กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 260 ปล่อยมือเถิด! (2)
“ไม่!” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างเด็ดเดี่ยว หัวใจบีบรัดเจ็บปวด ดวงตาทั้งสองข้างถูกเลือดย้อมจนแดงก่ำ วันนี้หากมารดาตายไปจริงๆ จากนี้ไปเขาจะไม่มีทางก้มหัวให้กับฮ่องเต้ผู้สูงส่งทว่าเย็นชาผู้นั้นอีกตลอดชีวิต เผลอเพียงแวบเดียว คมดาบแหลมของเซียวฟั่งก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าแล้ว หลบเลี่ยงไม่ทัน เขาจึงตัดสินใจยกมือเปล่าขึ้นจับไว้
ใบมีดคมบาดผ่านผิวหนัง เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด ไหลผ่านซอกนิ้วออกมา หยดลงบนแท่นประหารหยดแล้วหยดเล่า หยาดเลือดสาดกระเซ็น ผ่านไปไม่นานก็ไหลรวมกันเป็นแอ่งเลือดเล็กๆ
เจ็บปวดทั้งนิ้วและหัวใจ เขากลับไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ บุรุษที่ยามปกติวู่วามใจร้อน ยามนี้กลับใจเย็นจนน่ากลัว ดวงตาดุดันคมปลาบ ใบหน้าไร้อารมณ์ ราวกับมือข้างนั้นไม่ใช่ของเขา
“จั๋วเอ๋อร์!” เสียงเรียกสั่นๆ ของมารดาดังมาจากด้านข้าง แววโหดเหี้ยมพาดผ่านดวงตาตงฟางจั๋ว ใช้มือข้างเดียวบิดตัวกระบี่อย่างแรง ได้ยินเพียงเสียงดัง ‘แกรก’ กระบี่ยาวหักเป็นสองท่อนร่วงตกพื้น
เซียวฟั่งอึ้งงัน ก้มมองด้ามกระบี่ที่อยู่ในมืออย่างตกตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อ กระบี่เล่มนี้ฮ่องเต้พระราชทานให้เขา ถึงแม้จะไม่แข็งแกร่งและคมกริบเท่ากับ ‘เกล็ดหิมะ’ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นกระบี่ล้ำค่าเหนือกว่ากระบี่ทั่วไป กลับถูกเขาหักอย่างง่ายดายเช่นนี้!
ตงฟางจั๋วไม่มองเซียวฟั่ง เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด โฉบกายบินสูง หันปลายกระบี่พุ่งไปที่ตงฟางเจ๋อโดยตรง
กลิ่นอายกระบี่พุ่งพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว คมปลาบดุดัน อานุภาพรุนแรง ใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถต้านรับการโจมตีที่ทุ่มทั้งชีวิตของตงฟางจั๋วได้ เกรงว่าจะมีไม่กี่คน
ฝูงชนด้านล่างแท่นประหารตกตะลึงกับไอสังหารอันน่าพรั่นพรึงนี้ หลายคนหยุดการเคลื่อนไหว หันมามองทางนี้อย่างไม่รู้ตัว พวกเขาเบิกตากว้าง กลั้นหายใจ กระทั่งลืมร้องด้วยความตกใจ
ซูหลีหัวใจเต้นรัว ร้องเตือนโดยสัญชาตญาณ “ระวัง!”
รอยยิ้มพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ ใบหน้าเขาไร้คลื่นอารมณ์ พลันสะบัดแขนเสื้อ พละกำลังมหาศาลปัดกระบี่คร่าชีวิตในมือตงฟางจั๋วไปอีกทาง
“ท่านอ๋อง!” เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวเห็นดังนั้นก็รีบปลีกกายมาช่วยเหลือ กระบี่ของตงฟางจั๋วเบี่ยงทิศพลาดเป้า พุ่งไปทางหัวไหล่ของซูหลีอย่างไม่คาดคิด
ทั้งสองหน้าถอดสี ตงฟางเจ๋อยื่นแขนออกไปรั้งตัวซูหลีเข้ามากอดอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกลิ้งตัวล้มลงไปกับพื้น
ตงฟางจั๋วสลายพลังไม่ทัน กระบี่ล้ำค่าพุ่งแทงออกไปอย่างแรง เสียดแทงเข้าไปในแผ่นศิลา สะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนลุกวาบ! ไอกระบี่คมกริบยังคงกรีดผ่านปลายผมของซูหลี เส้นผมยาวสลวยพลันสยายกลางอากาศดั่งน้ำตก มีเพียงใบหน้างามหมดจดไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ และดวงตาสว่างใสดั่งดวงดารา ที่จ้องตรงเข้าไปในสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความตกใจระคนเสียใจของเขา
ในขณะที่อึ้งงันอยู่นั้นเอง กระบี่ของเซิ่งฉินและเซิ่งเซียวก็พุ่งแหวกอากาศเข้ามาพร้อมกัน ตงฟางจั๋วคำรามเสียงดัง หลบหลีกผ่านพ้นไปได้กระบี่หนึ่ง แต่แขนซ้ายกลับถูกคมกระบี่ของเซิ่งฉินกรีดเฉือน โลหิตสีแดงพุ่งกระฉูด เขาผงะถอยไปสามก้าวติดกัน ก่อนจะยืนตระหง่านอยู่ด้านหนึ่ง สายตายังคงจ้องมองสตรีที่ทำให้เขาปวดใจนางนั้น
ตงฟางเจ๋อประคองซูหลีลุกขึ้น สตรีผมดำขลับใบหน้างามหมดจด ยามนี้กำลังมองเขาเช่นกัน สายตาสับสนอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้น ประกายกระบี่พาดผ่าน ‘ประกายแสง’ กระบี่อ่อนอันดับหนึ่งในยุทธภพพลันพุ่งออกจากฝัก วินาทีนั้น พายุลมโหมกระหน่ำ ทุกสรรพสิ่งบนโลกราวกับถูกกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ปกคลุม
ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาสองคนประมือกัน แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ต่างฝ่ายต่างใช้สองกระบี่อันเยี่ยมยอดห้ำหั่นกันอย่างสุดชีวิต
อานุภาพของกระบี่อ่อน ‘ประกายแสง’ เดิมก็ไร้เทียมทานอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามผู้ที่ใช้มันมีวรยุทธ์สูงส่ง เมื่อไม่ต้องพะวงเรื่องพิษดอกฉิงฮวา วรยุทธ์ของตงฟางเจ๋อทรงพลังจนไม่อาจจินตนาการ
“ท่านเกือบทำร้ายนางแล้ว!” น้ำเสียงของตงฟางเจ๋อเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความอ่อนโยน
“ท่านอ๋อง!” เซิ่งฉินกับเซิ่งเซียวมองนายตนเองด้วยความตกใจ ไอสังหารเช่นนี้ แม้แต่ในยามที่ถูกลอบสังหาร พวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นสักครั้ง
ตงฟางจั๋วหัวเราะอย่างสิ้นหวัง ถ้าหากเลือกได้ เขายอมถูกนางทำร้ายเป็นพันหน แต่จะไม่ยอมให้นางถูกทำร้ายแม้เพียงปลายผม!
ประกายกระบี่ไหววูบ ทั้งสองเริ่มโรมรันพันตู ตงฟางเจ๋อเคลื่อนไหวดั่งภูตผี ซูหลีแทบมองไม่เห็นว่าเขาใช้กระบวนท่าใดบ้าง ในที่สุด ตงฟางจั๋วก็ถูกแทงที่หัวไหล่ โลหิตสีแดงพรั่งพรู ย้อมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มให้กลายเป็นสีแดงสด สายตาของตงฟางเจ๋อคมปลาบดุดัน ซัดฝ่ามือออกไปทันที ตงฟางจั๋วเสียหลักเซถอยไปหลายก้าว พยายามฝืนยืนให้มั่นคง
คมดาบจำนวนมากจ่อมาที่ลำคอของเขาทันที ทำให้เขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก
“ช้าก่อน!” ซูหลีร้องอย่างตกใจ
สายตาของตงฟางเจ๋อพลันขรึมลง อดไม่ได้ที่จะหันไปมองนาง
“ขัดขืนราชโองการ ชิงตัวนักโทษในที่สาธารณะ จิ้งอันอ๋อง ท่านสำนึกผิดหรือไม่?” ซูหลีก้าวออกมา ดวงหน้างามหมดจดค่อยๆ ซีดขาวไร้สีเลือด แม้ว่านางจะเกลียดชังเขาสักเพียงใด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับไม่อยากเห็นเขาตายอยู่ตรงหน้า
ตงฟางจั๋วมองนางอย่างอึ้งงัน แววอ่อนโยนพาดผ่านดวงตาอันแดงก่ำของเขา “ตลอดชีวิตของข้า มีเพียงเรื่องเดียวที่เสียใจ…แม้ผู้คนใต้หล้าจะหันหลัง หรือบ่อนทำลายข้า ข้าก็ไม่สน หวังเพียงซูซู…จะอภัยต่อความผิดใหญ่หลวงที่ข้าได้ทำลงไป”
ซูหลีหัวใจสั่นสะท้าน ขอบตาพลันร้อนผ่าว แต่นางไม่อนุญาตให้ตนเองใจอ่อน รีบเบือนหน้าหนี “จิ้งอันอ๋องไม่เคยกระทำผิดต่อหม่อมฉัน ไม่จำเป็นต้องร้องขอการให้อภัยจากหม่อมฉัน”
ตงฟางจั๋วมองนางอย่างร้อนรน “ไม่ เจ้าไม่เข้าใจ ซูซู เรื่องในวันนี้ ข้าไม่เสียใจสักนิด ข้าเพียงอยาก…จะฟังประโยคนั้นจากเจ้าก่อนตาย!”
ซูหลีกัดฟันแน่น กลับไม่เอ่ยคำใด
เขาพลันยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หรือว่า กระทั่งจนถึงวันที่ข้าตาย เจ้าก็จะไม่ยอมให้อภัยข้างั้นหรือ?”
“ให้อภัย?” ในที่สุดนางก็หันหน้ากลับมา พยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ “คนที่ท่านควรร้องขอการให้อภัย คือท่านหญิงหมิงอวี้”
“เช่นนั้นเจ้าพูดแทนนางสักประโยคได้หรือไม่?” สายตาและวาจาขอร้องของเขา แทบจะกลายเป็นอ้อนวอนอย่างไร้กำลัง คล้ายกับความเป็นความตายในยามนี้ไม่อาจทำให้เขากลัว มีเพียงวาจาประโยคเดียวจากนางเท่านั้นที่จะทำให้เขาหลุดพ้นได้
กลีบปากของซูหลีสั่นเทาเบาๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร นางกลับไม่อาจกล่าววาจาประโยคนั้นออกมาได้
บนแท่นประหารในยามนี้ พลันมีเสียงกรีดร้องแหลมๆ เสียงหนึ่งดังมา จ้าวสวินองครักษ์ประจำกายของตงฟางจั๋วเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วงของเหล่าองครักษ์หลวง เขาเริ่มต้านทานไม่ไหว และกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ครั้นเห็นมารดาใกล้ตกอยู่ในกำมือของตงฟางเจ๋อ ตงฟางจั๋วจ้องบุรุษที่ไร้รอยขีดข่วนตรงหน้าอย่างเกลียดแค้น ในใจพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ยับเยิน
“หากยั้งมือตอนนี้ ข้าจะกลับไปทูลเสด็จพ่อ ว่าท่านเพียงต้องการช่วยมารดาเท่านั้น” ตงฟางเจ๋อมองเขาด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
ตงฟางจั๋วกลับหัวเราะเสียงดัง กล่าวอย่างโศกเศร้า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นมีเมตตา! ตงฟางเจ๋อ หากเจ้าเป็นคนดีจริง ก็ปล่อยพวกข้าแม่ลูกไป ภายหน้าพวกข้าจะหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า ไม่หวนกลับมาเมืองหลวงอีกตลอดกาล จะไม่มีใครแย่งชิงนางและตำแหน่งนั้นกับเจ้าอีก มีแต่ผลดีกับเจ้า เหตุใดเจ้ากลับไม่ยอมถอยให้ข้าสักก้าวเล่า?”
บุรุษที่เคยเย่อหยิ่งทะนงตนเสมอมา ในที่สุดก็ก้มหัว กัดฟันกรอด แม้ในอดีตเขาจะเคยอวดดีสักเพียงใด ยามนี้ก็รู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตงฟางเจ๋อ ไม่ว่าจะความคิดหรือวิธีการ วรยุทธ์หรือสติปัญญา เขาก็ไม่เคยสู้น้องชายของเขาที่โดดเด่นกว่าเขาทุกด้านผู้นี้ได้เลย!
ความจริงในตอนแรกสุด เขาไม่ได้อยากแข่งขันหรือแย่งชิงอะไรกับตงฟางเจ๋อเลย ถึงแม้เขาจะรู้สึกมาโดยตลอดว่าตำแหน่งนั้นควรเป็นของเขาอยู่แล้ว แล้วยังมีสตรีนางนั้นอีก…เขาเงยหน้ามองซูหลี สายตาเจ็บปวดยากจะควบคุม ภรรยาที่เคยเป็นสตรีที่เขารักที่สุด กลับต้องสูญเสียไปเพราะแผนการร้ายของผู้อื่นและความวู่วามชั่วขณะของตนเอง จนต้องมายืนอยู่กันคนละฝั่งเช่นในยามนี้ แม้ตายนางก็ยังไม่ยอมพูดให้อภัยเขา!
……………………………………….