กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 257 ผิดหนึ่งครั้งคิดจนตัวตาย! (2)
จ้าวสวินหันหลังด้วยความตกใจ รีบชักดาบออกจากฝัก ตวาดถามเสียงเข้ม “ใคร?”
ซูหลีเดินออกมาจากด้านในกำแพงวังหลวงอย่างแช่มช้า ย่างก้าวของนางหนักอึ้ง นัยน์ตาสับสนยากแยกแยะ ตงฟางเจ๋อคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ตงฟางจั๋วคิดจะไปชิงตัวนักโทษที่ลานประหารจริงๆ!
มองข้ามไอสังหารที่แผ่รอบตัวจ้าวสวิน นางเดินตรงไปยังบุรุษบนหลังม้าที่เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้าง แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “หม่อมฉันขอบังอาจเตือนท่านอ๋อง อย่าเอาไข่ไปกระทบหิน อย่าเอาชีวิตไปทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์เลยเพคะ!”
สายตาของตงฟางจั๋วสับสน จ้องมองนางพลางกล่าวว่า “ข้าจะเป็นหรือตาย ซูซูยังสนใจอยู่อีกหรือ!” ตั้งแต่ที่เขามั่นใจว่านางคือหลีซู เขาก็กลับมาเรียกนางเช่นเดิมอีกครั้ง
สายตาของซูหลีเย็นชา กล่าวด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ “บุญคุณความแค้นย่อมต้องชำระ จิ้งอันอ๋องควรเข้าใจแต่แรกแล้ว”
“บุญคุณความแค้น?” ตงฟางจั๋วยิ้มขมขื่น “ข้าเคยมีบุญคุณกับเจ้าเมื่อใดกัน?”
“ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตหม่อมฉันที่หุบเขาหลินสือครั้งหนึ่ง” นางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์
“ฉะนั้นวันนี้หลังจากที่เกลี้ยกล่อมข้า ความเป็นความตายของข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าอีกต่อไปแล้วงั้นหรือ?” เสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบเสียดแทงไปถึงกระดูก
“ถูกต้องแล้วเพคะ” นางตอบอย่างหนักแน่นและมั่นใจ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตงฟางจั๋วกลับหัวเราะเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
“เพราะเหตุใด?” เขาถามอย่างปวดใจ
ซูหลีไม่ตอบ เขาเคยหันหลังให้นาง ทำร้ายนาง ทำให้นางตายอย่างไม่เป็นธรรม ยามนี้นางช่วยตงฟางเจ๋อส่งตัวคนที่เขารักที่สุดขึ้นไปบนลานประหาร ความเจ็บปวดทรมานในชาติก่อน ความแค้นที่พัวพัน มิอาจแยกแยะให้ชัดเจนได้อีกต่อไป
ทว่าตงฟางจั๋วกลับใช้กำปั้นทุบอกตนเองอย่างแรง นัยน์ตาเจ็บปวดจนเหมือนจะแหลกลาญ กล่าวด้วยเสียงปวดร้าว “ข้าทำร้ายเจ้า ติดค้างเจ้า เจ้าเกลียดข้า จะทรมานหรือแก้แค้นข้าอย่างไร ข้าก็ไม่เคยว่า ถึงแม้เจ้าต้องการชีวิตข้า ข้าก็พร้อมยอมถวายให้เจ้าได้อย่างไม่ลังเล แต่ว่า…มารดาของข้า…”
“มารดาของท่านกระทำความผิดมากมายย่อมสมควรได้รับกรรม!” ซูหลีตัดบทเขาอย่างเย็นชา เงยหน้าเผชิญหน้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความรวดร้าวของเขา แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “นางทำร้ายผู้อื่นก่อน มือเต็มไปด้วยคราบเลือด ย่อมต้องชะล้างด้วยเลือดจึงจะเป็นธรรม ท่านมิอาจช่วยนางได้”
“ช่วยไม่ได้ก็ต้องช่วย!” ตงฟางจั๋วคำรามเสียงเกรี้ยว ข้อต่อนิ้วมือที่กำเชือกบังเหียนซีดจนเขียว เขากล่าวด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “ในสายตาเจ้า นางอาจชั่วร้าย มีความผิดสมควรตายเป็นหมื่นหน แต่ในใจข้า นางเป็นเพียงมารดาผู้หนึ่งเท่านั้น! ในวังหลวงที่กำแพงสูงตระหง่านแห่งนี้ มีสักกี่คนกันที่มือขาวสะอาด? มือของผู้มีอำนาจคนใดกันที่ไม่เคยเปื้อนเลือด?! ทุกอย่างที่นางทำ ล้วนทำเพื่อข้า แม้มีความผิดนับพันนับหมื่น นางกลับเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวของข้าบนโลกใบนี้! ข้าไม่อาจทนมองนางตายโดยไม่ทำอะไร มิเช่นนั้นข้าคงเป็นลูกอกตัญญู!” เอ่ยจบ เขาก็ตะโกนเสียงดัง “ย่าห์” หันหัวม้าตะบึงออกไปด้วยความรวดเร็ว ฝุ่นควันตลบอบอวน เขาค่อยๆ ห่างไกลออกไปพร้อมกับแผ่นหลังอันเจ็บปวดรวดร้าวและฝุ่นควันเหล่านั้น
ซูหลียืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังสูงใหญ่และเด็ดเดี่ยวของเขาหายลับไปในอากาศอันหนาวเย็น เงยหน้าสูดหายใจเข้าลึกๆ บางทีเขาอาจพูดถูก ไม่ว่าฮองเฮาจะชั่วร้ายสักเพียงใด แต่ก็ทำทุกอย่างไปเพื่อเขาที่เป็นลูก หากเขานิ่งดูดายไม่ทำอะไรเพียงเพื่อจะอยู่อย่างปลอดภัย นางกลับจะดูแคลนเขาเสียมากกว่า
ตงฟางจั๋วเป็นคนใจร้อน แต่ให้ความสำคัญกับความรู้สึก ไม่ถนัดวางแผน นางจำต้องยอมรับ ความจริงแล้วเขาเป็นคนจริงใจไม่เสแสร้ง แบ่งแยกความรู้สึกรักและเกลียดชังอย่างชัดเจน! นางกระทั่งรู้สึกอิจฉาเขา อย่างน้อยเขายังมีโอกาสสู้เพื่อมารดาตนเองสักครั้ง แต่นางในยามนั้น กลับไม่มีแม้แต่โอกาสเช่นนี้
ทันใดนั้น หิมะก็ตกลงมาอย่างไม่คาดคิด หิมะสีขาวลอยละล่องทั่วฟ้าดั่งขนห่าน ราวกับต้องการปกคลุมเมืองหลวงทั้งเมือง
สายลมหนาวจับใจ แทรกซึมผ่านผิวกาย อากาศหนาวขนาดนี้ เหล่าคนที่มาดูการประหารกลับยังคงรายล้อมแน่นหนา ทุกคนต่างอยากเห็นว่าสตรีที่เคยเป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดินผู้สูงศักดิ์ที่สุดนางนี้ จะตายที่ลานประหารไปทั้งอย่างนี้จริงหรือไม่?
กู้หยวนถงอดีตฮองเฮา สวมชุดนักโทษสีขาวคุกเข่าอยู่บนลานประหารอย่างโดดเดี่ยว รัศมีเจิดจรัสที่เคยมีในอดีตยามนี้กลายเป็นเพียงตราบาปที่ติดตัว นางเดินหมากพลาดตรงไหนกันแน่! ไม่ต้องหันไปมองนางก็รู้ ว่าบุรุษใบหน้าเย็นชาลึกล้ำที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้คุมประหาร ยามนี้กำลังหลุบตามองนางด้วยสายตาเย็นชา ถึงแม้ไม่เคยดูเบาคนผู้นั้น แต่ก็นึกไม่ถึงว่าแม้จะจับเขาขังคุกมืดแล้ว เขาก็ยังสามารถพลิกสถานการณ์ได้เช่นนี้!
ประกายสิ้นหวังและเจ็บปวดพาดผ่านดวงตาของนักโทษหญิงที่มีใบหน้าซูบซีด
“เวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว กู้หยวนถง เจ้ามีวาจาใดจะฝากข้าไปบอกโอรสของเจ้าหรือไม่?” ตงฟางเจ๋อค่อยๆ ลุกขึ้น เขาเดินลงจากที่นั่ง ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
วันนี้เขาสวมชุดราชสำนักสำหรับท่านอ๋องที่รายล้อมด้วยลวดลายมังกร ราศีที่แผ่กำจายรอบกายน่าเกรงขามกว่ายามปกติถึงสามส่วน ไม่ว่าเดินผ่านที่ใด ผู้คนต่างพากันก้มหัวให้
เขาชะงักเท้าหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่เขาเกลียดชังที่สุดมาโดยตลอด ใบหน้าเย็นชา น้ำเสียงไร้คลื่นอารมณ์ แต่ก่อนเคยคิดภาพที่สตรีนางนี้ถูกบั่นคอนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลานี้จริงๆ เขากลับไม่ได้รู้สึกดีใจ เพราะไม่ว่าคนผู้นี้จะตายสักกี่ครั้ง มารดาของเขาก็ไม่มีวันฟื้นคืนมา
กู้หยวนถงเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา แค่นเสียงอย่างดูแคลน “เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำ หมายจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ใช้ความตายของข้าบังคับให้จั๋วเอ๋อร์ทำเรื่องไม่สมควร ฝันไปเถิด! ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าสมใจแน่ ในเมื่อความผิดกระจ่างแจ้ง ถึงตายก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรมที่ก่อไว้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
“ช่างเป็นมารดาที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก!” ตงฟางเจ๋อปรบมือเบาๆ ก่อนจะย่อตัวลงจ้องดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้นของนาง ยิ้มแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าบอกเจ้าได้เลย หากเขาปล่อยให้เจ้าถูกตัดหัวไปทั้งอย่างนี้ได้ เขาก็ไม่ใช่ตงฟางจั๋ว! ทหารพร้อมอาวุธในจวนจิ้งอันอ๋องอยู่ไม่ไกลจากลานประหารแล้ว”
“เจ้า!” กู้หยวนถงเบิกตากว้างทันที นางถลึงตาจ้องเขาอย่างโกรธแค้น นี่เป็นเรื่องที่นางห่วงที่สุด! อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยเสียงเจ็บปวด “ทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขากระทั่งไม่รู้เรื่องสักนิด ถูกข้าปิดบังความจริงมาโดยตลอด! ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นพี่น้องกัน เจ้าจำต้องฆ่าเขาให้ได้หรือ?”
ตงฟางเจ๋อยิ้มอย่างเย็นชา “ความแค้นที่สังหารมารดา หากข้าปล่อยเขาไป เจ้าคิดว่าเขาจะปล่อยข้าไปหรือ?”
“เจ้า…” นางตกใจจนพูดไม่ออก ถึงแม้รู้แต่แรกว่าบุรุษตรงหน้าไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
“เชื่อว่าจะต้องมีคนห้ามไม่ให้เขาทำการวู่วาม แต่ข้าคิดว่าเขาคงไม่ฟังเป็นแน่ ฉะนั้น…วันนี้ก็ให้ข้าส่งพวกเจ้าแม่ลูกไปพร้อมหน้ากันในปรโลกเถิด!” รอยยิ้มโหดร้ายพลันชัดเจนขึ้น ดวงตาเย็นชาของเขาสะท้อนแววเคียดแค้นมากกว่าเดิม สำหรับศัตรูแล้ว เขาตงฟางเจ๋อไม่เคยใจอ่อนปรานีสักครั้ง
กู้หยวนถงมองหน้าเขา ไอเย็นแผ่กระจายไปทั่วหัวใจ
“ตงฟางเจ๋อ! แม้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!” นางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ถลึงตาจนดวงตาแดงก่ำแทบถลนออกจากเบ้า
ตงฟางเจ๋อกลับหัวเราะเสียงดัง “ข้าจะคอยเจ้า! วันนี้เจ้าต้องตาย ผู้ใดกล้าขวาง ข้าจะส่งเขาไปยังปรโลกพร้อมกับเจ้า!” เอ่ยจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นยืน สายตาคมปลาบกวาดมองผู้คนรอบข้าง ดวงตาเหมือนดั่งมีดดาบที่ทั้งเย็นชาและคมกริบ ไม่ว่ากวาดมองที่ใด ผู้คนต่างพากันผวา ราวกับหิมะใต้ฟ้าในยามนี้ได้ตกลงกลางใจของผู้คน
“ได้เวลาแล้ว เริ่มการประหารได้!” เขาสาวเท้ายาวๆ เดินกลับไปที่แท่นประหาร หยิบป้ายคำสั่งประหารขึ้นมา และโยนลงไปข้างล่างแท่นอย่างไม่ลังเล
ใบหน้าของเพชฌฆาตที่ถือดาบไว้พลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง เขารีบเตรียมตัว รอเพียงป้ายคำสั่งตกถึงพื้น ก็ดึงแผ่นไม้ออก ตัดหัวนักโทษได้
ทว่าในตอนนี้เอง ด้านนอกกลุ่มคน เงาร่างของคนผู้หนึ่งพลันลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งเข้ามาดั่งนกเหยี่ยว
…………………………………………….