กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 267 ความลับของศิลาเลือด (2)
ซูหลีสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ความเจ็บปวดแสนสาหัสตรงหน้าอกกลับทำให้พูดไม่ออก
“ข้าเย่อหยิ่งอวดดีมาตลอดชีวิต ไม่เคยก้มหัวให้ผู้ใดมาก่อน เขารู้ข้อนี้ดี ถึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อเสาะหาศิลาชั่วนี้มา แล้ววางกับดักไว้อย่างแยบยล วางแผนใส่ร้าย ซื้อตัวนักฆ่าสังหารคน” สายตาของตงฟางจั๋วโหดเหี้ยมขึ้นหนึ่งส่วน
“อะไรนะ?” ซูหลีร้องตกใจเสียงเบา “จะเป็นไปได้อย่างไร? คดีของหลีซูกระจ่างไปนานแล้ว ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังก็คืออวี้หลิงหลง”
“เหอะ!” ตงฟางจั๋วกัดฟันแค่นเสียงเย็นชา “อวี้หลิงหลงเป็นเพียงแพะรับบาป นางไม่ใช่คนร้ายตัวจริงอย่างแน่นอน!”
ซูหลีเบิกตากว้างจ้องเขาอย่างตกใจ กล่าวเสียงเย็นชา “นางยอมรับเองกับปาก จะเป็นเรื่องลวงไปได้อย่างไร?! ตงฟางจั๋ว ท่านทำอย่างนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าว่าท่านควรเป็นห่วงอาการประชวรของฝ่าบาทให้มากดีกว่า!”
สายตาของตงฟางจั๋วขรึมลง เขาจ้องหน้านางด้วยสายตาว้าวุ่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางเชื่อคำพูดข้าง่ายๆ…”
“ข้ารับรองได้ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง” เสียงทุ้มลึกและคุ้นหูเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ในห้องอันเงียบงัน เสียงนั้นฟังดูชัดเจนกว่าปกติ ซูหลีตกใจ รีบลุกขึ้นยืน ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนยืนอยู่หน้าประตูดังคาด สายตาหนักแน่นของเขาเมื่อมองเห็นซูหลี ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขาสาวเท้าเข้ามาช้าๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านหญิงหมิงซี ไม่เจอกันนานทีเดียว”
ซูหลีกลับอึ้งงันไปแล้ว ไม่เจอกันนานมากแล้วจริงๆ ผมขาวตรงขมับทั้งสองข้างของหลีเพิ่งเซียนเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ร่องรอยความชราตรงหางตาก็ลึกขึ้นเช่นกัน สีหน้าของเขาในยามนี้ไม่เหมือนในอดีต ครั้นครอบครัวประสบเหตุพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า กอปรกับเส้นทางอาชีพตกต่ำ เซ่อเจิ้งอ๋องในยามนี้ไม่ใช่เสด็จพ่อผู้กล้าหาญฮึกเหิมในความทรงจำของนางอีกต่อไปแล้ว ซูหลีพลันรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ลำคอ พูดอะไรไม่ออก
“เซ่อเจิ้งอ๋องเชิญนั่ง” ตงฟางจั๋วสั่งให้คนนำชามาถวาย
หลีเฟิ่งเซียงค้อมศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงขรึม “ฝ่าบาทประชวรหนัก จิ้งอันอ๋องกรีดเลือดเพื่อทำเป็นกระสายยาอย่างไม่ลังเล เหล่าขุนนางต่างสะท้านใจ พฤติกรรมอันกตัญญูเช่นนี้ของท่านอ๋อง ทำให้ฟ้าดินซาบซึ้ง ยามนี้เชิญข้ามา มีเรื่องใดหรือ?”
ตงฟางจั๋วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “อาการประชวรของเสด็จพ่อคุ้มดีคุ้มร้าย ข้าเองเพียงทำในสิ่งที่ตนเองทำได้อย่างดีที่สุด ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของสวรรค์แล้ว วันนี้เชิญเซ่อเจิ้งอ๋องมา เพราะข้ารู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องกำลังสืบเรื่องที่พระชายารองอวี้ซื้อตัวนักฆ่าสังหารหลีซูอย่างลับๆ อยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเองก็แคลงใจใน ‘คดีของหลีซู’ เช่นกัน?”
หลีเฟิ่งเซียนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ถูกต้องแล้ว! ข้าไม่เชื่อจริงๆ ว่าอวี้หลิงหลงจะทำเรื่องชั่วร้ายปานนั้นได้ลง!”
“แต่อวี้หลิงหลงยอมรับเองกับปากแล้ว!” ซูหลีอดร้องขึ้นไม่ได้
หลีเฟิ่งเซียนจ้องนางอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวเสียงขรึม “หลังจากที่เกิดเรื่องกับซูซู ข้าไม่เคยหยุดสืบหาความจริงสักวัน ซูซูคือแก้วตาดวงใจของข้ากับซีจิน ข้าเฝ้าดูนางเติบโต นางเป็นเด็กเช่นไร ข้ามีหรือจะไม่รู้!”
ซูหลีพลันกลั้นหายใจ มองดูหมัดที่กำแน่นของเสด็จพ่อบนโต๊ะ สายตาเจ็บปวดรวดร้าวอย่างเห็นได้ชัด หัวใจของนาง ก็พลอยเจ็บปวดไปด้วยอย่างไม่อาจควบคุม
“มีคนบอกข้าว่านางตั้งครรภ์ก่อนแต่ง จึงปลิดชีพตนเอง ข้าไม่เคยเชื่อ! ข้าพาคนไปงมหาที่แม่น้ำด้วยตนเองสามวันสามคืน ในที่สุดก็พบศพนาง ยามนั้นบนร่างนางมีบาดแผลจากกระบี่อย่างชัดเจน ดูก็รู้ว่าถูกคนสังหาร! เพราะความเดือดดาลเคียดแค้น ข้ารีบเข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาท หมายจะขอความเป็นธรรมให้นาง แต่ว่า…เรื่องนี้ถูกฮองเฮาทราบเข้า ฮองเฮาเกลี้ยกล่อมข้าว่าควรไตร่ตรองให้ดีก่อน”
ที่แท้ก็เป็นความคิดของฮองเฮา! ซูหลีตกใจจนเบิกตากว้าง
“ซูซูดีกับผู้อื่นเสมอมา ไม่เคยมีศัตรู ฉะนั้นคนที่ทำร้ายนางจะต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน แผนชั่วที่คิดขึ้นนั้นเลวทรามต่ำช้า คนผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของหลีเฟิ่งเซียนเริ่มคมปลาบเสียดแทง
“ฉะนั้นท่านอ๋องจึงแสดงออกต่อนางอย่างเย็นชา ฝังศพนางในที่ห่างไกลกันดาร เพื่อหลอกให้คนร้ายตัวจริงตายใจ คิดว่าตนเองทำสำเร็จ แล้วค่อยลอบสืบหาความจริงอย่างลับๆ?” ซูหลีคล้ายไม่ค่อยอยากเชื่อ ว่าเสด็จพ่อของนางจะอดทนกล้ำกลืนได้ถึงเพียงนี้
“ถูกต้องแล้ว! ข้าคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ แต่จนใจที่คนชั่ววางแผนรอบคอบ ข้าทุ่มเทสืบหาหลายเดือน กลับไร้ผล หากมิใช่ท่านหญิงหมิงซีช่วยรื้อคดีขึ้นมา แล้วคืนความเป็นธรรมให้แก่ซูซู ข้าเกรงว่าภายหน้าตนเองคงจะไม่มีหน้าไปพบซีจินกับซูซูที่อยู่ในปรโลกแล้ว!…เพียงแต่ วันนั้นบนตำหนักใหญ่ จู่ๆ หลิงหลงก็ถูกชี้ตัวว่าเป็นผู้บงการที่ทำร้ายซูซู นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ข้านึกไม่ถึง ยามนั้นนางยอมรับกับปากตนเอง รายละเอียดหลักฐานบ่งชี้ชัดเจน ภายใต้ความตกตะลึง ข้าจึงไม่ทันคิดให้ดีก็เชื่อเสียแล้ว ข้าทั้งโกรธและเกลียดนาง แต่ครั้นเรื่องผ่านไป วันหนึ่งหลีเหยาเก็บกวาดข้าวของของมารดานาง ข้าจึงเพิ่งฉุกคิดได้ ว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่ฝีมือนาง”
หัวใจซูหลีพลันเย็นเยียบ เอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านอ๋องจึงมั่นใจเช่นนั้น?”
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวเสียงเย็นชา “เฉินเหมินเรียกค่าตัวในการสังหารคนสูงมาก ชีวิตคนหนึ่งชีวิต ปกติต้องจ่ายทองสิบชั่งขึ้นไป สังหารบุตรีของข้าเซ่อเจิ้งอ๋อง พระชายาในจิ้งอันอ๋อง เป็นเรื่องสะเทือนโลกถึงเพียงใด?! อย่างน้อยก็ต้องจ่ายด้วยทองไม่ต่ำกว่าร้อยชั่ง ครอบครัวฝ่ายมารดาของหลิงหลงด่วนจากไป ไร้ทรัพย์สินไร้อำนาจ อยู่ในจวนข้านางก็ได้เบี้ยไม่เกินห้าตำลึงต่อเดือน! ของมีค่าที่ข้าเคยมอบให้นาง รวมกันก็ยังไม่ได้ราคาทองหนึ่งร้อยชั่ง! ในข้าวของที่เหลือของนาง ไม่มีสิ่งของมีค่าใดขาดหายไปสักชิ้น และก็ไม่เคยมีบันทึกจำนำหรือหยิบยืมใดๆ นางไม่มีทางมีเงินมากพอที่จะซื้อนักฆ่าด้วยตนเองแน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้นนางกับฮองเฮามีสายสัมพันธ์อันดี จะวางแผนทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนเซ่อเจิ้งอ๋องกับจวนจิ้งอันอ๋อง ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฮองเฮาเพื่อสิ่งใด?”
สายตาของซูหลีเคร่งเครียด เรื่องนี้นางก็เคยคิดเช่นกัน แต่ตอนนั้นนางคิดว่าเป็นเพราะความอิจฉาริษยาครอบงำจิตใจอวี้หลิงหลง และเพื่อหลีเหยาจึงได้ทำชั่วอย่างไม่เกรงกลัว ยามนี้มาคิดดู เรื่องนี้ก็ยากที่จะหาคำอธิบายได้จริงๆ จิตใจซูหลีพลันสับสนวุ่นวาย
“เช่นนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องคิดว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้บงการเบื้องหลังตัวจริง?!” นัยน์ตาของตงฟางจั๋วเปล่งประกายคมปลาบ
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “คิดดูแล้ว ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์มากที่สุด ก็มีแต่เขาคนเดียว หลังเกิดเรื่อง เขาเคยมาเซ่นไหว้ศพที่จวนของข้า แท้จริงแล้วก็เพราะต้องการยืนยัน คนผู้นี้ฉลาดลึกล้ำ กระทำเรื่องใดล้วนรอบคอบเสมอ ข้า…จับทางเขาไม่ถูกจริงๆ…ข้าละอายใจต่อซูซูและหลิงหลงยิ่งนัก…”
ซูหลีย่อมรู้ ว่า ‘เขา’ ที่หลีเฟิ่งเซียนกล่าวถึงหมายถึงผู้ใด! หัวใจของซูหลีเหมือนถูกบางสิ่งบีบรัดจนหายใจไม่ออก
ใบหน้าเรียบเฉยของตงฟางจั๋วกระตุกทันที สายตาหันขวับไปทางกล่องสีเงินบนโต๊ะ
“จิ้งอันอ๋อง ท่านเรียกข้ามา บอกว่ามีเบาะแสใหม่ในคดีนี้ เป็นเรื่องจริงหรือ?” หลีเฟิ่งเซียนมองเขาด้วยสายตาเปล่งประกาย แฝงไว้ด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม
“ถูกต้องแล้ว แผนชั่วทั้งหมดล้วนเกิดจากของสิ่งนี้” นิ้วมือของเขากดลงบนปุ่ม กล่องสีเงินเปิดออก ประกายสีแดงสาดส่อง เจิดจ้าแยงตา
หลีเฟิ่งเซียนเพิ่งสังเกตเห็นของสิ่งนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยน สายตาคมปลาบสุดแสน ถามว่า “ศิลาเลือดนกเพลิง?! หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับซูซู ของสิ่งนี้ฮองเฮาเป็นผู้เก็บรักษา พระนางทรงเคยตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด!”
ตงฟางจั๋วกล่าวด้วยสายตาดุดัน “เขาแผนการสูง หาวัตถุลึกลับเช่นนี้มาได้ จะปล่อยให้คนสืบเจอเบาะแสง่ายๆ ได้อย่างไร!”
“เบาะแสอันใด?” หลีเฟิ่งเซียนกับซูหลีถามขึ้นอย่างตกตะลึงพร้อมกัน
ตงฟางจั๋วไม่ได้ตอบทันที เพียงมองซูหลี สายตาเจ็บปวดสับสนอย่างบอกไม่ถูก เขากัดฟันกล่าวเสียงแช่มช้า “ตำนานกล่าวไว้ว่าศิลาเลือดนกเพลิงนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ยังเลื่องลือกันอีกว่ามันสามารถเลือกนายได้ด้วย ไม่ว่าผู้ใดเมื่อได้มันมา ต่างก็อยากพิสูจน์ว่าตำนานเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ข้าเอง…ก็เป็นหนึ่งในนั้น”
……………………………………….