ปลายลูกธนูมีงูเขียวตัวหนึ่งถูกเสียบคาไว้
เซิ่งฉินอึ้งงัน ตงฟางเจ๋อหัวเราะ ก่อนจะกล่าวเสียงขรึม “พี่รองฝีมือยิงธนูยอดเยี่ยม!”
ราวกับฟังความนัยที่แฝงอยู่ไม่ออก ตงฟางจั๋วแค่นเสียงเย็น กล่าวว่า “ข้าเห็นงูตัวนั้นแล้วขัดตายิ่งนัก จึงยิงเล่นก็เท่านั้น แต่เสือดาวที่น้องหกหมายตาไว้วิ่งหนีไปเสียแล้ว คงร้อนใจไม่น้อยกระมัง! น้องหกต้องการสร้างผลงานโดดเด่น เกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น!” เขาหันไปมองซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง
“หนีไปแล้วก็หาใหม่ สนามล่าสัตว์กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ป่าลึกเบื้องหน้ามีสัตว์ร้ายมากมาย ยังกลัวล่าไม่ได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ก็คงต้องดูว่าม้าของพี่รองจะเร็วสู้ม้าของหม่อมฉันได้หรือไม่!” ตงฟางเจ๋อยิ้มบาง
ตงฟางจั๋วหน้าขรึมลง “ม้าอูจุยของน้องหกไม่เป็นสองรองผู้ใด เพียงแต่อย่าได้ลืม ข้างหลังยังมีหญิงงามคอยติดตาม”
ตงฟางเจ๋อสายตาตึงเครียดเล็กน้อย “ไม่รบกวนพี่รองให้ต้องเป็นห่วง ข้าลืมผู้ใด ก็ไม่มีวันลืมซูซูได้ ซูซู มานี่” เขาหันกลับไปยื่นมือให้นาง ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ซูหลีบังคับม้าให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทว่ากลับไม่ได้ยื่นมือให้เขา เพียงกล่าวเสียงเรียบ “เสือดาวหนีไปแล้ว ท่านอ๋องรีบตามไปเถิดเพคะ!” นางไม่ชอบถูกพวกเขาสองพี่น้องนำมาเป็นประเด็นถกเถียง ซูหลีคนก่อนอาจจะอ่อนแอ แต่นางในยามนี้ กลับไม่ต้องการให้คนอื่นคอยปกป้องอยู่ตลอดเวลาเหมือนนางเป็นคนอ่อนแอ
ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก เอื้อมมือโอบเอวบางของนาง แล้วดึงตัวนางไปกอดไว้ด้านหน้าตนเองอย่างรวดเร็ว
ซูหลีขมวดคิ้ว เงยหน้ามองนัยน์ตาลึกล้ำของเขา คลื่นอารมณ์ป่วนพล่าน รู้ดีว่าหากขัดขืนในเวลานี้มีแต่จะทำให้เขาคิดมาก ฉะนั้น ถึงแม้ไม่ชอบใจนัก แต่นางก็ยังยอมอยู่นิ่งๆ ในอ้อมแขนเขา ไม่ขยับเขยื้อน
กลิ่นผิวกายหอมหวนของสตรีในอ้อมแขนโชยมา ตงฟางเจ๋อรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นควบคุมตนเองไม่ได้ ก้มหน้าหมายจะหอมแก้มนาง ราวกับต้องมนต์สะกด
ซูหลีเห็นเขาก้มหน้าลงมาอย่างรวดเร็ว พลันตกใจ เบนหน้าหลบโดยสัญชาตญาณ กลีบปากอุ่นๆ ของเขาประทับจูบลงมาบนใบหน้านาง
ทำตัวสนิทสนมต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ พวงแก้มของซูหลีแดงผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย ในใจลอบหงุดหงิด จู่ๆ เหตุใดตงฟางเจ๋อจึงได้กลายเป็นคนผลีผลามเช่นนี้? ไม่แยกแยะกาลเทศะเสียบ้างเลย! หรือเพราะหมั้นหมายไว้แล้ว เขาจึงคิดว่าช้าเร็วนางก็ต้องเป็นคนของเขา จึงไม่ห่วงพะวงอะไรอีกแล้ว?
ซูหลีขมวดคิ้ว ยกมือผลักเขา ได้ยินเพียงเสียงแค่นหัวเราะเย็นชาดังมาจากด้านซ้าย
ตงฟางจั๋วกำหมัดแน่น ม่านตาหดเล็กลง เห็นคนที่รักใกล้ชิดกับคนอื่นกับตา เขากลับไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเข้าไปห้าม ตงฟางจั๋วเหมือนถูกคนเอามีดแทงหัวใจ เจ็บเจียนตาย ทว่ากลับไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่กัดฟันกรอดกล่าวว่า “จ้าวสวิน ไป!” สูดหายใจลึกๆ เขาบังคับม้าเปลี่ยนทิศทาง ข่มกลั้นใจตัวเองไม่ให้มองใบหน้าแดงผ่าวของนางอีก ก่อนจะตะบึงม้าออกไปอีกทางหนึ่ง เขายังไม่ลืมความหวาดกลัว ความโกรธขึ้ง และความเกลียดชังที่นางแสดงออกยามอยู่ต่อหน้าเขา ทว่าเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของอีกคน ความโกรธเคืองที่นางแสดงออกกลับเหมือนแง่งอน มีแต่จะทำให้คนรู้สึกจั๊กจี้หัวใจ และอดไม่ได้ที่จะรามือ
ตงฟางเจ๋อรู้ดีว่ายามนี้ไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะแสดงความใกล้ชิด แต่ความปรารถนาในร่างกายกลับท่วมทนจนทรมาน ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกระชับอ้อมแขน หญิงงามในอ้อมอกกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตางามฉาบไว้ด้วยแววเคืองขุ่นรางๆ
“ท่านอ๋องเพคะ!” นางตำหนิเสียงเบาอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “หากยังเสียเวลาอีก รางวัลอาจตกเป็นคนของคนอื่นนะเพคะ”
นางหันหน้ากลับไป หมายจะกระโดดลงจากม้า ตงฟางเจ๋อสูดหายใจลึกๆ ข่มกลั้นตนเองให้มองข้ามความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ถูก ก่อนจะคลายอ้อมแขน ซูหลีฉวยจังหวะนี้กระโดดลงจากหลังม้า แล้วพลิกกายขึ้นม้าตนเอง ตะบึงไปยังเบื้องหน้าด้วยท่าทางอันงดงามหมดจด
ตงฟางเจ๋ออึ้งงัน ไม่มีเวลาให้คิดมาก รีบตามไปทันที แตกต่างจากความสง่างามสูงส่งในยามปกติ หญิงสาวบนหลังม้าท่วงท่าคล่องแคล่วเข้มแข็ง องอาจกล้าหาญ ถึงแม้ควบม้าด้วยความเร็ว แต่กลับมั่นคงปลอดภัย เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หากรู้แต่แรกว่าซูซูมีทักษะขี่ม้าเยี่ยมยอดถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่เสียเวลาเดินทางช้าเพื่อเจ้า!”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “หม่อมฉันนึกว่าท่านอ๋องเชยชมทัศนียภาพข้างทางเสียอีกเพคะ”
ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา กล่าวว่า “เจ้าไม่เคยออกจากจวนตั้งแต่เยาว์วัย ทักษะขี่ม้านี้ไปเรียนมาจากที่ใด? คงไม่ใช่ว่าท่านหญิงหมิงอวี้สอนเจ้าในความฝันอีกกระมัง?”
………………………………………….