กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 240 แสร้งตามน้ำ (2)
หยางเสวียนยักไหล่ ยิ้มอย่างจนใจ พร้อมเอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่ แต่เรื่องหยุมหยิมกลับมีไม่น้อย”
จากแขกกลายมาเป็นเจ้าบ้าน ยังกล่าววาจาได้อย่างตรงไปตรงมาถึงขนาดนี้!
วาจาของหยางเสวียน เห็นชัดว่าทำให้ตงฟางจั๋วไม่พอใจมาก เขากล่าวเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นกกางเขนแย่งรังนกพิราบ[1] เป็นการกระทำที่สูญเปล่า” สายตาเขาเย็นชา กวาดมองใบหน้างามของหยางเสวียนอย่างไม่ปิดบังความเป็นปรปักษ์
เสด็จแม่เคยส่งสัญญาณให้เขาหลายครั้ง หากอยากขึ้นครองบัลลังก์อย่างราบรื่น การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหยางเสวียน กระชับความสัมพันธ์กับแคว้นเปี้ยน ก็เป็นการหนุนหลังเขาเพื่อหนทางอันราบรื่น เขากลับไม่เห็นด้วย ทั้งหัวใจถูกคนคนเดียวครอบครองจนหมด ชีวิตนี้หากไม่ได้ใจคนผู้นั้นมาครอง แม้ได้อำนาจสูงสุดมาครอง จะมีประโยชน์อันใดเล่า!
ถูกตงฟางจั๋วเอ่ยวาจาเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้า หยางเสวียนกลับไม่ถือสาหาความ เพียงกลอกดวงตาเปล่งประกายมองผ่านทั้งสองคล้ายไม่ใส่ใจ กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า “จิ้งอันอ๋องกล่าวถูกต้อง ไม่ใช่ของของตนเอง แย่งชิงเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะเสียแรงเปล่าเท่านั้น” ดวงหน้าหมดจด รอยยิ้มก็ช่างงดงามดั่งบุปผา แต่วาจากลับเสียดสีทิ่มแทง จี้จุดเรื่องที่อยู่ในใจตงฟางเจ๋อพอดี
“เจ้า!” ตงฟางจั๋วชี้หน้าหยางเสวียนอย่างโกรธขึ้ง ใบหน้าบึ้งตึง หัวใจเจ็บแปลบ ราวกับถูกมีดกรีดก็ไม่ปาน ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยสงบอารมณ์ได้ ลดมือลงอย่างขุ่นเคือง
ซูหลีก้มหน้าเงียบๆ ลอบถอนใจ หยางเซียวกับหยางเสวียนเป็นพี่น้องกัน ดูภายนอกเหมือนเป็นคนร่าเริงสดใส แท้จริงซ่อนกลอุบายไว้ข้างใน ตงฟางจั๋วมีนิสัยวู่วามใจร้อน ถูกอีกฝ่ายยั่วยุให้โกรธได้ง่ายๆ กอปรกับอีกฝ่ายมีฐานะเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้น ถึงจะไม่พอใจอีกสักเท่าใดเขาก็ยังต้องเห็นแก่ฐานะของนาง
ครั้นเห็นใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางจั๋วหงิกงอ รอยยิ้มของหยางเสวียนยิ่งกว้างขึ้น นิ้วมือเรียวงามยกขึ้นเกี่ยวผมเปียที่ห้อยลงมา นัยน์ตางามของนางกลอกหมุน ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยอย่างมีความนัย “จิ้งอันอ๋องมาเยี่ยมท่านหญิง จะต้องมีวาจาอยากกล่าวมากมายแน่นอน ข้ามีเรื่องต้องไปทำพอดี ไม่ขออยู่ด้วยแล้วกัน เชิญจิ้งอันอ๋องตามสบาย มีเรื่องใดให้บ่าวในจวนมารายงานได้ตลอดเวลา”
หยางเสวียนไปแล้ว ในลานพลันเงียบกริบ ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ไม่มีใครเปิดปากพูด
ขนตางอนยาวของซูหลีหลุบต่ำ ดั่งผีเสื้อสีดำที่กำลังกระพือปีก ทอดเงารางๆ ลงบนผิวขาวดั่งหยกของนาง มิอาจปกปิดความกังวลและเหน็ดเหนื่อยในดวงตา
“ท่านอ๋องมาหาซูหลีมีเรื่องใดหรือเพคะ?” ท่าทางห่างเหินเย็นชาของนาง แสดงออกอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
ตงฟางจั๋วปวดใจ ค่อยๆ เดินมาตรงหน้านาง ตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่มีอะไร แค่มาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น”
มีคำพูดมากมายอยู่ในใจเขา ที่อยากพูดกับนาง ทว่าเมื่ออ้าปาก กลับพูดไม่ออกสักคำ คำตอบนั้นต่างฝ่างต่างรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่หากนางไม่ยอม ก็จะไม่มีทางยอมรับเท่านั้น
ซูหลีสีหน้าสะดุดเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงห่วงเพคะ”
ครั้นเห็นนางไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด ตงฟางจั๋วพลันคลายใจเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “เจ้าร่างกายอ่อนแอ เรื่องบางเรื่องอย่าได้คิดมากเกินไป คิดมากไปก็รังแต่จะไม่ดีกับตนเอง” เขาจงใจไม่เอ่ยชื่อตงฟางเจ๋อ ความขมขื่นกระจายทั่วหัวใจ วาจาเป็นห่วงเป็นใยเพียงประโยคเดียว ยังต้องกลั่นกรองแล้วกลั่นกรองอีก ก่อนจะพูดออกมาอย่างระมัดระวัง เขากับนาง ไม่ใช่จิ้งอันอ๋องกับหลีซูในอดีตอีกต่อไปแล้ว
ซูหลีสะดุดกึก ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบเฉย “บางเรื่อง ไม่ใช่ท่านไม่อยากคิด แล้วมันจะหายไปเอง เรื่องที่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ ซูหลีมิอาจนิ่งดูดาย” แม้วาจากล่าวได้อย่างใจเย็น ทว่ากลับมิอาจปกปิดความขุ่นเคืองในใจไว้ได้มิด
คำว่าชื่อเสียง ทำให้หัวใจตงฟางจั๋วกระตุก ใช่แล้ว อย่างไรนางก็ยังเป็นหลีซู กลัวว่าตลอดชีวิตนี้ สิ่งที่เกลียดที่สุด ก็คือการแปดเปื้อนมลทิน ครานี้อวิ๋นเฟยตาย ไม่มีหลักฐานว่านางเป็นคนร้าย แต่เสด็จแม่กลับมีรับสั่งให้กักตัวนาง แล้วนางจะไม่รู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรมได้อย่างไรเล่า? จวนท่านหญิงของนาง ก็ยังถูกคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องรับช่วงดูแลต่อ ความอึดอัดใจนี้ หากเป็นเขา ก็คงไม่อาจรับได้เช่นกัน
ล้วนเป็นเพราะตงฟางเจ๋อ นางถึงถูกลากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นนี้! โชคดีที่การร่วมพิจารณาคดีใกล้จะมาถึงแล้ว หลักฐานชี้ชัด ทุกอย่างจะจบลงในไม่ช้า แล้วหลีซู…ก็จะกลับมาอยู่ข้างกายเขา เขาจะทุ่มเททุกอย่าง ปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจไปตลอดชีวิต จะไม่มีทางปล่อยให้ใครหลอกใช้นาง และทำร้ายนางอีก
ตงฟางจั๋วเก็บงำความคิด กล่าวปลอบนางเสียงเบา “อวิ๋นเฟยด่วนจากไป เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน เสด็จแม่เป็นผู้ดูแลวังหลัง หากเสด็จพ่อจะเอาผิด นางก็ยากจะหาคำอธิบายได้ เพราะจนใจ จึงต้องออกคำสั่งให้กักบริเวณเจ้า เรื่องนี้ไร้หลักฐาน ย่อมไม่มีทางเอาผิดเจ้าได้ เจ้าก็อย่าได้กังวลเกินไปนัก หาโอกาสอธิบายให้เสด็จแม่เข้าใจก็พอแล้ว”
ซูหลีลอบยิ้มเย็นในใจ หากต้องการคืนความบริสุทธิ์ให้นาง นางเข้าชี้แจงตอนนี้เลยยังได้ เหตุใดต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก? เห็นได้ชัดว่าฮองเฮากำลังกีดกันไม่ให้นางออกไปหาหลักฐานช่วยตงฟางเจ๋อพลิกคดี จึงได้สั่งกักบริเวณนางอยู่ในจวนเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนทางอ้อมว่าการที่นางเลือกตงฟางเจ๋อ เป็นตัวเลือกที่ผิดมหันต์!
“อธิบายหรือเพคะ?” นัยน์ตาซูหลีไหวระริก ยิ้มอ่อนๆ “ยามนี้ไม่ว่าหม่อมฉันพูดอะไร เกรงว่าฮองเฮาก็คงไม่เชื่อ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! ผู้ที่ลอบปลงพระชนม์เสด็จแม่คือตงฟางเจ๋อ เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงร้อนใจ
“ท่านอ๋องคิดเช่นนี้ แต่ฮองเฮากลับไม่ได้คิดเหมือนท่านอ๋อง เจิ้นหนิงอ๋องเป็นว่าที่พระสวามีของซูหลี ในสายตาชาวโลก ยากจะแยกแยะออกจากกัน ฮองเฮาทรงระแวงหม่อมฉัน ก็ถือเป็นเรื่องปกติแล้วเพคะ”
ความทรงจำในห้องหนังสือส่วนพระองค์ยังคงสดใหม่ นางก้าวออกไปแก้ต่างให้ตงฟางเจ๋อโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ยามนั้นเขาแทบอยากจะตะโกนบอกนางดังๆ ว่าตงฟางเจ๋อก็คือตัวการที่ทำลายงานแต่งของนางกับเขา! แต่สติปัญญาที่เหลืออยู่น้อยนิดเตือนเขาว่า ยามนี้เขาไม่มีหลักฐาน พูดออกไปก็ไร้ความหมาย ซ้ำจะเป็นการทำให้ซูหลีเกลียดชังเขามากกว่าเดิม เพราะนางเชื่อใจตงฟางเจ๋อถึงเพียงนั้น
เขาเคยทำร้ายนางอย่างโหดเหี้ยมมาแล้วครั้งหนึ่ง ยามนี้มิอาจทำให้นางทุกข์ใจได้อีกแม้แต่น้อย! หัวใจเขาพลันสะดุด คดีของตงฟางเจ๋อ หลักฐานทุกอย่างบ่งชี้ชัดเจน ทันทีที่ตัดสินโทษ ยากจะรับประกันว่าจะไม่เดือดร้อนไปถึงซูหลี
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หรือว่าเพื่อเขาแล้ว เจ้ายังคิดจะลากตัวเองลงน้ำไปด้วย?” ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงเบาด้วยความปวดใจ ในใจอดรู้สึกเจ็บจี๊ดไม่ได้
ซูหลีได้ยินก็อึ้งงัน นางยังไม่ทันเอ่ยคำใด เขาก็รีบกล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าวางใจ มีข้าอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องกับเจ้าแน่!” น้ำเสียงหนักแน่น และท่าทางเด็ดเดี่ยวของเขา บ่งบอกซูหลีอย่างชัดเจนถึงความคิดที่จะปกป้องนาง
ซูหลียิ้มขมขื่น กล่าวเสียงเรียบ “ขอบพระทัยในความหวังดีของท่านอ๋องเพคะ เพียงแต่ยามนี้ฮองเฮาไม่ยอมเปิดโอกาสให้ซูหลียื่นอุทธรณ์ด้วยซ้ำ เกรงว่า…”
“ไม่หรอก! เสด็จแม่ไม่มีทางตัดสินโทษเจ้าโดยไม่ซักถามก่อนแน่นอน!” ตงฟางจั๋วรีบพูดขึ้น
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “การที่หม่อมฉันถูกสั่งกักบริเวณคือการยืนยันที่ดีที่สุด ในอดีตหากมีเรื่องใด ก็ยังสามารถเข้าวังไปร้องขอความเป็นธรรมได้ ยามนี้แม้แต่จะก้าวขาออกจากประตูจวนก็ยังทำไม่ได้ นอกจากรอความตาย ยังทำอะไรได้อีกเล่าเพคะ?”
ตงฟางจั๋วร่างกายสั่นสะท้าน รีบเดินเข้าไปกล่าวอย่างร้อนใจ “หากซูหลีอยากอธิบายให้เสด็จแม่ฟัง ข้าจะไปขอร้องเสด็จแม่ แล้วพาเจ้าเข้าวัง!”
ซูหลีเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาตกตะลึง ถึงแม้จะคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่ใจนางกลับไม่ได้รู้สึกยินดีมากนัก
“เจ้ารอฟังข่าวดีจากข้าเถิด!” ตงฟางจั๋วพลันหมุนกาย สาวเท้ายาวๆ เดินออกจากเรือนไป
มองดูแผ่นหลังที่ห่างออกไปของเขา สายตาของซูหลีไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด
วันต่อมา ตงฟางจั๋วเกลี้ยกล่อมฮองเฮาสำเร็จดังคาด เขาเดินทางมารับนางที่จวนตามรับสั่ง
……………………………………………………………
[1] นกกางเขนแย่งรังนกพิราบ หมายถึง การเข้ายึดครองบ้านหรือที่ดินของผู้อื่นโดยพลการ