กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 258 ผิดหนึ่งครั้งคิดจนตัวตาย! (3)
ฝูงชนมองเห็นเพียงเลือนราง ป้ายคำสั่งที่ถูกเจิ้นหนิงอ๋องโยนออกไปยังตกไม่ถึงพื้น ก็ถูกคนผู้หนึ่งรับไว้ในมือก่อน
ผู้มาสวมชุดต้าฉ่างสีเขียวเข้มลวดลายมังกร ลวดลายมังกรสีทองที่กางกรงเล็บทั้งสี่ข้างบนอาภรณ์ ขับเน้นให้ราศีองอาจของเขาแฝงความชั่วร้ายหลายส่วน ร่างกายสูงใหญ่ คิ้วและดวงตาคมคายหล่อเหลา ดั่งมัจจุราชผู้ปลิดชีพที่เพิ่งเดินออกมาจากขุมนรก! ยืนอยู่กลางแท่นประหาร สะบัดแขนเสื้อเบาๆ น้ำค้างและหิมะมากมายที่เกาะอยู่ทั่วอาภรณ์บนกายพลันกระเด็นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนเกล็ดน้ำแข็ง ไอพิฆาตแผ่กำจายรอบกาย พาให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน เขาออกแรงเล็กน้อย ป้ายคำสั่งที่อยู่ในมือถูกบีบจนเกลายเป็นเศษขี้เลื่อยในพริบตา ไอพิฆาตรุนแรงแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยพลัน
ฝูงชนอึ้งงัน เหล่าทหารที่เฝ้าระวังอยู่รอบลานประหารพลันกระชับดาบในมือโดยสัญชาตญาณ ได้ยินเพียงเสียงกู้หยวนถงตะโกน “จั๋วเอ๋อร์! เจ้ามาทำไม? รีบกลับไปเดี๋ยวนี้!”
ผู้มาก็คือตงฟางจั๋วนั่นเอง เขาไม่แม้แต่จะปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุม ไม่รู้จะเรียกว่าเขาใจกล้าบ้าบิ่นหรือไม่รักตัวกลัวตายกันแน่! เขาทำราวกับไม่ได้ยิน ไม่หันมองมารดาตนเอง เพียงกำดาบล้ำค่าในมือแน่น ดวงตาสองข้างจ้องมองไปบนแท่นผู้คุมการประหาร พี่น้องสายเลือดเดียวกันผู้นั้น ยามนี้ได้กลายเป็นศัตรูที่มีความแค้นอันใหญ่หลวงไปแล้ว!
ซูหลียืนอยู่นอกวงล้อมฝูงชน ทอดถอนใจอย่างเงียบงัน
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อไม่บ่งบอกอารมณ์ เอ่ยถามเสียงเย็นชา “พี่รองถือดาบเข้ามาทำลายป้ายคำสั่งประหาร คิดจะชิงตัวนักโทษงั้นหรือ?” น้ำเสียงของเขานิ่งสงบและมั่นคง เดาไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
สายตาของตงฟางจั๋วคมปลาบดั่งมีด คิ้วเข้มขมวดแน่น เขาแหงนหน้าแค่นยิ้มอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว! หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ผู้ใดกล้าสังหารมารดาของข้า ข้าก็จะเด็ดหัวมันผู้นั้น!” แขนแกร่งโบกสะบัด ดาบล้ำค่าสีครามพุ่งออกจากฝัก ซุ่มเสียงดั่งมังกรขู่คำราม คมดาบเป็นประกายต้องตา ไอสังหารพลุ่งพล่าน เศษหิมะแตกกระเจิง
บรรยากาศรอบกายราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ มีคนตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ “กระบี่เกล็ดหิมะ!”
ฝูงชนแตกฮือ ผู้คนใต้หล้าล้วนรู้ ในยุทธภพกระบี่ล้ำค่ามีเพียงสอง หนึ่งคือ ‘ประกายแสง’ สองคือ ‘เกล็ดหิมะ’ เป็นกระบี่ที่คนฝึกยุทธ์ต่างใฝ่ฝันอยากครอบครอง
ตงฟางเจ๋อหรี่ตา หัวเราะเสียงเบา กล่าวว่า “นี่เป็นพระบัญชาของเสด็จพ่อ หรือท่านจะขัดขืนพระราชโองการ?”
ม่านตาของตงฟางจั๋วหดตัว ตรงปลายกระบี่มีไอกระบี่ก่อตัว พร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ เขาขมวดคิ้วกล่าวเสียงเย็น “ผู้ใดกล้าทำร้ายนาง ต้องผ่านกระบี่ในมือข้าไปก่อน!” ดวงตาเย็นชาดั่งมีดตวัดมองไปยังเพชฌฆาตที่ยืนถือดาบอยู่อีกด้าน เพชฌฆาตผู้นั้นตกใจจนตัวสั่น เกือบจะทำดาบใหญ่ในมือร่วงตก
“อ้อ?” ตงฟางเจ๋อหรี่ตายิ้มเย็น เหลือบมองเพชฌฆาตที่หน้าขาวซีดด้วยสายตาราบเรียบ ก่อนจะถามเสียงขรึม “เวลาได้ล่วงเลยไปแล้ว นักโทษยังมีชีวิตอยู่ หรือกำลังรอให้ข้าลงมือด้วยตนเอง?”
เสียงของเขาไม่ดัง แต่คมปลาบเสียดแทง พาให้ผู้คนอกสั่นขวัญหาย เพชฌฆาตเหงื่อท่วมหน้าผาก หันมองกระบี่ล้ำค่าในมือตงฟางจั๋ว กลับยังไม่กล้าขยับดาบในมือตนเอง
นัยน์ตาของตงฟางเจ๋อขรึมลง ตวัดฝ่ามือไปทางแท่นประหารทันที สายลมแรงพุ่งเข้ามาดั่งคมมีดแหลมๆ หลายสาย แผ่นไม้บนหลังกู้หยวนถงพลันแตกกระเจิง เส้นผมยาวๆ ปลิวว่อนกลางอากาศ
เพชฌฆาตตกตะลึง รู้ว่าหากวันนี้ไม่บั่นคอนักโทษหญิงนางนี้ วันข้างหน้าคนที่จะถูกบั่นคอก็คือตนเอง ฉะนั้นจึงรวบรวมความกล้า ตะโกนเสียงดัง ยกดาบฟันไปที่คอของกู้หยวนถง
ใบหน้าของตงฟางจั๋วเคร่งเครียด ฝูงชนเห็นเพียงประกายดาบสีขาวพาดผ่าน หัวของนักโทษยังไม่ทันขาด เพชฌฆาตผู้นั้นกลับคอหลุดจากบ่าก่อนเสียแล้ว เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นกลางอากาศ อุณหภูมิอุ่นๆ ของเลือดละลายหิมะให้กลายเป็นฝน ตกใส่ใบหน้าของผู้คน กลายเป็นสีแดงในวงกว้าง ดูน่าสะพรึงกลัว
เสียงร้องด้วยความตกใจของผู้คนดังระงมไปทั่วทิศ ต่างพากันวิ่งหนีให้วุ่น ยามนี้ เงาร่างสีดำนับร้อยที่ซุ่มอยู่ใกล้ลานประหารโฉบเข้ามายืนอยู่บนแท่นประหาร แต่ละคนถือดาบคมกริบ สีหน้าเคร่งขรึม ราวกับเห็นความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ พวกเขาห้อมล้อมตงฟางจั๋วและกู้หยวนถงไว้กลางวง
ไอสังหารพลุ่งพล่านไปทั่วทิศ กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ปกคลุมลานประหารทั้งลาน!
เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูต่างพากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ไม่เหลือเลยสักคน ท่ามกลางพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน มีเงาร่างเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าของนางสงบนิ่งมาก สายตาที่ทอดมองไปยังบุรุษทั้งสองในเหตุการณ์ที่ราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย พลันบังเกิดความโศกเศร้า
ตงฟางเจ๋อหันมองคนชุดดำนับร้อยที่ปรากฏตัวรอบแท่นประหารอย่างกะทันหัน เหล่าทหารมากฝีมือในจวนจิ้งอันอ๋องคงรวมตัวอยู่ที่นี่กันหมด เขาคลี่ยิ้มเย็นชาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “จิ้งอันอ๋องขัดพระราชโองการ ชิงตัวนักโทษ ทหาร จับตัวกบฏเหล่านี้ไว้ให้หมด!” น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียด ครั้นออกคำสั่ง เหล่าองครักษ์สองกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังลานประหารก็พลันพุ่งตัวออกมา ชักดาบล้อมคนบนแท่นประหารไว้อย่างแน่นหนา
สายตาของตงฟางจั๋วพลันเปลี่ยน เหล่าองครักษ์ที่แต่เดิมฟังแต่คำสั่งของฮ่องเต้ ยามนี้กลับซุ่มตัวอยู่ที่นี่ เห็นชัดว่าเสด็จพ่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะสังหารมารดาของเขาให้ได้ ช่างโหดเหี้ยมไร้ความปรานียิ่งนัก! หัวใจของเขาเจ็บปวดแสนสาหัส ครั้นเห็นว่าไร้หนทางหนี เขาแหงนหน้าหลับตาแน่น ถือกระบี้ชี้ฟ้า คำรามเสียงดังลั่น
“ฆ่า!”
เลือดสดๆ พลันสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ ทุกจุดในครรลองสายตา เสียงฆ่าฟันดังสะท้านฟ้า ย้อมหิมะอันเย็นเยียบที่ยังไม่ทันละลายให้กลายเป็นสีแดงสด
ประกายดาบโฉบไหว ไอสังหารแผ่ปกคลุมผืนดิน โลหิตสีแดงสาดกระจาย แขนขาที่ขาดจากร่างกระเด็นกระดอนออกจากสนามรบเป็นครั้งคราว คนเป็นๆ ที่ร่างกายยังมีอุณหภูมิอุ่นๆ กลายเป็นศพไร้วิญญาณเย็นเฉียบในพริบตา
ซูหลียังคงไม่ขยับ นางเพียงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ไม่เอ่ยคำใด กระทั่งคนที่ยืนอยู่บนแท่นคุมการประหารเหลือบมองมาด้วยสายตาสับสน
หัวใจของนางพลันเต้นเร็ว เพิ่งจะหมุนกาย ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านหญิงขอรับ ท่านอ๋องเชิญทางนี้ขอรับ” เซิ่งฉินกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมสุดแสน
ซูหลีส่ายหน้าเบาๆ สาวเท้าหมายจะเดินจากไป
“ซูซู” มืออันอบอุ่นยื่นเข้ามากุมมือนาง ความหนาวเย็นถูกขับไล่ออกไปมากกว่าครึ่ง มือของเขายังคงใหญ่และอบอุ่นเหมือนดังเดิม ราวกับในความเย็นเยียบนั้นมักจะมีความอบอุ่นไว้เพื่อนางเสมอ ทำให้หัวใจของนางสั่นไหวอย่างไม่รู้ตัว
เขาดึงนางเดินไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว คล้ายต้องการพานางออกห่างจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันอันนองเลือดนี้
นางอ้าปาก ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก หันกลับไปมองด้านหลังโดยสัญชาตญาณ สายฝนแห่งเลือดที่ปกคลุมทั่วพื้นดิน ทำให้นางพรั่นพรึง
กลุ่มคนชุดดำไม่เสียแรงที่เป็นถึงกองกำลังมากฝีมือของจวนจิ้งอันอ๋อง แต่ละคนมีวรยุทธ์เยี่ยมยอด ฝึกฝนมาอย่างดี หนึ่งคนสามารถรับมือศัตรูได้สิบคน ปกป้องนายของพวกเขาไว้กลางวงล้อมอย่างจงรักภักดี
ตงฟางจั๋วรีบแก้เชือกบนตัวกู้หยวนถง กู้หยวนถงกุมมือเขาไว้ ฝ่ามือกว้างที่เย็นเฉียบดั่งน้ำแข็งทำให้นางตกใจ
เงยหน้าเช็ดน้ำค้างแข็งตรงกลางคิ้วของโอรสอันเป็นที่รัก ในที่สุดความรักของมารดาก็ถูกถ่ายทอดออกมาจนสิ้น นางอดกล่าวอย่างปวดใจไม่ได้ “เจ้าไปคุกเข่าหน้าห้องหนังสือส่วนพระองค์หนึ่งวันหนึ่งคืนมาใช่หรือไม่? เด็กโง่เอ๋ย จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่รู้จักเสด็จพ่ออีกหรือ!”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จัก เพียงแต่ยังมีความหวังในความรักระหว่างพ่อลูกในหลายปีที่ผ่านมา หวังว่าเสด็จพ่อจะเห็นแก่ความเป็นครอบครัว ให้มารดาของเขามีชีวิตรอด หากยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย เขาก็ไม่อยากพามารดาเดินมายังเส้นทางที่ไม่มีทางหวนกลับเช่นนี้ หนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดฝัน ตงฟางจั๋วสูดหายใจเข้าลึกๆ เบือนหน้าไปทางอื่น ครั้นเงยหน้า ก็สบเข้ากับดวงตาของซูหลีที่อยู่นอกวงล้อมการฆ่าฟัน
ดวงตาคู่นั้น เคยเป็นความรักที่เขาเคยเฝ้าฝันหา ยามนี้กลับกลายเป็นความเจ็บปวดอันรุนแรงในทรวงอก!
‘ซูซู!’ เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ริมฝีปากอันสั่นเทา กลับไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่น้อย! เป็นเขาเองที่หย่านางกับมือ เป็นเขาที่ทำให้นางตายอย่างไม่เป็นธรรม! เป็นเขาที่ผลักนางสู่อ้อมแขนของผู้อื่น! ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเขา!
……………………………………