กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 266 ความลับของศิลาเลือด (1)
รอบข้างเงียบสงัด สายตาทุกคู่ต่างจดจ้องไปยังประตูใหญ่ที่ปิดสนิทบานนั้น
ประตูห้องบรรทมของฮ่องเต้ พลันเปิดออก
เกากงกงคนสนิทของฮ่องเต้เดินออกมา แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้จิ้งอันอ๋องเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางจั๋วสาวเท้าใหญ่ๆ เข้าไปในห้อง ประตูห้องบรรทมปิดลงอีกครั้ง กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกต่างพากันกระซิบกระซาบ จู่ๆ ฮ่องเต้เรียกพบจิ้งอันอ๋องในยามนี้ แต่กลับไม่ยอมพบเจิ้นหนิงอ๋องที่กำลังจะแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท เพราะเหตุใดกันแน่? หรือการกระทำเมื่อครู่ของจิ้งอันอ๋องทำให้ฮ่องเต้ซาบซึ้งใจ?
เหล่าขุนนางเหลือบมองตงฟางเจ๋อเงียบๆ ซูหลีเองก็อดขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ได้ เห็นเพียงตงฟางเจ๋อใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ สายตาจดจ้องไปยังหลี่จงเหอที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขานเรียกเสียงขรึม “หมอหลวงหลี่ช้าก่อน”
หลี่จงเหอตัวสั่นเล็กน้อย รีบหยุดฝีเท้าหันกลับมาถามอย่างนอบน้อม “เจิ้นหนิงอ๋องยังมีอันใดรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
สายตาของตงฟางเจ๋อคมปลาบ มองหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “วิธีรักษาแบบพื้นบ้านนี้ท่านรู้มาจากที่ใด? นอกจากท่าน ยังมีผู้อื่นรู้อีกหรือไม่?”
หลี่จงเหอพลันชะงักอึ้ง รีบก้มหน้าตอบ “ทูลเจิ้นหนิงอ๋อง นี่เป็นวิธีรักษาที่กระหม่อมเคยได้ยินจากปากผู้เฒ่าท่านหนึ่งยามเดินทางท่องยุทธภพก่อนจะเข้าวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เรื่องผ่านไปนานหลายปีแล้ว กระหม่อมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีผู้อื่นรู้อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็นชาเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น ก็เท่ากับว่ากลายเป็นตำรับเฉพาะของท่านผู้เดียว?”
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีพลันตระหนัก กล่าวขึ้นว่า “หมอหลวงหลี่ มิสู้ข้าไปต้มยากับท่านดีกว่า” ในเมื่อตงฟางเจ๋อสงสัยว่าตำรับยาเป็นเรื่องลวง นางก็ควรหาโอกาสพิสูจน์ “ในฐานะว่าที่สะใภ้แห่งราชวงศ์ ฝ่าบาทประชวร ซูหลีเองก็อยากทำอะไรบ้าง”
หลี่จงเหอกล่าวอย่างลำบากใจ “นั่น…” ขณะที่กำลังลังเลว่าจะตอบตกลงดีหรือไม่นั้น ประตูห้องบรรทมของฝ่าบาท ก็เปิดออกเป็นครั้งที่สาม
เกากงกงเดินออกมาอย่างรวดเร็ว เห็นชัดว่าฝ่าบาทมีรับสั่งใหม่ ทุกคนต่างรีบคาดเดา ครั้งนี้ฮ่องเต้คงมีรับสั่งให้เจิ้นหนิงอ๋องเข้าเฝ้าแล้วกระมัง! แต่เกากงกงไม่มองตงฟางเจ๋อ กลับหันมาทางซูหลีแทน
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้ท่านหญิงหมิงซีเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เพียงเหล่าขุนนางเท่านั้นที่ประหลาดใจ ซูหลีเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน นางรีบหันไปสบตากับตงฟางเจ๋อ ในเวลานี้ ฮ่องเต้ไม่ยอมพบตงฟางเจ๋อแต่ยอมพบตงฟางจั๋วก็แล้วไป แต่นี่กลับเรียกพบนางด้วย? แปลกเกินไปแล้ว! ลางสังหรณ์ที่แผ่ปกคลุมอยู่ในใจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ตงฟางเจ๋อถามเสียงขรึม “กงกงทราบหรือไม่ว่าเสด็จพ่อเรียกพบท่านหญิงหมิงซีด้วยเรื่องใด?”
“กระหม่อมมิทราบพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งบอกเหตุผล กระหม่อมเองก็มิบังอาจคาดเดา” เกากงกงค้อมเอวก้มศีรษะต่ำ ท่าทีนอบน้อมดูไม่ต่างจากยามปกติ เขาหันไปกล่าวกับซูหลีเสียงทุ้มต่ำ “เชิญท่านหญิงเถิด ฝ่าบาททรงรออยู่ด้านในแล้ว!”
เหล่าขุนนางต่างยืนมองอยู่ด้านหนึ่ง ซูหลีมิอาจขัดรับสั่ง ทำได้เพียงเดินตามเกากงกงเข้าไป ตงฟางเจ๋อมองดูแผ่นหลังของพวกเขาสองคนหายลับเข้าไปในห้อง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สายตาเย็นชา
ห้องบรรทมของฮ่องเต้ทั้งใหญ่และกว้างขวาง เดินผ่านฉากบังลมสามชั้นลึกเข้าไปในห้อง จึงค่อยมาถึงห้องบรรทมที่ตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่าของฮ่องเต้
ประตูหน้าต่างด้านในของห้องบรรทมปิดสนิท แสงสว่างสลัวเลือนราง
ตงฟางจั๋วนั่งเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาที่อยู่ภายใต้แสงมืดสลัวแยกแยะไม่ออกว่ากำลังโกรธหรือดีใจ บนเตียงไม้ขนาดใหญ่ที่แกะสลักด้วยลวดลายดอกไม้ด้านหลัง ฮ่องเต้กำลังเอนกายนอนอยู่อย่างเงียบงัน ใบหน้าซีดเซียวเพราะอาการป่วย ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท มองไม่เห็นราศีของกษัตริย์ที่เคยมีในอดีต เขาไม่ขยับเขยื้อน คล้ายไม่มีสติรับรู้
ซูหลีรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที
คนสูงวัยที่หลับใหลด้วยอาการป่วยผู้หนึ่ง จะมีรับสั่งเรียกพบครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไรกัน?
สายตาประหลาดใจของนางเบนไปยังตงฟางจั๋วที่นั่งอยู่ด้านหนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าทำความเคารพ “หมิงซีถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
บุคคลที่มีอำนาจสูงสุดบนเตียงมังกรไร้ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบ
“ท่านหญิงลุกขึ้นมาเถิด” สายตาสงบนิ่งของตงฟางจั๋วกวาดมองมา พยายามข่มกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านที่ถาโถมจิตใจไม่หยุดอย่างสุดกำลัง
ซูหลีอึ้งงัน กลับไม่ขยับเขยื้อน
“อาการประชวรของเสด็จพ่อในคราวนี้ร้ายแรงยิ่งนัก หมอหลวงต่างหมดหนทาง เมื่อครู่เสวยยาแล้วฟื้นคืนสติขึ้นมาชั่วครู่ ยามนี้บรรทมไปอีกแล้ว ปล่อยให้พระองค์พักสักครู่เถิด” ตงฟางจั๋วลุกขึ้น แล้วเดินเข้ามาประคองนาง
ซูหลีก้มหน้า ความคิดนับพันนับร้อยแล่นผ่านสมอง นัยน์ตากระจ่างใสที่มองไปยังใบหน้าเย็นชาของบุรุษเต็มไปด้วยความสงสัย อยากเปิดปากถามแต่ก็เงียบ
“ในเมื่อเสด็จพ่อเรียกเจ้าเข้ามา เจ้าก็นั่งก่อนเถิด” เขาคลายมือ แล้วสั่งให้คนนำชามาถวาย
สายตาของซูหลีหันมองไปยังเตียงมังกรอีกครั้ง คิ้วงามขมวดเล็กน้อย มือข้างหนึ่งของฮ่องเต้โผล่พ้นออกมานอกผ้าห่ม แต่รอบกายกลับไม่มีคนคอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ!
ตงฟางจั๋วมองเกากงกงแวบหนึ่ง เขารีบเรียกนางกำนัลเข้ามาจัดแจงห่มผ้าให้ฮ่องเต้อย่างดี แล้วปลดผ้าคลุมเตียงลง
การมองเห็นถูกกีดกัน ลางร้ายในใจซูหลี พลันรุนแรงขึ้นในพริบตา
ชาร้อนถ้วยหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้านาง ซูหลีรับมาวางบนโต๊ะ ไม่ดื่ม ความคิดนับพันนับร้อยแล่นผ่านในสมอง ทว่าภายนอกกลับปั้นหน้าสงบนิ่ง นางเงยหน้า สายตาจดจ้องไปยังใบหน้าตงฟางจั๋ว
เขาเองก็กำลังจ้องหน้านางตาไม่กะพริบเช่นกัน ท่าทางจดจ่อเช่นนั้น ดูต่างจากยามปกติเล็กน้อย
“ชานี้เป็นเครื่องบรรณาการที่ได้มาจากหวั่นตี้เมื่อไม่กี่วันก่อน ชื่อว่าดอกสายน้ำผึ้ง ใต้ฟ้ามีเพียงสิบต้น หายากยิ่ง เหตุใดเจ้าจึงไม่ดื่มเล่า?”
ซูหลีเพียงมองหน้าเขา ไม่พูดอะไร
ตงฟางจั๋วพลันหัวเราะหยันตนเอง “เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้าคงสิ้นหวังในตัวข้าแล้วกระมัง?”
“หากท่านอ๋องดึงบังเหียนม้าบนผาสูง กลับตัวเมื่อยังไม่สาย หม่อมฉันอาจจะเชื่อท่านอ๋องอีกสักครั้ง” ซูหลีกล่าวอย่างเย็นชา
‘ฮ่าๆๆ!’ เขาพลันหัวเราะเสียงดัง ในสายตากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีเพียงความสิ้นหวังอันเย็นชาและความเกลียดชังเคียดแค้น “ดึงบังเหียนม้าบนผาสูง?! กล่าวได้ดี ทว่าคนที่ควรกลับตัวไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้า!”
ซูหลีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ตงฟางจั๋ว ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เขาเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาสีดำสะท้อนแววชั่วร้ายอย่างชัดเจน “เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าคนร้ายตัวจริงที่ทำร้ายข้ากับหลีซู เป็นใคร?”
ซูหลีสายตาสั่นระริก “คนร้ายตัวจริง? ผู้ใดกัน?”
ตงฟางจั๋วไม่ตอบ เขาล้วงบางสิ่งออกจากอกเสื้อ แล้วโยนลงบนโต๊ะ กล่องสีเงินอันประณีตดูล้ำค่าหายาก ลวดลายดอกไม้บนกล่องบ่งบอกว่ามันเป็นวัตถุล้ำค่าไม่มีสิ่งใดเทียม
แววตาของซูหลีพลันแปรเปลี่ยน นั่นมันกล่องเงินที่ใส่ศิลาเลือดนกเพลิง!
นิ้วมือเย็นเฉียบของตงฟางจั๋วกดปุ่มบนกล่อง ฝ่ากล่องเปิดออกอย่างไร้ซุ่มเสียง ประกายแสงสีแดงพลันส่องสว่างไปทั่วห้อง
“ศิลาเลือดนกเพลิง?” ซูหลีขมวดคิ้ว
“ถูกต้องแล้ว ของสิ่งนี้เป็นของขวัญที่ตงฟางเจ๋อมอบให้ข้ากับหลีซูในวันแต่งงาน” เสียงแหบพร่าและทุ้มต่ำของตงฟางจั๋วแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด “เพราะมัน ข้าถึงได้กระทำความผิดที่ต้องเสียใจไปทั้งชีวิตลงไป!”
หัวใจของซูหลีพลันเต้นเร็วอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับเห็นภาพศิลาเลือดที่ส่องประกายเจิดจ้าแยงตาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อีกครั้ง นางหลับตาอย่างไม่รู้ตัว เรื่องอัปยศในอดีตถาโถมเข้ามาอีกครั้ง นางยื่นมือออกไปปิดฝากล่องดัง ‘ปัง’ อย่างไม่อาจควบคุมตนเอง ประกายแสงสีแดงพลันดับหายไป
“หลีซู…” ตงฟางจั๋วขานเรียกเสียงต่ำ นิ้วมือเรียวยาวกุมมือนาง สายตาทอดมองใบหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยของนาง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเคยขอบคุณฟ้าที่ทำให้ข้าได้พบเจ้า ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่พระราชทานพิธีแต่งงานให้ข้ากับเจ้า เพียงเพื่อต้องการเจ้ามาเป็นพระชายาของข้า พระชายาเพียงหนึ่งเดียว ข้าเฝ้ารอคอยทุกคืนวัน รอคอยให้วันแต่งงานของเรามาถึงโดยเร็ว นึกไม่ถึงว่าคนที่มีเจตนาร้ายกลับลอบวางแผนชั่วมาเนิ่นนาน ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ข้าได้มีโอกาสฟื้นตัว!”
……………………………………………….