กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 259 ปล่อยมือเถิด! (1)
ผิดหนึ่งครั้งคิดจนตัวตาย!
สายตาสับสนเจ็บปวดของเขาจดจ้องนางไม่วางตา ซูซู ยกโทษให้ข้าเถิด หากให้โอกาสข้าสักครั้ง…หากให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเจ็บปวดแม้แต่น้อย!
ราวกับได้ยินเสียงตะโกนในใจของเขา สตรีสูงสง่านางนั้นพลันชะงักเท้า นางยืนนิ่งมองเขา ในดวงตาเย็นชาพลันบังเกิดคลื่นอารมณ์ในที่สุด
เขาถือกระบี่มาเปิดศึกครั้งใหญ่ที่นี่ เห็นชัดว่าไม่เห็นความตายอยู่ในสายตาแล้ว!
คนชุดดำนับสิบที่ปกป้องอยู่รอบกายเหมือนดั่งกำแพงมนุษย์อันแข็งแกร่งที่ไม่อาจทำลาย เหล่าองครักษ์หลวงจู่โจมอย่างต่อเนื่อง ล้มตายนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่อาจฝ่าวงล้อมเข้าไปได้ หัวหน้าองครักษ์หลวงเซียวฟั่งขมวดคิ้วเบาๆ
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เซิ่งฉินเริ่มทนดูไม่ไหว ตงฟางเจ๋อกลับยกมือเบาๆ เพื่อตัดบทเขา ดวงตาของเขาในยามนี้มองเห็นเพียงสตรีที่เงียบงันไม่พูดจาสีหน้าสับสนที่อยู่ข้างกาย
การต่อสู้ด้านล่างแท่นประหารดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ตงฟางจั๋วรู้ดีว่าไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่นาน โอบกายมารดา โฉบกายบินขึ้นกลางอากาศ หมายจะพุ่งตัวไปทางหอน้ำชาที่อยู่ด้านหนึ่ง เพื่อหนีไปจากที่แห่งนี้ แต่เขาเพิ่งจะโฉบกายบินขึ้นกลางอากาศ ลูกธนูมากมาย ก็พลันถูกยิงออกมาจากในหอนั้น ราวกับตาข่ายสวรรค์ที่กางปกคลุมเหนือศีรษะพวกเขาแม่ลูก
ตงฟางจั๋วหน้าพลันเปลี่ยนสี ตวัดกระบี่ป้องกันลูกธนูที่พุ่งเข้ามา ขณะเดียวกันก็ถูกบีบให้ถอยกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม
“ตงฟางเจ๋อ!” เขากัดฟันกรอด เงยหน้ามองไปทางแท่นคุมการประหารอย่างเคียดแค้น ทว่ากลับมองเห็นเขากุมมือนางไว้ข้างริมฝีปากอย่างปกป้อง และสายตาที่หญิงงามมองเขา ก็ไม่มีแววขัดขืนแม้แต่น้อย หัวใจราวกับถูกคนใช้มีดแทงอย่างแรง เจ็บจนไม่อาจทานทน เท้าเซถอยหนึ่งก้าว ปรารถนาที่จะหยุดหายใจไปเสีย
ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋อไร้คลื่นอารมณ์ สายตาไหวระริก หันมองเซียวฟั่งที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ข้างหลัง แย้มยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “หัวหน้าองครักษ์เซียว องครักษ์หลวงที่ท่านฝึกฝนมาขึ้นชื่อว่าเป็นทหารที่เก่งกาจที่สุดในเมืองหลวง เหตุใดคนมากเช่นนี้ กลับทำอะไรองครักษ์เพียงสิบกว่านายของจวนจิ้งอันอ๋องไม่ได้เล่า?”
สายตาของเซียวฟั่งพลันตึงเครียด รีบประสานมือตอบ “เจิ้นหนิงอ๋องตำหนิถูกต้อง กระหม่อมจะลงไปจัดการด้วยตนเองเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบก็พุ่งตัวออกไป ไอสังหารพลุ่งพล่านจนน่าตกใจ
เซียวฟั่งเป็นคนที่ถูกขัดเกลามาด้วยน้ำมือของฮ่องเต้ ที่เขานั่งตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ได้ ย่อมต้องเป็นเพราะมีความสามารถโดดเด่น เมื่อเข้าร่วมการต่อสู้ สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปทันที
ชายชุดดำคนหนึ่งถูกแทงที่อกซ้าย เลือดพุ่งกระฉูดทันใด คนที่ยืนขนาบซ้ายขวาต่างตกตะลึง รีบเข้ามาช่วยอย่างลนลาน กำแพงมนุษย์จึงเกิดช่องโหว่ด้วยเหตุนี้ เหล่าองครักษ์หลวงพลันพรั่งพรูเข้าไป ทำให้ชายชุดดำเหล่านั้นโกลาหลทันที
ครั้นเห็นว่ามีคนจะฝ่าด่านกำแพงมนุษย์เข้ามา กู้หยวนถงรีบกุมมือตงฟางจั๋ว กล่าวอย่างร้อนใจ “จั๋วเอ๋อร์ เจ้ารีบสั่งให้พวกเขาหยุดเถิด อย่าได้เสียสละอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้อีกเลย ตงฟางเจ๋อเตรียมความพร้อมไว้แต่แรกแล้ว รอเพียงเจ้ามาชิงตัวนักโทษเท่านั้น ทำเช่นนี้ก็จะสามารถสังหารเจ้าให้ตายตกไปพร้อมกันได้ เจ้าจะปล่อยให้เขาสมปรารถนาไม่ได้ มิเช่นนั้นแม่คงตายตาไม่หลับ!”
ตงฟางจั๋วละสายตากลับมา พยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสในใจ มองดูมารดาของตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ “ไม่ ลูกจะต้องพาเสด็จแม่ไปจากที่แห่งนี้ให้ได้!”
กู้หยวนถงร้องบอกอย่างร้อนรน “ไปจากที่นี่แล้วอย่างไรเล่า? แม่ยอมตาย แต่จะไม่ยอมหนีสุดล่าฟ้าเขียวไปพร้อมกับเจ้า! เจ้าเข้าใจแม่บ้างหรือไม่?” นางพลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ตลอดมานางวางแผนเพื่อลูกเสมอ แต่สุดท้าย นางกลับกลายเป็นภาระของลูก สิบกว่าปีมานี้ นางไม่เคยสิ้นหวังและหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน!
ตงฟางจั๋วกล่าว “ลูกรู้พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ลูกก็จะไม่ยอมปล่อยให้เสด็จแม่ตาย!”
เขามักดื้อรั้นอย่างนี้เสมอ เรื่องที่ตัดสินใจแล้ว แม้วัวเก้าตัวก็ฉุดไม่อยู่ กู้หยวนถงร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ถึงขั้นผลักเขาออก ตวาดเสียงเกรี้ยว “เจ้าช่าง…โง่เขลายิ่งนัก! ข้ากู้หยวนถงฉลาดมาทั้งชาติ เหตุใดจึงมีโอรสโง่เขลาเช่นเจ้าได้!”
ผู้คนรอบกายล้วนอึ้งงันเพราะเสียงตวาดของนาง ต่างพากันเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสีหลายครั้ง ได้ยินเพียงนางกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เพื่ออำนาจ ข้ายอมละทิ้งคุณธรรม ไม่เลือกวิธี ฆ่าคนก่อบาปอย่างไม่เกรงกลัว! เจ้าคิดว่าทุกอย่างที่ข้าทำลงไปเพื่อเจ้าจริงๆ น่ะหรือ? เจ้าผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตนเองทั้งนั้น! เจ้าเป็นโอรสของข้า มีเพียงประคองเจ้าขึ้นบัลลังก์ ข้าจึงจะมีเกียรติตลอดไป! ยามนี้เกียรติยศชื่อเสียงล้วนสูญสิ้นแล้ว จะให้ข้าหนีตามเจ้าไปเป็นสาวชาวบ้านใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ข้ายอมตายเสียดีกว่า!”
“ท่าน!” ตงฟางจั๋วหน้าซีด เบิกตากว้างมองนาง ฉวยโอกาสยามเขาไม่ทันตั้งตัว กู้หยวนถงรีบคว้าดาบที่คนทำตกไว้ตวัดไปที่ลำคอตนเอง
ตงฟางจั๋วตกตะลึง ตาไวมือไว รีบแย่งดาบมา ดวงตาแดงก่ำ เขาจ้องมารดาตนเองที่แสร้งทำหน้าเย็นชา แต่แท้จริงแล้วซ่อนความเจ็บปวดแสนสาหัสไว้ในดวงตา ก่อนจะกล่าวทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คนทั้งโลกอาจเชื่อ แต่ลูก…ไม่มีวันเชื่อ ว่าเสด็จแม่จะรักในอำนาจมากกว่าตัวลูก!” สายตาของเขาเจ็บปวดโศกเศร้า ราวกับเพียงกะพริบตา เขาก็อาจสูญเสียคนที่รักที่สุดไป
กู้หยวนถงรู้สึกเพียงหัวใจของตนเองกำลังแหลกลาญ วาจาโหดร้ายที่หมายจะกล่าวออกไป กลับพูดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว นางจดจ้องโอรสของตนเองอย่างนิ่งงัน น้ำตาอุ่นๆ สองสายไหลลงมาเป็นทาง
บางทีตงฟางจั๋วอาจเคยสงสัยว่าในใจนางตนเองสำคัญสู้อำนาจได้หรือไม่ แต่ยามนี้ เขากลับเชื่ออย่างหนักแน่น ว่าสิ่งที่เสด็จแม่ทรงรักที่สุด ก็คือเขาโอรสของนาง มิเช่นนั้นนางคงไม่ทำร้ายเขาด้วยวาจาโหดร้ายเหล่านี้ในยามนี้!
“ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็จะไม่มีวันปล่อยให้เสด็จแม่ตาย นอกเสียจากลูกจะตายแล้ว!” เขากัดฟันกล่าวประโยคนี้ออกมา และไม่พูดมากความอีก ผลักมารดาไปหาจ้าวสวินที่อยู่ข้างๆ แล้วกำชับ “ปกป้องเสด็จแม่ให้ดี!”
จากนั้นก็ถือดาบวิ่งเข้าไปท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ฟาดฟันกระบี่ใส่องครักษ์หลวงคนแล้วคนเล่าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ประหนึ่งปีศาจผู้บ้าคลั่ง เห็นคนฆ่าคน เห็นพระฆ่าพระ
ทุกคนต่างตกตะลึงที่เห็นเขาเป็นอย่างนั้น ต่างพากันผงะถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว มีเพียงเซียวฟั่งผู้เดียวที่ขมวดคิ้วแน่น ขณะที่เขาแทงดาบไปยังหัวใจขององครักษ์นายหนึ่ง เซียวฟั่งถือดาบเข้าขัดขวาง สะเก็ดไฟเปล่งประกายวาบ ชี่แท้พลุ่งพล่าน ทั้งสองผงะถอยคนละก้าว ก่อนจะพุ่งตัวเข้าปะทะกันอีกครั้ง
ตงฟางเจ๋อมองภาพนั้นด้วยสายตาเย็นชา กล่าวโดยไม่หันมอง “เซิ่งฉิน เซิ่งเซียว ไปช่วยจัดการ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวรับคำพร้อมกัน ก่อนจะโฉบกายลงไป เหินทะยานผ่านเหนือศีรษะองรักษ์จำนวนมาก พุ่งเข้าไปแทงกระบี่ทะลุหัวใจชายชุดดำโดยตรง สองคนนี้เป็นแขนอันทรงพลังของตงฟางเจ๋อ วรยุทธ์ล้ำเลิศ ลงมือคราใดไม่เคยผิดพลาด
ครั้นเห็นชายชุดดำพากันล้มตายไปทีละคน กู้หยวนถงหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ได้ยินเพียงเสียง ‘ฉึก’ กระบี่คมเสียดแทงทะลุทรวงอก นางลืมตาอย่างตื่นกลัว เห็นเพียงเซิ่งฉินและเซิ่งเซียวถือดาบสังหารคนรอบกายนางอย่างรวดเร็ว
มีเพียงจ้าวสวินที่ยังคงคอยปกป้องนางอยู่ เขาต่อสู้อย่างสุดชีวิต ไม่สนความเป็นความตายของตนเอง และคล้ายไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กวัดแกว่งดาบสังหารเหล่าองครักษ์หลวงที่กรูกันเข้ามาดังคลื่นซัดสาด ยามนี้ในใจเขามีเพียงศรัทธาเดียวเท่านั้น คือไม่อาจหันหลังให้คำไหว้วานจากผู้เป็นนายได้
ชั่วขณะหนึ่งเซิ่งฉินและเซิ่งเซียวไม่อาจเข้าประชิดตัว จึงเลือกที่จะใช้วิธีสู้โรมรันพันตูกับคู่ต่อสู้อย่างมิได้นัดหมาย
ตงฟางจั๋วถูกหัวหน้าองครักษ์เซียวฟั่งขัดขวาง ไม่อาจปลีกตัวมาทางนี้ได้ หัวใจร้อนรนดั่งไฟแผดเผา กู้หยวนถงกล่าวพร้อมเสียงสะอื้น “จั๋วเอ๋อร์หยุดเถิด! อย่าสนใจแม่อีกเลย กลับไปยอมรับผิดกับเสด็จพ่อของเจ้า ขอร้องให้เขายกโทษให้เสีย…”
………………………………………………..