กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 223 จะไปตำหนักเย็น?! (1)
วาจาประโยคเดียวที่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง เปลี่ยนการยึดอำนาจโดยเจตนา ให้กลายเป็นความห่วงใยจากกษัตริย์อย่างง่ายดาย
ทุกคนเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เหน็ดเหนื่อยตรากตรำและสร้างผลงานมากมายงั้นหรือ? หลีเฟิ่งเซียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่นในใจ ก้มศีรษะกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หันไปอีกด้าน ขานเรียก “จั้นอู๋จี๋”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เสียงรับคำทุ้มลึกทรงพลังดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเงาร่างหนุ่มแน่นสูงตระหง่านของจั้นอู๋จี๋ เขาก้าวเข้ามายืนข้างกายหลีเฟิ่งเซียน เทียบกับเซ่อเจิ้งอ๋องที่สูญเสียความฮึกเหิมไปแล้ว แม่ทัพทหารม้าผู้กล้าหาญชาญชัยและซื่อสัตย์ภักดี มีบุคลิกกระฉับกระเฉงและกระตือรือร้นก็เปรียบเสมือนดาบคมที่ถือไว้ในมือกษัตริย์ บังคับได้ดังใจ ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน
ฮ่องเต้รับตราพยัคฆ์ไป แล้วส่งมอบให้เขาพร้อมกล่าวว่า “นับจากวันนี้ ค่ายเลี่ยเยี่ยนให้เจ้าเป็นผู้รับช่วงดูแลต่อ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า”
จั้นอู๋จี๋ใบหน้าเคร่งเครียดจริงจัง คุกเข่ารับตราพยัคฆ์ ค้อมศีรษะรับราชโองการ ในดวงตาเย่อหยิ่งเย็นชาที่หลุบต่ำ มีประกายเย็นยะเยือกพาดผ่านแวบหนึ่ง ไม่ง่ายที่จะสังเกตเห็น
การล่าสัตว์ที่ล่าช้าออกไปเพราะพิธีคัดเลือกพระสวามีของท่านหญิงจบลงไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันจริงๆ หรือมีผู้ใดเตรียมการไว้ล่วงหน้ากันแน่ ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เรื่องจบแต่เพียงเท่านี้ จึงไม่มีผู้ใดกล้าตรวจสอบ ถึงแม้ตรวจสอบไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี
ซูหลีไม่ได้กลับเมืองไปพร้อมกับขบวนเสด็จอันใหญ่โตมโหฬาร เพียงขี่ม้าขาวตัวเดิมเดินทางกลับช้าๆ ไปพร้อมกับตงฟางเจ๋อ
ตลอดทาง มีเรื่องราวในใจมากมาย ในสมองมีภาพใบหน้ายามผิดหวังของเสด็จพ่อผุดขึ้นมาไม่หยุด
“ข้าทำผิดไปหรือไม่?” นางพึมพำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ถ้าหากนางไม่ทำทุกวิถีทางเพื่อพลิกคดีของหลีซู เสด็จพ่อกับตงฟางจั๋วก็จะไม่แตกแยกบาดหมางกัน จวนเซ่อเจิ้งอ๋องก็คงไม่พินาศย่อยยับอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหลีสงสัยในการตัดสินใจของตนเอง เสด็จแม่ไม่อยู่แล้ว เสด็จพ่อเป็นญาติสนิทที่สุดเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่บนโลกใบนี้!
ตงฟางเจ๋อมองนางอย่างแปลกใจ น่าประหลาดที่เขากลับเข้าใจคำพูดของนาง คิ้วเข้มกระดกเล็กน้อย เขากล่าวเสียงราบเรียบ “ซูซูคิดมากไปแล้ว! ถึงแม้ไม่มีเรื่องที่ท่านหญิงหมิงอวี้ถูกลอบทำร้ายเกิดขึ้น ช้าเร็วเซ่อเจิ้งอ๋องก็ต้องสูญเสียอำนาจไปอยู่ดี แล้วเหตุใดซูซูจึงต้องแบกรับความผิดทั้งหมดไว้กับตนเองด้วยเล่า อย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ท่านหญิงหมิงอวี้ ถึงแม้ใช่ ท่านหญิงหมิงอวี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองถูกลอบทำร้ายโดยไม่สืบสวนให้กระจ่างแน่นอน!”
ซูหลีก้มหน้า รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขากล่าวไม่ผิดสักนิด แต่ในใจก็ยังทุกข์อย่างไม่อาจหักห้าม จวนเซ่อเจิ้งอ๋องในยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่น มิอาจต้านรับการโจมตีใดได้อีกแล้ว
นางครุ่นคิด และทันใดนั้นก็ดึงบังเหียนม้า หันไปกล่าวกับเขาว่า “ครั้งที่แล้วท่านอ๋องไปเยือนจวนเซ่อเจิ้งอ๋องกับหม่อมฉัน จำได้ว่าท่านอ๋องทรงกล่าววาจาคล้ายเลื่อมใสเซ่อเจิ้งอ๋องยิ่งนัก?”
ตงฟางเจ๋อเงยหน้าเอ่ยว่า “ถูกต้องแล้ว ข้าเคยพูดเช่นนั้น ข้าเลื่อมใสในความห้าวหาญน่าเกรงขามของเซ่อเจิ้งอ๋อง น่าเสียดายที่ความคิดคร่ำครึ ยึดมั่นว่ามีเพียงโอรสสายตรงสืบทอดบัลลังก์เท่านั้น จึงจะสามารถปกครองบ้านเมืองให้มั่นคงได้ แต่กลับไม่สนใจว่าคนผู้นั้นมีความสามารถมากพอที่จะทำให้ราชวงศ์เฉิงของเรากลายเป็นราชวงศ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าได้หรือไม่!” พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของเขาเย็นเยียบลงเล็กน้อย
ซูหลีอึ้งงันไปเล็กน้อย เรื่องนี้เสด็จพ่อมีความคิดที่คร่ำครึเกินไปจริงๆ ซูหลีแย้มยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ความคิดของคน ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ ยามนี้เซ่อเจิ้งอ๋องถูกยึดอำนาจทางทหาร สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิ้งอันอ๋องก็ไม่ดีดังเดิม หากท่านอ๋องเข้าไปดูแลเขาในยามนี้ ความคิดของเซ่อเจิ้งอ๋อง จะต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่นอนเพคะ”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย หยุดม้าข้างกายนาง เอ่ยถามกลั้วเสียงหัวเราะ “ซูซูต้องการให้ข้าเชื่อมสัมพันธ์กับเซ่อเจิ้งอ๋อง? ในยามนี้?”
ซูหลีกล่าว “ยามนี้อาจไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด แต่ด้วยความสามารถของท่านอ๋อง ขอเพียงเข้าไปดูแลเซ่อเจิ้งอ๋องในเวลาที่เหมาะสมสักเล็กน้อย ด้วยความฉลาดของเซ่อเจิ้งอ๋อง เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่าเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อมองนางด้วยสายตาลึกล้ำยากคาดเดา ไม่ได้เอ่ยคำใด
ซูหลีไม่มั่นใจ รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย พลันนึกถึงวาจาประโยคหนึ่งที่เขาเคยเอ่ยตอนไปเยือนที่พักใหม่ของนาง ‘หากไม่อยากให้มีสงคราม มีเพียงต้องรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง’ ซูหลีใจสะท้าน มองเขาแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้เซ่อเจิ้งอ๋องไม่มีอำนาจทางทหาร อำนาจในราชสำนักก็ไม่เหมือนก่อน แต่บารมีด้านการทหารของเขาไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้แน่! หากท่านอ๋องได้รับการสนับสนุนจากเซ่อเจิ้งอ๋อง จะต้องมีแต่ผลได้ไร้ผลเสียแน่นอนเพคะ ถึงแม้ยามนี้ท่านอ๋องยังไม่อาจใช้ประโยชน์จากเขาได้ ภายหน้ายามรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง มิอาจขาดแม่ทัพมากความสามารถเช่นนี้ไปได้!”
ใบหน้าหล่อเหลาสั่นไหว นัยน์ตาดำขลับค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา เขาพลันแย้มยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูเหมือนแสงตะวันที่สาดส่องคลื่นน้ำบนผิวมหาสมุทร เจิดจ้าแยงตา ทว่ากลับลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ซูหลียิ่งคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าในใจของเขาคิดว่านางพูดถูก หรือไม่ถูกกันแน่?
นางขมวดคิ้วเบาๆ มือพลันถูกเขากุม ตงฟางเจ๋อกระตุกยิ้ม มองนางพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ใต้ฟ้านี้ คนที่เข้าใจความคิดของข้า มีเพียงซูซูผู้เดียว!”
ซูหลีคลายใจ แย้มยิ้มบางๆ มองดูดวงตาที่แปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายของเขา นางเพียงรู้สึกว่าแสงอาทิตย์ในวันนี้ สดใสกว่าที่เคย และฝ่ามือของเขาที่กุมมือนางไว้ ก็อบอุ่นกว่าทุกครั้ง
การล่าสัตว์ที่ภูเขาฉีซาน ฮองเฮาได้รับบาดเจ็บอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อให้เกิดคลื่นลมลูกใหญ่ เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนถูกยึดอำนาจทางทหารด้วยเรื่องนี้ แม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋ได้รับความดีความชอบและเลื่อนตำแหน่ง พาให้ผู้คนในราชสำนักต่างตกตะลึงถ้วนหน้า ครั้นกลับถึงวังหลวง ฮ่องเต้รับสั่งให้มอบสมบัติล้ำค่าหายากจำนวนมากให้ฮองเฮา เพื่อเป็นการปลอบขวัญ
องค์หญิงเจาหวาได้รับพระราชทานอนุญาตให้เข้าพักในเรือนตะวันตกของจวนท่านหญิง ซูหลีกำชับให้หวั่นซินสั่งบ่าวรับใช้ในจวน จะต้องปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ห้ามให้เกิดความผิดพลาดใดเด็ดขาด เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นตามมา
วันที่สองหลังจากกลับเข้าเมือง องค์หญิงเจาหวาเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของฮองเฮา จึงนัดหมายให้ซูหลีเข้าวังไปพร้อมนาง ตามธรรมเนียมมารยาท ซูหลีไม่สะดวกที่จะปฏิเสธ ทั้งสองจึงนั่งรถม้าเข้าวังหลวงไปพร้อมกัน
ณ ตำหนักฉางชุน ฮองเฮากำลังเอนกายปิดตางีบหลับอยู่บนตั่ง ข้างกายมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เรือนร่างผอมบาง รูปโฉมงดงามหมดจด คือหลีเหยานั่นเอง
นึกไม่ถึงว่าจะเจอหลีเหยาในเวลาและสถานที่เช่นนี้ ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกประหลาดอธิบายไม่ถูก การล่าสัตว์บนเขาฉีซานเมื่อวาน หลีเหยาก็นั่งอยู่ข้างฮองเฮา ดูเหมือนว่าหลังจากที่อวี้หลิงหลงตาย นางกับฮองเฮาก็สนิทกันมาก
ครั้นเห็นทั้งสอง หลีเหยารีบลุกขึ้นส่งสัญญาณอย่างเงียบงัน คล้ายต้องการบอกให้พวกนางออกไปคุยกันข้างนอก เพื่อไม่ทำให้ฮองเฮาตกใจตื่น
ทั้งสามหมายจะเดินออกไปข้างนอก กลับได้ยินฮองเฮาพูดขึ้นว่า “องค์หญิงเจาหวามาหรือ?”
หยางเสวียนได้ยิน รีบหมุนกายกลับไปกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีเจาหวามาเยี่ยมฮองเฮา นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนเวลาพักผ่อนของฮองเฮา ต้องขออภัยจริงๆ เพคะ!”
“ไม่เป็นไร” หลังจากพักฟื้นกายใจ สีหน้าของฮองเฮาก็ไม่ซีดขาวเท่าเมื่อวานอีก ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะสดใสร่าเริงของหยางเสวียน รอยยิ้มเบิกบานพลันผุดขึ้นบนใบหน้า รีบลุกขึ้นนั่ง แต่กลับลืมอาการบาดเจ็บทางกาย หลุดร้องโอดโอยขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลีเหยาหน้าเปลี่ยนสี รีบเข้าไปประคองฮองเฮาตัดหน้านางกำนัล ทั้งยังไม่ลืมที่จะเอาหมอนนุ่มหลายใบยัดเข้าไปตรงเอวของนาง
ฮองเฮายิ้มให้นางอย่างชื่นใจ จากนั้นก็หันไปขานเรียกหยางเสวียน “อย่ามัวแต่ยืนอยู่ รีบนั่งคุยเป็นเพื่อนข้าเร็วเข้า” นางหันมองไปอีกด้าน คล้ายเพิ่งเห็นซูหลีเอาป่านนี้ รอยยิ้มจืดจางลงหลายส่วน “หมิงซีก็มาด้วยหรือ? ต่างก็ไม่ใช่คนนอก นั่งเถิด”
วาจาแม้กล่าวอย่างเกรงใจ คล้ายไม่แยกแยะความแตกต่าง แต่ความห่างเหินในน้ำเสียงกลับแสดงออกอย่างชัดเจน ซูหลีย่อมเข้าใจดีว่าเป็นเพราะสาเหตุใด นางยังคงแย้มยิ้มบางๆ ตามมารยาท คาดเดาอารมณ์ไม่ออก
…………………………………………………………..