กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 249 ใครเดินหมากได้ดีกว่ากัน? (1)
ฮ่องเต้ใบหน้าบึ้งตึง คำพูดของฮองเฮา ทำให้ไอสังหารในสายตาที่จดจ้องไปยังซูหลีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“เสด็จพ่อ!” ตงฟางเจ๋อก้าวไปข้างหน้าอย่างร้อนใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะลูก หมิงซีเป็นว่าที่พระชายาของลูก ต้องการช่วยลูกพลิกคดี ได้ยินอวิ๋นเฟยพูดถึงเรื่องที่เสด็จแม่ถูกทำร้าย จึงได้ร้อนใจ กระทำความผิดใหญ่หลวง เสด็จพ่อโปรดเห็นแก่ที่นางมีใจเมตตา โปรดลงโทษสถานเบาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“เสด็จพ่อ!” ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงร้อนใจ “หมิงซีถูกคนชั่วล่อลวงจึงได้เป็นเช่นนี้ เสด็จพ่ออย่าได้ด่วนตัดสินโทษ…”
“ฝ่าบาท หมิงซีหมิ่นเบื้องสูง โทษไม่อาจอภัย แต่ทุกคำให้การล้วนเป็นจริงไม่โป้ปดแน่นอนเพคะ! เรื่องในวันนี้ หมิงซีกระทำแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับเจิ้นหนิงอ๋องเพคะ” น้ำเสียงซูหลีสงบเยือกเย็น ไม่แตกตื่นไม่ลนลาน ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเองอยู่
เรื่องมาถึงขั้นนี้ แก้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่นางรู้ในตอนนี้ก็คือต้องรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวก่อน ไม่อาจลากตงฟางเจ๋อและหวั่นซินเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเด็ดขาด มิเช่นนั้น นั่นคงเป็นความพ่ายแพ้อย่างแท้จริง!
ตงฟางเจ๋ออึ้งงัน นางทำเพื่อเขาได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ! ถึงแม้เขาจะฉลาดปราดเปรื่อง รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ยามนี้หัวสมองกลับขาวโพลนไปชั่วขณะ ลำคอแห้งผากไปหมด
ซูหลีที่อยู่ด้านหลังกล่าวต่ออีกว่า “ส่วนหวั่นซิน สาวรับใช้ของหมิงซี นางก็ไม่รู้เรื่องเช่นกันเพคะ นางเพียงทำตามคำสั่งของหม่อมฉัน ฝ่าบาทมีคุณธรรมสูงส่ง โปรดเมตตาลงโทษนางสถานเบาด้วยเถิดเพคะ”
“คุณหนูเจ้าคะ!” หวั่นซินหน้าซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าทนไม่ไหว นางหมายจะเปิดปาก กลับเห็นซูหลีตวัดสายตาคมปลาบมองมา ตัดบทวาจานางอย่างเด็ดขาด
ยังไม่ทันกล่าวอะไรต่อ เงาร่างข้างกายพลันโฉบไหว ตงฟางเจ๋อรีบคุกเข่าข้างกายนาง “เสด็จพ่อ! หมิงซีหมิ่นเบื้องสูง เป็นความผิดที่มิอาจให้อภัยจริงๆ หากเสด็จพ่อจะลงโทษหมิงซี ลูกไม่กล้ามีความเห็นต่างแม้แต่น้อย เพียงขอร้องเสด็จพ่อ ให้ลูกได้รับโทษแทนภรรยาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
รับโทษแทนภรรยา!
วาจานี้เหมือนดั่งก้อนหินที่ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ ทุกคนอึ้งค้าง ท่านหญิงหมิงซีเพิ่งจะยอมรับผิด เจิ้นหนิงอ๋องก็รีบเสนอตัวรับโทษแทนนาง สองคนนี้ราวกับไม่สนใจไยดีต่อความเป็นความตายของตนเองแล้ว!
ฮ่องเต้หน้าเขียว ถลึงตาด้วยความโกรธจัด ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเค้นเสียงลอดไรฟัน กล่าวอย่างเย็นชา “ลบหลู่เบื้องสูง โทษสมควรตาย! เจ้าจะรับโทษแทนนางเช่นไร?!”
“หากเสด็จพ่อต้องการเช่นนั้นจริงๆ ลูกยอมแลกฐานะอ๋องของตนเองกับชีวิตของหมิงซีพ่ะย่ะค่ะ!” สีหน้าตงฟางเจ๋อสงบนิ่ง ทว่ากลับหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ราวกับว่าจากท่านอ๋องที่มีอำนาจเหนือผู้คนนับหมื่นกลายเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่น่าเสียดายแม้แต่น้อย เหล่าคนที่ได้ยินตกตะลึงดั่งสายฟ้าฟาด นี่ เจิ้นหนิงอ๋องถูกวิญญาณเข้าสิงหรือไร? ตำแหน่งรัชทายาทอยู่ใกล้แค่เอื้อม กลับคิดสละตำแหน่งอันสูงเกียรติเพื่อท่านหญิงหมิงซี กลายเป็นประชาชนคนธรรมดา?!
“ท่านอ๋องเพคะ!” ซูหลีหน้าถอดสี หัวใจของนางหยุดเต้นไปชั่วขณะ เกือบคิดไปว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว! ยามนี้สถานการณ์คับขัน เขาลากตนเองลงน้ำเช่นนี้ จะมีประโยชน์อันใดกัน!
“เจ้า!” ฮ่องเต้ลุกพรวด โกรธเกรี้ยวสุดขีด “เจ้าถึงขั้นกล้าขู่ข้า? เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้าจริงๆ หรือ?”
“ลูกมิกล้า!” ตงฟางเจ๋อรีบกล่าว ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวเล็กน้อย ยิ่งขับเน้นให้นัยน์ตาดำดูเปล่งประกาย แววเจ็บปวดพาดผ่านดวงตา “เสด็จแม่จากไปอย่างอยุติธรรม ในฐานะบุตรกลับไม่อาจจับตัวคนร้ายตัวจริงได้ทันเวลา ก็มีโทษสมควรตายอยู่แล้ว” กล่าวมาถึงตรงนี้ เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงซูหลีเข้ามาในอ้อมแขน สีหน้าอ้างว้างระคนจริงจัง กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ภรรยาของลูกท่านหญิงหมิงซี ให้ความสำคัญกับความรัก ยามลูกลำบาก นางไม่ตีจากหายหน้า ทุ่มเทสืบหาคนร้ายเพื่อลูก ไม่กลัวแม้แต่ความตาย ความรักอันจริงใจเช่นนี้ ลูกจะทำเป็นมองไม่เห็นได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ในฐานะสวามีของนาง หากไม่สามารถปกป้องนางให้ปลอดภัยยามนางเผชิญหน้ากับความตาย ลูก ก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว!”
เขาก้มหน้า จ้องมองนัยน์ตากระจ่างใสของนางตาไม่กะพริบ กุมมือเย็นชืดของนางไว้ในฝ่ามืออุ่นๆ ของตนเอง คล้ายฉวยโอกาสนี้มอบพลังและความแข็งแกร่งให้นาง
ซูหลีขอบตาแดงเล็กน้อย มองตงฟางเจ๋ออย่างอึ้งงัน หลงอยู่ในวังวนนัยน์ตาอันลึกล้ำของเขา อ้าปากเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว คล้ายต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับค้นพบว่าลำคอแห้งผาก ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่น้อย วาจาอันหนักแน่นของเขาเหมือนดั่งค้อนหนักๆ ที่ทุบลงกลางใจนาง ความรู้สึกเปรี้ยวฝาดแผ่ไปทั่วหัวใจอย่างไม่อาจบรรยาย ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวนางแล้ว ว่าตำแหน่งนั้นมีความหมายกับเขามากมายขนาดไหน! เขากลับยอมละทิ้งความฝันที่ไล่ตามมากว่าครึ่งชีวิตไปอย่างง่ายดาย เพื่อนาง!
อุณหภูมิอุ่นๆ ในฝ่ามือเขา แผ่กระจายผ่านหัวไหล่ส่งตรงไปยังหัวใจของซูหลี น้ำตาพลันคลอเบ้า สายตาเลือนรางไม่ชัดเจน นางรีบหลุบตาต่ำทันที
คำสารภาพที่มาจากก้นบึ้งหัวใจนี้ ราวกับหนามแหลมคมมากมายที่ทิ่มแทงหัวใจของตงฟางจั๋ว ยามนี้ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า แต่ภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองต่างปกป้องซึ่งกันและกันอย่างสุดชีวิต กลับทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและอ้างว้างยิ่งนัก เขากัดกรามแน่นจนฟันแทบแหลกละเอียด กว่าจะข่มกลั้นสติที่ใกล้จะแตกกระเจิงไว้ได้
“เจิ้นหนิงอ๋องกับท่านหญิงหมิงซีรักใคร่ลึกซึ้ง ช่างน่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!” ฮองเฮาพลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กฎหมายแคว้นเฉิงศักดิ์สิทธิ์และเคร่งครัด ถึงแม้เจิ้นหนิงอ๋องมีฐานะเป็นท่านอ๋องแห่งราชวงศ์ ก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำเหมือนเด็กเล่นขายของได้!”
“ฝ่าบาท! ฮองเฮาตรัสถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ท่ามกลางเหล่าขุนนางคนผู้หนึ่งก้าวออกมา คือซ่งอู๋ยง ขุนนางสูงสุดฝ่ายตรวจการนั่นเอง เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “เจิ้นหนิงอ๋องยอมรับผิดแทนภรรยา ถึงแม้เป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น จะต้องมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นตามมาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ท่านหญิงหมิงซีบังอาจลบหลู่เบื้องสูง โทษนี้มิอาจละเว้นเด็ดขาด!” ครั้นซ่งอู๋ยงเปิดปาก ก็มีขุนนางคนอื่นก้าวเท้าออกมาเอ่ยอย่างเห็นด้วยกับเขา
พลันนั้น เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังมาจากนอกตำหนัก “โทษลบหลู่เบื้องสูงมิอาจละเว้นจริงๆ แต่ผู้กระทำผิดกลับเป็นผู้อื่น!”
เห็นเพียงองค์หญิงเจาหวาหยางเสวียนสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาในตำหนัก ด้านหลังมีสตรีชุดเขียวนางหนึ่งเดินตามมา ก้มหน้าก้มตา ทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด ฝีเท้าสะเปะสะปะ คล้ายกำลังหวาดกลัว
ทั้งสองเดินเข้ามาค้อมกายทำความเคารพ ฮ่องเต้กล่าวเสียงเข้ม “องค์หญิงเจาหวาหมายความว่าเช่นไร?”
หยางเสวียนแย้มยิ้ม เงยหน้าแล้วชี้ไปยังหญิงที่เดินตามหลังนางมา “ฝ่าบาททอดพระเนตรสิเพคะ ว่านางเป็นใคร?”
หญิงชุดเขียวนางนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ทุกคนตกตะลึง คิ้วและดวงตานั่น ใบหน้าอย่างนั้น คืออวิ๋นฉี่หลัวอีกคน! ทุกคนต่างมองหน้ากัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อวิ๋นฉี่หลัวหมอบกายต่ำ “ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าคืออวิ๋นฉี่หลัวจริงหรือ?”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันคืออวิ๋นฉี่หลัวจริงๆ เพคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลของนางแฝงลูกสะอื้นไว้รางๆ
ฮ่องเต้จ้องมองนางอย่างสงสัย ก่อนจะหันไปมองหยางเสวียน แล้วกล่าวถามเสียงเข้ม “องค์หญิงเจาหวา เหตุใดเจ้าจึงมากับนาง?”
หยางเสวียนตอบด้วยน้ำเสียงกังวานใส “เช้าวันนี้ท่านหญิงหมิงซีทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้เจาหวา บอกให้เจาหวาพาอวิ๋นเฟยมารอนอกวัง หากเวลาเข้าสู่ยามสือไปสามเค่อแล้วท่านหญิงยังไม่ออกจากวัง ให้เจาหวาพานางมาที่ตำหนัก เรื่องอื่น เจาหวาก็ไม่รู้เช่นกันเพคะ”
ฮ่องเต้ยิ้มเย็น “หมิงซี ในเมื่อเจ้ารู้ว่าจะถูกจับได้ เหตุใดยังต้องพาอวิ๋นเฟยตัวปลอมมาให้การอีก!”
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ฝ่าบาท พระสนมอวิ๋นเฟยบางครั้งก็สติเลอะเลือน หากวู่วามพานางเข้าวังมาส่งเดช กลัวแต่ว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมเหมือนในห้องหนังสือส่วนพระองค์ เมื่อครู่ฝ่าบาทก็ทรงเห็นแล้ว ฮองเฮาทรงรู้จักพระสนมอวิ๋นเฟยเป็นอย่างดี หากมีเรื่องกระทบกระทั่งจิตใจแม้แต่นิดเดียวนางก็จะคลุ้มคลั่ง ฉะนั้นหมิงซีจึงได้สั่งให้คนปลอมตัวเป็นพระสนมอวิ๋นเฟย จำต้องคิดวิธีนี้ขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยามนี้พระสนมอวิ๋นเฟยตัวจริงอยู่ที่นี่แล้ว ฝ่าบาททรงพิสูจน์ได้ว่าคำให้การทั้งหมดเป็นความจริงหรือไม่!”
………………………………………………………..