กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 238 ฝากฝังชะตากรรม (2)
ผู้คุมไม่กล้าแสดงอาการไม่พอใจแม้แต่น้อย ทว่าในใจกลับไม่ยินยอม เขาหมายจะพูดอะไร จู่ๆ กลับรู้สึกปวดบิดที่ท้องอย่างรุนแรง เม็ดเหงื่อพลันผุดพรายเต็มหน้าผาก
เขาลอบตึงเครียด รู้สึกว่าอาการปวดนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่กล้ารั้งอยู่ต่อแม้แต่นาทีเดียว และไม่มีเวลาต้อนรับขับสู้ตงฟางเจ๋ออีก รีบหันไปชี้ซูหลีพร้อมกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่คอยปรนนิบัติท่านอ๋องเสวยอาหาร อีกประเดี๋ยวข้ามา” เอ่ยจบ ก็รีบพุ่งตัวออกไป ปิดประตูเหล็กเสียงดัง แล้วรีบวิ่งไปทางห้องปลดทุกข์ทันที
ซูหลีพลันผ่อนลมหายใจ เดิมทีหมายจะรอให้ถึงตอนที่ผู้คุมพานางออกไป ใช้อาการปวดท้องกันเขาออกไป แล้วฉวยโอกาสนั้นคุยกับตงฟางเจ๋อสักหลายประโยค ปรากฏว่าเขากลับเปิดปากขึ้นมาก่อน ช่างบังเอิญจริงๆ ปริมาณยาที่นางใช้อยู่ในระดับพอดี ผู้คุมคนนั้นไม่มีทางกลับมาในเร็วๆ นี้แน่
รอบข้างเงียบสงัด นอกประตูไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว เสียงถอนหายใจเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูนาง “ซูซู เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้มาก” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ตงฟางเจ๋อก็แย้มยิ้มบางๆ ร่างกายสูงใหญ่เดินมาหยุดตรงหน้านางแล้ว
ซูหลีสะดุ้งตกใจ นางแปลงโฉม ทั้งยังไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เหตุใดเขาจึงมั่นใจนักว่าผู้มาเป็นนาง? ครั้นนึกได้ว่าเขาเป็นคนมีไหวพริบยอดเยี่ยมมาโดยตลอด ก็อดทอดถอนใจกับตนเองไม่ได้ นางกล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องสายตาเฉียบแหลม ไม่ว่าสิ่งใดก็มิอาจรอดพ้นสายตา”
ตั้งแต่ที่เขาถูกจับกุม พวกเขาไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว เขากลับไม่ได้ดูเปลี่ยนไป รอยยิ้มพาดผ่านดวงตาของนาง ถูกคนวางแผนเล่นงาน แม้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ยังมีท่าทางผ่อนคลาย จิตใจสงบเยือกเย็น ตงฟางเจ๋อที่เป็นเช่นนี้ ช่างชวนให้ผู้คนเลื่อมใสยิ่งนัก
“สามารถแฝงตัวเข้ามาในคุกมืดได้ภายในสองสามวัน ซูซูเองก็ไม่ธรรมดาเลย” ตงฟางเจ๋อมองดูหน้ากากหนังที่ไม่คุ้นตา กลีบปากเผยอยิ้มเล็กน้อย
“โชคดีที่มีท่านพ่อคอยช่วยเหลือ มิเช่นนั้นคงไม่อาจเข้ามาได้อย่างราบรื่นเช่นนี้เพคะ”
ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก ซูหลีมีสายสัมพันธ์กับคนในจวนอัครเสนาบดีเพียงผิวเผิน เขาย่อมรู้ดี และตั้งแต่ที่นางย้ายออกจากจวน ก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย ยามนี้เพื่อเข้ามาพบเขาในคุกมืด นางกลับเป็นฝ่ายกลับไปขอความช่วยเหลือจากซูเซียงหรูเอง
คำตอบอยู่ในความคาดหมายของเขา แต่หัวใจของเขากลับสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม
แสงไฟสลัว เป็นประกายสีเหลืองอ่อน ใบหน้าบุรุษของซูหลีหลังจากแปลงโฉมเรียบเฉยไร้อารมณ์ มีเพียงนัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นที่ใสดั่งสายน้ำ มองเขาโดยไม่คิดปิดบังความห่วงใยและใส่ใจ
เขาค่อยๆ หุบยิ้ม เดินเข้าไปกุมมือนาง รู้สึกเพียงว่าสัมผัสเย็นเฉียบ จึงอดขมวดคิ้วงามไม่ได้ รีบขับเคลื่อนชี่แท้สร้างความอุ่น ก่อนจะถ่ายเทเข้าไปในร่างกายนางอย่างต่อเนื่อง
พฤติกรรมที่ยังคงแสดงออกถึงการใส่ใจอย่างเป็นธรรมชาติของเขา ทำให้ซูหลีรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที พริบตาเดียวความเย็นในร่างกายก็ถูกชี่แท้ของเขาขจัดจนสิ้น นางตอบเสียงเบา “ยามนี้สถานการณ์คับขัน เรื่องทางนี้ของท่านอ๋องไม่อาจประวิงเวลาออกไปได้แม้แต่น้อย” น้ำเสียงพลันสะดุด อดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิ “เพียงแต่ ครั้งนี้ท่านอ๋องทรงเดินหมากอันตรายเกินไปหรือไม่เพคะ?”
ตัวเขาอยู่ในคุกมืด แม้รับรู้ข่าวจากโลกภายนอกเร็วสักแค่ไหนก็ยังมีขีดจำกัด หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นระหว่างนั้น การเดินหมากของเขาในครั้งนี้ก็อาจแพ้ยกกระดาน ความเสี่ยงเหล่านี้ เขามีหรือจะไม่เข้าใจ?
สายตาตงฟางเจ๋อไร้ซึ่งความกังวล กลับแย้มยิ้มเสียอีก “มีซูซูคอยช่วยข้า มีเรื่องใดยากกันเล่า?”
ซูหลีอึ้งงัน เดิมอยากถามว่าเหตุใดท่านจึงเชื่อในตัวข้านัก ทว่ากลับพูดไม่ออก เพียงเหม่อมองเขาอยู่อย่างนั้น จากท่านอ๋องผู้สูงส่งตกต่ำกลายเป็นนักโทษ เหมือนตกจากสวรรค์ลงสู่นรก หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงสติแตกกระเจิงไปนานแล้ว ยังจะยิ้มออกได้อย่างไรกัน?
ครั้นเห็นนางไม่พูดอะไร ตงฟางเจ๋อเลิกคิ้ว เอ่ยยิ้มๆ “ซูซูเสี่ยงอันตรายมาพบข้า หรือเพียงเพื่อมายืนเหม่อมองข้าเท่านั้น?”
เขากลับยังมีแก่ใจล้อเล่น! ซูหลีทอดถอนใจกล่าวว่า “ท่านอ๋องลองบอกหม่อมฉันมาว่ามีเบาะแสใดบ้าง ซูซูจะได้ออกไปตรวจสอบว่าควรพลิกคดีเช่นไร”
ในที่สุดเขาก็หุบยิ้ม แล้วกล่าวเสียงเข้ม “กู้หยวนถงจิตใจชั่วร้าย นางรู้ว่าเพียงสนมขั้นเฟยคนเดียวไม่อาจทำให้ข้าหมดสิทธิ์ในตำแหน่งรัชทายาทได้ วันนั้นหลังออกจากวัง ข้ารู้แต่แรกแล้วว่านางจะต้องมีแผนอื่นอีกแน่นอน นางทำร้ายเสด็จแม่ของข้า ข้าไม่มีวันปล่อยนางไปเด็ดขาด! จะต้องมีสักวัน ที่ข้าจะทำให้นางไม่มีโอกาสพลิกตัวกลับมาได้อีก!” ครั้นนึกถึงการตายของเหลียงกุ้ยเฟย ม่านตาดำขลับของเขาก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชาและดุดัน
การแข่งขันในราชวงศ์คล้ายไม่มีวันจบสิ้น ภายนอกดูสวยงาม ฐานะสูงส่ง เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยพวกปากหวานก้นเปรี้ยว เจ้าหลอกข้า ข้าหลอกเจ้า หากเผลอไผลไม่ระวังตัว แม้แต่ชีวิตก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ความจนใจและความอ้างว้างในการต่อสู้เหล่านี้ มีเพียงคนที่เคยผ่านมาด้วยตนเองเท่านั้น ถึงจะรู้ซึ้งเป็นอย่างดี
ภายใต้ใบหน้าเย็นชาลึกล้ำของเขา สิ่งที่ซ่อนไว้ก็คือหัวใจอันเย็นเยียบและโดดเดี่ยวดวงหนึ่ง ไม่มีผู้ใดห่วงใย ไม่มีผู้ใดเข้าใจ โดยเฉพาะหลังจากเหลียงกุ้ยเฟยจากไปแล้ว เขาก็เหลือตัวคนเดียวบนโลกใบนี้แล้วจริงๆ
ซูหลีมองดูใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเขา ในใจเจ็บแปลบเล็กน้อย เสียมารดาอันเป็นที่รักไป จากนั้นก็ถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้ยังถูกวางแผนเล่นงานอีก ถึงแม้เขาจะมีสมองอันปราดเปรื่องสักเท่าใด ก็ไม่อาจเลี่ยงแผนร้ายของผู้อื่นได้ทุกครั้ง ข้างกายเขา เคยมีผู้ใดเห็นเขาเป็นญาติอย่างแท้จริงบ้างหรือไม่?!
“ซูซู…” เสียงทุ้มเข้มรื่นหูของเขาดังอยู่ข้างใบหูนาง ทำให้นางตัวสั่นเล็กน้อย “สำหรับข้า คุกมืดไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เพียงแต่การไม่ได้พบหน้าเจ้าต่างหาก ที่ทำให้ข้า…คำนึงหาจนนอนไม่หลับ…เจ้ารู้หรือไม่…”
“ท่านอ๋องเพคะ!” ซูหลีพลันบังเกิดความรู้สึกลนลานอย่างบอกไม่ถูก รีบตัดบทเขา
“เรียกชื่อข้า…” เสียงแผ่วเบาของเขาราวกับมีเวทมนต์ ทำให้หัวใจของซูหลีเต้นเร็วขึ้น
เงยหน้ามองเขา คล้ายว่าในส่วนลึกของดวงตาดำขลับที่เปล่งประกายกว่ายามปกติ ซ่อนความโดดเดี่ยวและอ้างว้างที่ไม่มีผู้ใดรู้เอาไว้ ซึ่งนั่นมากพอที่จะทำให้หัวใจของนางจมดิ่งไปทั้งดวง
“ตงฟางเจ๋อ…” เสียงของนางในยามนี้ กลับสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
เขาถอนหายใจอย่างพึงพอใจ อ้าแขนกอดนาง “ในที่สุดเจ้าก็มา…”
“ถ้าเกิดว่า…หม่อมฉันไม่มาเล่าเพคะ?” นางอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ ดูเหมือนบุรุษผู้นี้มั่นใจมาตลอดว่านางจะมาพบเขา จึงเฝ้ารอนางอยู่ที่นี่
เขายิ้ม “ไม่มีทาง เจ้าไม่มีทางทำเช่นนั้น นอกเสียจากว่า เจ้าอยากให้สัญญาสองปีที่เจ้ากับข้าตกลงกันไว้ขาดสะบั้นกลางคัน!”
ซูหลีถอนหายใจ “ท่านอ๋องคิดไปไกลถึงเพียงนี้…”
“เรียกชื่อข้า!” เขาขมวดคิ้วเบาๆ “ต่อไปหากไม่มีคนนอกอยู่ เจ้าเรียกชื่อข้าเฉยๆ ก็พอ ชื่อยศถาบรรดาศักดิ์เหล่านั้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเรียก”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย ลักยิ้มปรากฏรางๆ “ได้สิ ตงฟางเจ๋อ ท่านควรจะบอกข้าโดยเร็วมิใช่หรือ ว่าจะช่วยท่านพลิกคดีเพื่อให้พ้นความผิดอย่างไร? เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นคนของท่าน ข้ามิอาจสั่งการพวกเขาได้”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าใจร้อนกว่าข้าเสียอีก เรื่องนี้ เซิ่งจินสืบเจอเบาะแสแล้ว ข้างกายฮองเฮามีนางกำนัลนางหนึ่งนามว่าเจวี้ยนเอ๋อร์ เป็นสหายกับเถียงหย่งมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน สายสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งนัก เคยตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกัน ต่อมามีเหตุให้ต้องพลัดพราก ประมาณครึ่งปีก่อน พวกเขาบังเอิญพบกันอีกครั้งบนถนนในเมือง เป็นไปได้มากว่าฮองเฮาอาจรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา จึงใช้เจวี้ยนเอ๋อร์มาบีบบังคับให้เถียนหย่งเข้าตาจน”
ซูหลีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “หลังจากที่เถียนหย่งลอบปลงพระชนม์ฮองเฮา แล้วโยนความผิดมาให้ท่านอ๋อง ก็ถือว่าแลกชีวิตของเจวี้ยนเอ๋อร์ได้สำเร็จ แต่เขาเป็นคนร้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้นความตาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสองคนมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง เถียนหย่งถูกจับรับโทษ เจวี้ยนเอ๋อร์ย่อมมิอาจมีชีวิตต่อเพียงลำพัง เช่นนั้นเถียนหย่ง ไม่ถือว่าเสียสละชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์หรอกหรือ ท่านคิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอื่นอีกหรือไม่?”
………………………………………………………