กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 237 ฝากฝังชะตากรรม (1)
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย วาจานี้กล่าวได้น่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก ไม่ว่าเขาจะจริงใจหรือเสแสร้ง ขอเพียงทำให้นางเข้าไปในคุกมืดได้อย่างราบรื่น เท่านั้นก็พอแล้ว
ซูเซียงหรูกำชับให้นางระมัดระวังอีกหลายประโยค ผ่านไปไม่นานซูหลีก็กล่าวลา ครั้นกลับถึงจวน ก็รอฟังข่าวอย่างใจเย็น
อำนาจในราชสำนักของซูเซียงหรูไม่อาจดูเบาดังคาด ประสิทธิภาพในการดำเนินการยอดเยี่ยม ในฐานะขุนนางพลเรือน คุกมืดซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของกรมอาญา ก็ยังมีคนของเขาอยู่ ใช้เวลาเพียงสองวัน ก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย
เรือนจำสูงสุดของแคว้นเฉิงแห่งนี้ไม่ได้มีพื้นที่กว้างนัก ด้านนอกมีการเฝ้าระวังอย่างรัดกุม เมื่อผ่านการตรวจสอบด่านแรกเข้ามา ส่วนห้องขังที่อยู่ตรงกลาง กลับไม่ได้มีการเฝ้าระวังที่เข้มงวดนัก เพราะไม่มีใครอยากเข้ามาในนี้
ก่อนจะเข้ามา นางได้สังเกตแผนที่ของคุกมืดมาอย่างละเอียดแล้ว คุกแห่งนี้มีลักษณะเหมือนอักษร回 ห้องขังที่ใช้คุมขังนักโทษอยู่แถวหลังสุด มีทั้งหมดห้าห้อง ด้วยกฎหมายการทรมานที่รุนแรงของแคว้นเฉิง สองฝั่งด้านในของคุกมืดล้วนเป็นห้องเก็บเครื่องมือสำหรับการทรมาน ทุกห้องเต็มไปด้วยเครื่องมือทรมาน รูปแบบแตกต่างกันไป แต่ละชนิดล้วนโหดร้ายทารุณ สามารถทรมานคนให้เจ็บจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่า คุกมืดคือสถานที่ที่รวมบทลงโทษอันทรมานทุกอย่างในโลกไว้ในที่เดียวกัน
ยามนี้ นักโทษที่ถูกคุมขังในคุกมืดมีเพียงคนเดียว นั่นคือเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อ
นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นเฉิงมา คนที่ถูกจับมาขังในคุกมืดมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ราชวงศ์ปัจจุบันมีเพียงสองคนที่ฮ่องเต้มีราชโองการให้จับมาคุมขัง คนหนึ่งคือตงฟางเจ๋อ อีกคนหนึ่งคืออวี้หลิงหลง ชายารองของเซ่อเจิ้งอ๋องผู้ที่คัดค้านการทรมานด้วยการปลิดชีพตนเอง
เซี่ยงหลีจับตาดูคนที่เข้าออกคุกมืดทุกวันอย่างละเอียดตามข้อมูลที่ได้มาจากซูเซียงหรู เขาช่ำชองการแปลงโฉม ใช้เวลาไม่นานในการแปลงโฉมตนเองและซูหลีให้กลายเป็นบ่าวรับใช้ที่นำอาหารมาส่งในห้องขังทุกวัน พวกเขาจึงผ่านประตูคุกมืดเข้าไปด้านในได้อย่างราบรื่น
หวั่นซินเป็นห่วงความปลอดภัยของซูหลี เดิมอยากไปด้วย แต่หลังจากที่ทุกคนปรึกษากัน ซูหลีตัดสินใจพาเซี่ยงหลีเข้าไปในคุกมืดเพียงผู้เดียว หนึ่งเพราะคนเยอะกลับจะทำให้เสียเรื่องได้ง่าย สองเพราะเซี่ยงหลีมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกว่า เขามีความสามารถในการแปลงโฉมและมีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยม หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก็สามารถรับมือได้ทัน ถือเป็นการรอบคอบไว้ก่อน
ขณะที่ซูหลีเดินตามหลังเซี่ยงหลีผ่านการตรวจร่างกายในแต่ละด่าน และถือกล่องข้าวเดินเข้าไปในประตูคุกมืด อากาศเย็นเยียบพลันแทรกซึมผ่านคอเสื้อเข้าไปในเสื้อ นางตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ดูคล้ายก้มหน้าก้มตาเงียบๆ แต่สายตากลับกวาดมองสถานการณ์ในห้องนี้อย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่งแล้ว
ตรงทางเข้า คือห้องของทหารยามที่ตั้งอยู่ตรงกลางแผนที่ ห้องนี้มีสี่ประตู สามารถทะลุผ่านไปยังห้องขังทั้งสี่ด้านได้
“เหล่าฉินมาแล้วหรือ? วันนี้กินอะไรดีเล่า?” ผู้คุมคนหนึ่งครั้นเห็นเซี่ยงหลีเดินมา ก็รีบตะโกนถามเสียงดังทันที
เซี่ยงหลีใบหน้าเกลื่อนยิ้ม รีบเปิดกล่องข้าว เผยให้เห็นกับข้าวด้านใน “หมูสามชั้นผัดซอสแดง! เป็นอย่างไร? ข้าบอกให้ห้องครัวทำไว้เยอะเชียว ตอนนี้อากาศหนาวจนแทบตัวแข็ง คุกแห่งนี้ก็หนาวนัก สุราก็ดื่มไม่ได้ เหล่าสหายของข้ากินเนื้อให้อิ่มท้องเสีย ร่างกายจะได้อบอุ่น!”
เขาแปลงโฉมเป็นเหล่าฉิน เป็นผู้ดูแลอาหารการกินของเหล่าผู้คุม ตามกฎของห้องขัง ทุกวันจะต้องให้เขาพาบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้าไปส่งอาหารในห้องขัง ฉะนั้นเหล่าฉินจึงค่อนข้างสนิทสนมกับเหล่าผู้คุม โชคดีที่เซี่ยงหลีศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าการกระทำ หรือการพูดการจา เขาล้วนเลียนแบบได้เหมือนแปดถึงเก้าส่วน ทำให้ไม่มีผู้ใดเอะใจ
ครั้นกล่องข้าวถูกเปิด กลิ่นเนื้อหอมๆ เย้ายวนใจก็พลันลอยโชยออกมา ท่ามกลางอากาศที่อุณหภูมิต่ำ ยิ่งชวนให้น้ำลายไหล พยาธิในกระเพาะแทบทนรอไม่ไหว
ผู้คุมหลายคนเห็นเข้าก็พากันลิงโลด ในสถานที่บ้าๆ ที่ขนาดยืนใกล้เตาไฟยังมือเท้าแข็งอย่างนี้ พวกเขากรูกันเข้าไปหยิบเนื้อขึ้นมา ทยอยกันยัดเข้าปาก จากนั้นก็ร้องชมไม่ขาดปาก
กลีบปากของเซี่ยงหลีเผยอยิ้มแปลกๆ แวบหนึ่ง กำชับให้ซูหลีรีบนำอาหารในกล่องออกมาจัดวางให้เรียบร้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทุกท่านค่อยๆ ทาน วันนี้สหายคนใดจะตามข้าเข้าไปด้านในดีเล่า!”
ยามนี้ความสนใจของผู้คุมทุกคนล้วนพุ่งเป้าไปที่อาหารตรงหน้า ต่างคนต่างโยนกันไปโยนกันมา ในที่สุดก็ผลักคนที่ชื่อเหล่าหูออกมา เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก เอาแต่ก่นด่าเสียๆ หายๆ ตลอดทางที่พาซูหลีไปส่งอาหารให้ตงฟางเจ๋อ
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในห้องขัง ซูหลีก็เพิ่งจะสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง สาเหตุที่คุกมืดถูกเรียกว่าคุกมืด ก็เพราะคำว่า ‘มืด’ นั่นเอง ห้องขังที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดปี มีกลิ่นอายเย็นยะเยือกปกคลุมไปทั่วทั้งด้านในและด้านนอก แสงเทียนบนกำแพงสองด้านของห้องขังที่ให้ความสว่าง แผ่ความอบอุ่นที่มีอยู่น้อยนิดออกมา ทว่ามิอาจลบล้างอุณหภูมิต่ำที่เย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งนี้ได้แม้แต่น้อย
หากคนที่จิตอ่อนต้องเข้ามาอยู่ในนี้ เพียงไม่กี่วันแม้ไม่ตายก็คงเสียสติ
ซูหลีเข้ามาได้ไม่นาน ก็รู้สึกว่าผิวกายที่อยู่นอกร่มผ้าหนาวเย็นไปจนถึงกระดูก อุณหภูมิในนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าอากาศที่หนาวที่สุดในเหมันตฤดูแม้แต่น้อย นางปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก ถึงแม้ตงฟางเจ๋อมีวรยุทธ์สูงส่ง กำลังภายในเลิศล้ำ แต่หากต้องอยู่ที่นี่นานๆ ร่างกายคงได้รับความเสียหายไม่น้อย! สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายในคุกมืด ฮ่องเต้มีหรือจะไม่รู้? เมื่อใดที่แตกหักกัน ฮ่องเต้โหดร้ายไร้ปรานีได้ถึงเพียงนี้! ในสายตาชาวโลกท่านอ๋องทั้งสองต่างได้รับความโปรดปรานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเบื้องหลังรัศมีอันเรืองรอง ซ่อนความรู้สึกขมขื่นไว้มากมายเพียงใด?
เมื่อมาถึงด้านหน้าประตูเหล็กสีดำซึ่งอยู่สุดทางเดิน ผู้คุมชะงักฝีเท้า ซูหลียังคงเดินก้มหน้าอย่างนอบน้อม หัวใจกลับเต้นเร็วอย่างไม่รู้ตัว ได้ยินเพียงเสียง ‘แอ๊ด’ ประตู ก็ถูกเปิดออกแล้ว
ในห้องขังอันมืดมิด มีโต๊ะหินเตียงหิน มุมห้องมีเตาไฟให้ความอบอุ่นอยู่หนึ่งเตา ถ่านไฟในเตาแทบจะมอดดับอยู่แล้ว นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก ตะเกียงบนโต๊ะหิน ถูกสายลมที่เกิดขึ้นขณะเปิดประตูพัดจนไหวกระเพื่อม เกือบจะมอดดับไปด้วย
บุรุษอาภรณ์ดำรัดเกล้าทอง นั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง เอนหลังพิงผนังอันเย็นเยียบ คล้ายกำลังหลับตาทำสมาธิ แสงไฟสลัวสาดส่องไปบนกายเขา ดวงหน้าหล่อเหลาชวนตะลึงในวันวาน ยามนี้ยิ่งดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน ครั้นได้ยินเสียงประตู เขาไม่มีปฏิกิริยาใด ราวกับทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“ท่านอ๋อง ได้เวลาเสวยอาหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีของผู้คุมยังถือว่านอบน้อม ส่งสายตาให้ซูหลีนำอาหารไปวางบนโต๊ะหินอีกด้าน นางรีบนำอาหารออกมาจัดวางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยไปยืนอีกด้าน ตามกฎ ผู้คุมต้องพานางออกไปนอกห้อง แล้วค่อยเข้ามาเก็บภาชนะอีกครั้ง
ไม่มีผู้ใดเห็น ดวงตาที่หลุบต่ำของนางมีประกายประหลาดพาดผ่าน นิ้วมือเรียวยาวดั่งหยกที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ บิดหมุนเล็กน้อย กลิ่นหอมที่จางจนแทบไม่รู้สึกค่อยๆ ลอยไปทางผู้คุมคนนั้น
“คนส่งข้าวอยู่ปรนนิบัติข้า ที่เหลือไสหัวออกไป!” ตงฟางเจ๋อที่เงียบมาตลอด พลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ผู้คุมคนนั้นอึ้งงัน นึกว่าตนเองฟังผิดไป ตั้งแต่ถูกกุมตัวมาขังในคุกมืด ยังไม่เคยได้ยินเขาพูดกับใครสักประโยค เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเตือนด้วยความระมัดระวัง “ท่านอ๋อง นี่มัน…ผิดกฎนะพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อพลันลืมตา ในเงามืดราวกับมีประกายแสงคมปลาบสองดวง เย็นชาบีบคั้นผู้คน เขาจ้องหน้าผู้คุมด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ไม่พูดอะไร
แรงกดดันที่มองไม่เห็นผสมกับกลิ่นอายเยือกเย็นจนทำให้คนหายใจไม่ออก แผ่กำจายไปทั่วห้องขัง เขาตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ในใจพลันพรั่นพรึง สายตาของเจิ้นหนิงอ๋องผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก ถึงกับทำให้อุณหภูมิในห้องนี้เย็นเยียบลงอีกหลายส่วน! เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับและไม่พูดจา ทั้งที่เป็นแค่คนตกที่นั่งลำบาก ทั้งที่เป็นเพียงนักโทษที่มีความผิด แต่ชั่วขณะหนึ่ง กลับทำให้คนอื่นรู้สึกว่า เขาต่างหากคือผู้มีอำนาจสูงสุดในโลกใบนี้
……………………………………………………….