กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 269 ถามท่านประโยคหนึ่ง (2)
ซูหลีไม่ตอบคำถาม ยามนี้ร่างกายนางอ่อนแรง ความรู้สึกเหมือนตอนฟื้นขึ้นมาในจวนจิ้งอันอ๋องไม่มีผิด นางไม่ต้องถามก็รู้คำตอบแล้ว
ตลอดมา นางนึกว่าต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากยา ที่แท้กลับเป็นเพราะศิลาเลือดนกเพลิง!
หัวใจ ราวกับถูกควักออกจากทรวงอก นางเหมือนจมดิ่งสู่ความสับสนและสิ้นหวังที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง ความอยุติธรรมจากการถูกใส่ความในครั้งนี้ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อสืบหาความจริงนานถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?!
“เสียแรงที่เจ้าทุ่มเทเรี่ยวแรงช่วยเขาพลิกคดี หลงนึกว่าตนเองลงเรือลำเดียวกับเขา จึงต้องฝ่าฟันวิกฤติไปด้วยกัน แต่แท้จริงแล้ว…เขาต่างหากที่เป็นคนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ‘การใส่ความหลีซู’!” เสียงโหดร้ายของตงฟางจั๋วดังอยู่ข้างหู ทุกคำพูดเหมือนตะปูที่ตอกลงบนหัวใจนาง
ซูหลีพูดอะไรไม่ออก สายตาพลันพร่าเลือน ในสมองมีแต่ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของตงฟางเจ๋อ คนที่มั่นใจเช่นเขา ทะนงตนเช่นเขา ลึกล้ำเช่นเขา ใต้ฟ้านี้ไม่มีใครที่สามารถเทียบเคียงเขาได้อีกแล้วจริงๆ แต่เพราะเหตุใดกัน? เพราะเหตุใดยามนางรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะลิ้มลองความขมและความหวานของความรักอีกครั้ง กลับค้นพบว่า ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงฉากหนึ่งของแผนการอันแยบยล?
คนที่นางจริงใจด้วย กลับเป็นคนที่ทำร้ายนางอย่างเจ็บปวดที่สุดเสมอ!
ซูหลีขอบตาร้อนผ่าว หลับตาลงอย่างไม่อาจควบคุม
“เชื่อข้า เจ้าแต่งงานกับเขาไม่ได้!” เสียงของตงฟางจั๋วร้อนรนขึ้นหนึ่งส่วน มือที่กุมมือนางกระชับแน่นขึ้น “เจ้าแต่งงานกับเขาไม่ได้ หลีซู เจ้าจะทำผิดซ้ำสองไม่ได้!”
ซูหลีพลันลืมตา ถลึงตาจ้องเขา เขาเรียกนางว่า ‘หลีซู’ จนถึงป่านนี้ เขายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ?
“ท่าน…เรียกนางว่าอะไรนะ?” หลีเฟิ่งเซียนเองก็คล้ายตกใจ เดินเข้ามาถามเสียงร้อนใจ
สายตาของตงฟางจั๋วจดจ้องใบหน้าของซูหลีไม่กะพริบ “เจ้าคือหลีซู อย่าปฏิเสธ ข้าเคยทำผิดใหญ่หลวงต่อเจ้า ทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัย แต่ข้าขอร้องเจ้า อย่าปฏิเสธอีกเลย ให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าจะรักเจ้าอย่างดี จะปกป้องเจ้า ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าถูกทำร้ายอีก ข้า…เชื่อข้าเถิด…” เขาสูดหายใจลึกๆ ราวกับร้อนรนและกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าควรร้องขอการให้อภัยและการยอมรับจากนางเช่นไรดี
ใบหน้าสับสนว้าวุ่นของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ใบหน้าของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า กับใบหน้าของบุรุษที่เขียนหนังสือหย่าในวันแต่งงานอย่างไร้ความปรานี พลันซ้อนทับกัน นางลุกขึ้นนั่ง “จิ้งอันอ๋อง ท่านจำผิดแล้ว หม่อมฉันคือหมิงซี ไม่ใช่หลีซู”
ตงฟางจั๋วราวกับถูกคนเอาน้ำเย็นสาดหน้า ความกระตือรือร้นของเขาถูกนางแช่แข็งในพริบตา ปากของเขาสั่นเทาเล็กน้อย สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก
หลีเฟิ่งเซียนมองซูหลีอย่างอึ้งงัน ทั้งตกใจ และสงสัย กลับไม่อาจเปิดปากพูดอะไรออกมาได้
ซูหลีพยายามสงบสติอารมณ์ ชักมือกลับอย่างแรง แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “จิ้งอันอ๋อง หากท่านพูดจบแล้ว หมิงซีขอทูลลา”
“เดี๋ยวก่อน!” ใบหน้าเขากลับมาเย็นชา “เจ้ารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังจะทำเป็นไม่รู้อะไรอีกงั้นหรือ?”
ซูหลีอึ้งงัน สมองพลันกระจ่างขึ้นหลายส่วน นางข่มกลั้นความเจ็บปวดในหัวใจ เงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา เปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เช่นนั้นท่านอ๋องต้องการให้หม่อมฉันทำอย่างไร? อาศัยศิลาก้อนนี้เอาผิดตงฟางเจ๋อ? ท่านคิดว่าเขาจะยอมรับผิดง่ายๆ?”
ตงฟางจั๋วสายตาไหวระริก เพียงโบกมือ เกาจื๋อก็รีบถือกล่องผ้าต่วนสีทองอร่ามเดินเข้ามา แล้วน้อมส่งมาเบื้องหน้าอย่างนบนอบ
ทุกคนตกตะลึง ตงฟางจั๋วส่งสัญญาณให้เขายื่นให้ซูหลี ซูหลีถามอย่างสงสัย “นี่คืออะไร?”
เกาจื๋อตอบเสียงเบา “เรียนท่านหญิง นี่คือพระบรมราชโองการที่ฝ่าบาททรงเขียนกับพระหัตถ์ตนเอง ฝ่าบาทตรัสว่า หากวันใดพระองค์นอนไร้สติ ให้นำพระบรมราชโองการนี้ไปประกาศต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งหลาย”
พระบรมราชโองการ? เกาจื๋อก้มหน้า สีหน้าปกติ ทว่าสายตากลับไหวระริกเล็กน้อย
ซูหลีขมวดคิ้ว แววแปลกใจพาดผ่านดวงตา “ในเมื่อเป็นพระบรมราชโองการของฝ่าบาท กงกงนำไปประกาศด้วยตนเองย่อมได้”
เกาจื๋อรีบกล่าว “ฝ่าบาทมีรับสั่ง พระบรมราชโองการฉบับนี้ต้องให้ท่านหญิงหมิงซีประกาศด้วยตนเองเท่านั้น”
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย ให้นางประกาศพระบรมราชโองการ หมายความว่าอย่างไรกัน? นางรับกล่องผ้าต่วนไปด้วยความสงสัย หันมองตงฟางจั๋วโดยสัญชาตญาณ ฮ่องเต้นอนไม่ได้สติ สีหน้าซีดจนเขียว เกรงว่าจะไม่ใช่เพียงอาการป่วยทั่วไป…ตงฟางจั๋วไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ฮ่องเต้มีประสงค์จะแต่งตั้งตงฟางเจ๋อเป็นองค์รัชทายาท ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ ภายใต้ความร้อนใจ ตงฟางจั๋วอาจคิดบีบคั้นฮ่องเต้ ยามนี้ฮ่องเต้ไม่รับรู้เรื่องราว กลับจะให้นางประกาศพระบรมราชโองการ กลัวแต่ว่า…เรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว!
ความคิดแล่นผ่าน นางถือกล่องผ้าต่วนเดินไปตรงหน้าเตียงมังกร แล้วค้อมกายกล่าวอย่างเคารพนบนอบ “หมิงซีขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ในขณะที่นางค้อมกาย นางรวบรวมชี่แท้กลางฝ่ามือ แล้วลอบซัดไปทางผ้าคลุมเตียง กระแสลมแรงก่อตัว ผ้าคลุมฝั่งหนึ่งเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าซีดเขียวของฮ่องเต้ มือข้างที่โผล่พ้นผ้าห่มเมื่อครู่ ถูกนางกำนัลดันเข้าไปในผ้าห่มแล้วแท้ๆ ยามนี้กลับตกลงข้างเตียงอีก!
ซูหลีแสร้งร้องด้วยความตกใจ “ฝ่าบาท! ระวังอากาศเย็นด้วยเพคะ!” นางรีบก้าวเข้าไปคว้ามือของฮ่องเต้ แล้วยัดเข้าไปในผ้าห่ม
ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสี เกาจื๋อและนางกำนัลเห็นอย่างนั้นก็รีบล้อมเข้ามา นึกไม่ถึงหวั่นซินกลับเร็วกว่า นางมายืนด้านหลังซูหลีตั้งนานแล้ว บดบังการมองเห็นของทุกคนเอาไว้
ซูหลีรีบชะโงกเข้าไปใกล้ใบหน้าฮ่องเต้ ถึงแม้ลมหายใจอ่อน แต่ก็ยังถือว่ามั่นคง กลิ่นประหลาดที่อ่อนจนเกือบไม่ได้กลิ่นลอยอยู่กลางอากาศ ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ ตงฟางจั๋วและหลีเฟิ่งเซียนที่ยืนอยู่ข้างหลังล้อมเข้ามาแล้ว นางรีบลุกขึ้นกล่าวว่า “หมิงซีรับพระบัญชาเพคะ”
ประโยคนี้ทำเอาหลายคนที่อยู่ข้างหลังหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
“ท่านหญิง ใกล้ถึงเวลาแล้ว รีบไปประกาศพระบรมราชโองการเถิด” เกาจื๋ออดกล่าวขึ้นไม่ได้
ซูหลีปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ถือกล่องผ้าต่วนในมือ แล้วค่อยๆ หมุนกาย สายตาเย็นชาของนางกวาดมองใบหน้าทุกคน ครั้นมองหน้าหลีเฟิ่งเซียน สีหน้าก็ตึงเครียดขึ้นอีกหนึ่งส่วน
“ประกาศพระบรมราชโองการที่ตำหนักใหญ่”
น้ำเสียงเย็นชาของนาง ข่มกลั้นความเจ็บปวดบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ บางทีเรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจถึงเวลาต้องสิ้นสุดลงเสียทีแล้ว
ประตูตำหนักอันหนักหน่วงค่อยๆ เปิดออก ซูหลีก้าวเข้าไป สายลมเย็นที่พัดปะทะใบหน้า เหมือนดั่งมีดคมที่เฉือนผิวกายจนเจ็บลึกเข้าไปในใจ อาภรณ์หนาๆ ถูกลมพัดปลิวพลิ้วไหวกลางอากาศ คล้ายมีพลังงานไร้รูปขวางทางอยู่ ทำให้นางก้าวเท้าได้อย่างยากลำบาก แต่นางกลับไม่เคยหยุดเดิน ยังคงมุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่ต่อไป
ตงฟางจั๋วเดินอยู่ข้างกายนาง ฝีเท้ามั่นคง แขนเสื้อโบกสะบัด ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชา หลีเฟิ่งเซียนเดินตามหลังพวกเขา สายตาจดจ้องแผ่นหลังของพวกเขาทั้งสอง สีหน้าหม่นหมอง
ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ล้วนรวมตัวกันอยู่ในตำหนักใหญ่ ได้ยินว่าจะมีพระบรมราชโองการมาถึงในไม่ช้า ทุกคนต่างกระซิบกระซาบ คาดเดากันไปต่างๆ นานา
ตงฟางเจ๋อยืนไพล่มือไว้ด้านหลังอยู่นอกกลุ่มคน สายตาทอดมองไปยังทิศห้องบรรทมของฮ่องเต้ สีหน้าดูเหมือนปกติ สายตากลับเปลี่ยนผันไปมา ลึกล้ำยากจะคาดเดา
“พระบรมราชโองการมาแล้ว” เสียงขานร้องเล็กแหลม ดังมาจากนอกประตู
ทุกคนรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แยกตัวยืนสองแถว เกาจื๋อยืนอยู่ด้านหน้าประตู ค้อมกายเชิญพวกซูหลีเข้ามาในตำหนัก
ซูหลีสองมือประคองกล่องผ้าต่วน ย่างเท้าเหยียบบนบันไดหิน ใบหน้าของเหล่าขุนนางที่อยู่ในตำหนักค่อยๆ ปรากฏสู่ครรลองสายตา นางทำราวกับมองไม่เห็น มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้นั้นที่นางเคยคุ้นเคยเป็นอย่างดีที่สุด ทว่ายามนี้กลับแปลกหน้าสุดแสนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ปรากฏเด่นชัดในสายตานาง
………………………………….