กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 265 พระราชโองการแปลกๆ (2)
ซูหลีรู้สึกได้รางๆ ว่าเขามีเรื่องในใจ แต่ติดตรงที่หยางเสวียนอยู่ด้วย จึงไม่สะดวกถามมาก
รถม้าวิ่งมาถึงประตูวังหลวงอย่างรวดเร็ว การรักษาความปลอดภัยในพระราชวังดูเข้มงวดกว่าที่ผ่านมามาก เฉาจิ้นเหลียง รองหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายขวานำทหารเฝ้าหน้าห้องบรรทมของฮ่องเต้ด้วยตนเอง กลับไม่เห็นเงาของหัวหน้าองครักษ์เซียวฟั่ง ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเบาๆ เรียกเซิ่งฉินเข้ามากำชับหลายประโยค ซูหลีรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างพาครอบครัวมารอเข้าเฝ้า กลับไม่เห็นฮ่องเต้อนุญาตให้เข้าพบ จึงพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา มีเพียงเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน แม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋ ผู้บัญชาการทหารเหลียงสือชู และขุนนางสูงสุดฝ่ายตรวจการซ่งอู๋ยงเท่านั้นที่ขมวดคิ้วเบาๆ ไม่พูดอะไร ต่างคนต่างขบคิดเรื่องในใจของตนเอง
“เจิ้นหนิงอ๋องเสด็จแล้ว!” ไม่รู้เสียงผู้ใดร้องขึ้น เหล่าขุนนางที่กำลังถกเถียงกันรีบเงยหน้า หันไปมองเขา แล้วขานเรียก “เจิ้นหนิงอ๋อง!”
ตงฟางเจ๋อยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทุกท่าน ตกใจอันใดกันหรือ?”
เหลียงสือชูก้าวออกมาตอบว่า “ท่านอ๋องยังไม่ทรงทราบ เมื่อครู่เกากงกงออกมาถ่ายทอดรับสั่งว่าฝ่าบาทไม่สบาย ไม่ขอพบผู้ใดทั้งสิ้น”
“หืม?” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวด้วยสีหน้าสงสัย “เมื่อคืนข้ายังเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออยู่เลย เสด็จพ่อไม่ได้ตรัสว่าจะไม่พบเหล่าขุนนางในวันนี้ หรือว่า…อาการประชวรทรุดลง? เรียกหมอหลวงเข้าไปตรวจชีพจรแล้วหรือไม่?”
เหลียงสือชูถอนหายใจ กล่าวว่า “เรียกหมอหลวงหลี่จงเหอมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่ก็เข้าไปครึ่งชั่วยามแล้ว รองหัวหน้าองครักษ์เฉาบอกว่าฝ่าบาทพระวรกายอ่อนแอ งดเข้าเฝ้าชั่วคราวพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว เหล่มองเฉาจิ้นเหลียงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู “ข้าจะเข้าไปดูหน่อย”
เขาเดินตรงไปยังห้องบรรทม ยังไม่ทันถึงหน้าประตู เฉาจิ้นเหลียงก้าวเข้ามายกมือขวาง “เจิ้นหนิงอ๋องช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าของตงฟางเจ๋อตึงเครียด สะบัดแขนเสื้อ กล่าวเสียงเย็นชา “ทำไม แม้แต่ข้าเจ้าก็ยังกล้าขวาง?”
เฉาจิ้นเหลียงมีสีหน้านบนอบ น้ำเสียงกลับไม่แข็งกร้าวจนเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่ถ่อมตัวจนต้อยต่ำ “กระหม่อมทำตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทมีรับสั่ง หากไม่มีคำสั่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าเฝ้า! ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสว่าให้ยกเว้นผู้ใดเป็นกรณีพิเศษ ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อหรี่ตา สายตาลึกล้ำกวาดมองรอบข้างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เหตุใดวันนี้เจ้าจึงอยู่ที่นี่? เซียวฟั่งเล่า?”
เฉาจิ้นเหลียงตอบ “ทูลเจิ้นหนิงอ๋อง พักนี้หัวหน้าองครักษ์เซียวเป็นไข้ ได้ทำเรื่องลาไปแล้ว การดูแลความปลอดภัยของพระราชวังในวันนี้ จึงเป็นหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“เซียวฟั่งป่วยหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้?” ตงฟางเจ๋อยิ้มบางแล้วถาม สายตากลับเย็นเยียบทันที
สายตาของเฉาจิ้นเหลียงไหวระริกเล็กน้อย รีบก้มหน้าตอบ “เจิ้นหนิงอ๋องทรงสำเร็จราชการแทนฝ่าบาท มีราชกิจยุ่งเหยิง หัวหน้าองครักษ์เซียวกำชับกระหม่อมว่าอย่าได้นำเรื่องเล็กไปกวนใจท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ภายนอก สีหน้าเขาดูสงบนิ่ง คล้ายไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ดวงตาของตงฟางเจ๋อเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน ปากกลับแย้มยิ้ม กล่าวว่า “หัวหน้าองครักษ์เซียวรู้ใจข้าถึงเพียงนี้ รอให้เขาหายป่วย ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
“กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋องแทนหัวหน้าองครักษ์เซียวพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อกระตุกยิ้มมุมปาก มองห้องบรรทมของฮ่องเต้ พลางถามว่า “ในห้องบรรทมของเสด็จพ่อ นอกจากเกากงกงกับหมอหลวงหลี่ ยังมีผู้อื่น?”
“ไม่มีผู้อื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ?” เขาคล้ายผิดคาดมาก “เหตุใดพี่รองยังมาไม่ถึงเล่า?”
“ไม่เจอกันหลายวัน น้องหกยังอุตส่าห์จำข้าได้!” เฉาจิ้นเหลียงยังไม่ทันตอบ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง ก็พลันดังมาจากด้านหลังกลุ่มคน ทุกคนตกตะลึง รีบเปิดทาง ตงฟางจั๋วสาวเท้ายาวๆ เดินแหวกฝูงชนเข้ามา
ซูหลีเห็นเขา หัวใจก็พลันสะท้าน
ตงฟางจั๋วที่ไม่เคยสวมเสื้อผ้าสีแดงนอกจากงานแต่ง วันนี้กลับสวมอาภรณ์สีแดงตัวใหญ่ สีที่สดเหมือนโลหิต ทำให้ซูหลีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงศพที่ตายอย่างอเนจอนาถในลานประหาร! ลางร้ายพลันบังเกิดในหัวใจ
ทุกคนตกตะลึง ต่างมองหน้ากัน หากเป็นวันส่งท้ายปีในอดีต เขาสวมอาภรณ์เช่นนี้ยังถือเป็นการเพิ่มความเป็นสิริมงคล แต่วันนี้ฮ่องเต้ประชวร เขาเพิ่งจะผ่านความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียมารดาไป ก็สวมอาภรณ์เช่นนี้เข้าวังแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตงฟางจั๋วราวกับไม่รับรู้ถึงสายตาประหลาดใจของพวกเขา เพียงเหลือบมองซูหลี ก่อนจะเดินตรงไปยังเบื้องหน้าตงฟางเจ๋อ เหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรก ที่สายตาของทุกคนจับจ้องมายังเขาเมื่อยืนเคียงข้างกับตงฟางเจ๋อ! ตงฟางจั๋วอดหัวเราะหยันตนเองไม่ได้
ซูหลีหนักอึ้งในใจ ไม่เจอกันหลายวัน เขายิ่งดูซูบผอมลงไป เบ้าตาลึกโบ๋ เต็มไปด้วยเส้นเลือด เห็นชัดว่าเป็นผลพวงจากการไม่ได้นอนหลายคืน แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับไร้ซึ่งร่องรอยแห่งความเศร้าโศก มีเพียงความเย็นชา ที่ราวกับเย็นเยียบเข้าไปถึงกระดูก
ตงฟางเจ๋อเงยหน้ามองเขาอย่างเฉยชา “ไม่เจอกันหลายวัน เห็นพี่รองสบายดี ข้าก็คลายใจ”
ตงฟางจั๋วแหงนหน้ากล่าว “ข้าย่อมสบายดี ยังต้องรักษาชีวิตไว้ร้องขอการให้อภัยจากเสด็จพ่อ” เขาไม่กล่าวอะไรกับตงฟางเจ๋อมากความ เพียงเดินผ่านตงฟางเจ๋อมาคุกเข่าด้านหน้าประตูห้องบรรทมของฮ่องเต้ แล้วกล่าวว่า “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้เป็นลูกที่เลอะเลือน หมิ่นราชโองการ ทำให้เสด็จพ่อทรงพิโรธ ลูกสำนึกผิดแล้ว วันนี้จะมาขอรับบทลงโทษ เสด็จพ่อโปรดให้อภัยลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ด้านในเงียบสงัด ทันใดนั้น ประตูพลันเปิดดัง ‘แอ๊ด’
หมอหลวงหลี่จงเหอยืนอยู่หลังประตู สีหน้าเคร่งขรึม มองจากที่ไกลๆ ประตูด้านในของห้องบรรทมยังคงปิดสนิท เหล่าขุนนางพากันล้อมวงเข้าไป ตงฟางเจ๋อเอ่ยถาม “หมอหลวงหลี่ พระวรกายของเสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้าง?”
หลี่จงเหอถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ฝ่าบาทโรคเก่ากำเริบรุนแรง ยาที่ใช้ได้ก็ใช้หมดแล้ว แต่ยังคงไม่เกิดผล กระหม่อม…ไร้ความสามารถแล้วจริงๆ ขอเจิ้นหนิงอ๋องโปรดอภัยด้วย!”
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี พลันแตกตื่นลนลาน กล่าวละล่ำละลัก “นี่ นี่มัน…แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า?” สายตาทุกคู่จดจ้องมายังตงฟางเจ๋อ
ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร สายตาคมปลาบจ้องตรงไปยังหลี่จงเหอ ถามเสียงขรึม “ไร้หนทางแล้วจริงๆ หรือ?”
“นั่น…” หลี่จงเหอก้มหน้า กล่าวด้วยสายตาลังเล “นอกเสียจากว่า…”
“นอกเสียจากว่า?”
หลี่จงเหอเอ่ยอย่างลังเล “กระหม่อมรู้จักวิธีรักษาแบบพื้นบ้านอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “เจ้าเพียงว่ามาก็พอ”
หลี่จงเหอเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ใช้เลือดโอรสในสายเลือดเป็นกระสายยา เสริมด้วยยาต้มบัวหิมะเทียนซาน จะทำให้ประสิทธิภาพของยาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”
ทุกคนฮือฮา บัวหิมะเทียนซานใช่ว่าในวังหลวงจะไม่มี แต่โลหิตของโอรสในสายเลือดนั้น…
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ร้อง ‘อ้อ’ เบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
ตงฟางจั๋วพลันลุกขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “ใช้โลหิตของโอรสในสายเลือดเป็นกระสายยา? จะไปยากอะไร! นำถ้วยมา”
ทุกคนตกตะลึง นางกำนัลรีบนำถ้วยมาน้อมส่งให้เขา ตงฟางจั๋วรีบม้วนแขนเสื้อขึ้น ‘ฉึบ’ กระบี่ยาวถูกชักออกมาเฉือนแขนอย่างไม่ลังเล เลือดสีแดงสดไหลออกมา ผ่านไปไม่นาน เลือดก็เต็มถ้วยแล้ว
ทุกคนยังไม่ทันตั้งสติ ตงฟางจั๋วก็ยื่นเลือดถ้วยนั้นให้หลี่จงเหอ หลี่จงเหอคล้ายอึ้งงันไป
ตงฟางจั๋วกล่าวอย่างใจร้อน “รีบไปต้มยาเร็วเข้า”
หลี่จงเหอเพิ่งจะได้สติกลับคืนมาตอนนี้เอง รีบช่วยเขาห้ามเลือดและพันแผล มองดูเลือดในถ้วย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “จิ้งอันอ๋องกตัญญูยิ่ง ช่างน่าซาบซึ้งนัก กระหม่อมจะรีบไปต้มยาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
……………………………………….