กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 272 ใครเจ็บปวดกว่าใคร? (1)
ซูหลีตึงเครียด ถึงแม้จะเดาได้แต่แรกแล้ว แต่นางก็ยังคงไม่สบายใจ นางมองตรงไปยังผู้ถาม แล้วตอบเสียงเรียบ “ใช่แล้ว”
เหลียงสือชูเบิกตากว้าง ร้องเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้! ไม่นานมานี้ฝ่าบาทยังมีรับสั่งให้เตรียมการแต่งตั้งเจิ้นหนิงอ๋องเป็นองค์รัชทายาทหลังผ่านพ้นปีใหม่อยู่เลย ยามนี้ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทำไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนพระทัยให้จิ้งอันอ๋องขึ้นครองราชย์แทนเล่า?!”
“ใช่แล้ว ขุนนางในราชสำนักล้วนรับรู้ จู่ๆ เปลี่ยนพระทัยเช่นนี้ เป็นเพราะเหตุใดกัน?” ขุนนางกรมพิธีการก้าวออกจากแถว แล้วกล่าวเสริม
ขุนนางคนอื่นๆ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ตามกัน “ใช่แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ซูหลีเหลือบมองตงฟางจั๋วแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “หมิงซีเพียงรับหน้าที่ประกาศพระบรมราชโองการ เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงเปลี่ยนพระทัย หมิงซีเองก็ไม่ทราบ”
“ท่านโกหก!” เหลียงสือชูตะโกนเสียงดัง “ห้องบรรทมของฝ่าบาท มีเพียงพวกท่านไม่กี่คนที่เข้าไป! เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านก็อยู่ ฝ่าบาทเคยตรัสด้วยตนเองหรือไม่ว่านี่เป็นรับสั่งของพระองค์?”
หลีเฟิ่งเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมองตงฟางจั๋ว แล้วมองซูหลี คล้ายกำลังครุ่นคิด แต่ไม่ได้ตอบคำถาม
“นี่ต้องเป็นแผนของพวกท่านแน่ๆ พวกท่านประกาศพระบรมราชโองการปลอม!” เหลียงสือชูพลันยกมือชี้หน้าซูหลีและตงฟางจั๋วตรงๆ ไอพิฆาตของนักรบแผ่กำจายรอบตัวทันที ครั้นวาจานี้หลุดจากปาก ทุกคนต่างตื่นตะลึง เสียงสูดหายใจดังต่อเนื่อง บรรยากาศในตำหนักพลันตึงเครียด ดั่งเชือกที่ถูกขึงจนตึง ขาดผึงได้ทุกเมื่อ
ตงฟางจั๋วใบหน้าบึ้งตึง ซ่งอู๋ยงพลันก้าวเท้าออกจากแถว “ใต้เท้าเหลียงกล่าวเกินไปแล้ว อย่างไรจิ้งอันอ๋องก็เป็นโอรสฮองเฮา สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเรื่องสมเหตุสมผล…”
“โอรสฮองเฮา?” เหลียงสือชูแค่นหัวเราะ เขาร่างกายสูงใหญ่กำยำ เชิดหน้า แล้วมองซ่งอู๋ยงด้วยหางตา ก่อนจะกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ใต้เท้าซ่งช่างความจำสั้นแท้ กู้หยวนถงถูกถอดยศแล้ว เขาจะเป็นโอรสฮองเฮาได้เช่นไร?!”
ทุกคนพยักหน้า ถูกต้องแล้ว ฮองเฮาถูกถอดยศ แต่ในพระบรมราชโองการของฮ่องเต้กลับแทนตงฟางจั๋วว่าเป็นโอรสฮองเฮา น่าสงสัยยิ่งนัก
ตงฟางจั๋วพลันกำหมัดแน่น สายตาที่มองเหลียงสือชูเหมือนกระบี่คมสองเล่ม เต็มไปด้วยไอสังหารที่ไม่อาจปกปิด
ซ่งอู๋ยงกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ “ถึงแม้ฮองเฮาถูกถอดยศ แต่ในพระทัยของฝ่าบาท อย่างไรจิ้งอันอ๋องก็ยังเป็นโอรสองค์โต อ้างอิงตามลำดับอาวุโส ฝ่าบาทยกบัลลังก์ให้จิ้งอันอ๋อง เป็นบัญชาของสวรรค์…”
เหลียงสือชูแค่นเสียงเย็นชา “บัญชาสวรรค์หรือ? พูดได้ดี! ท่านหญิงหมิงซีกล้าให้ข้าอ่านพระบรมราชโองการหรือไม่เล่า?”
ซูหลีย่อมไม่มีสิ่งใดไม่กล้า นางกล่าวเสียงเรียบ “แน่นอน พระบรมราชโองการนี้ไม่เพียงควรให้ใต้เท้าเหลียงดูผู้เดียว ทุกคนสมควรดูให้เห็นกับตาตนตนเองด้วย” เอ่ยจบก็ยื่นพระบรมราชโองการให้เกากงกงที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง
ตงฟางจั๋วเหล่มองเล็กน้อย เกาจื๋อรีบประคองพระบรมราชโองการไว้ในมือ แล้วยื่นให้เหล่าขุนนางใหญ่ดูทีละคน ไม่ว่าจะเป็นลายมือ หรือตราประทับ ล้วนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
เมื่อได้เห็นกับตา เหลียงสือชูเองก็พูดไม่ออก เหล่าขุนนางต่างพากันขมวดคิ้ว วิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาด้วยความฉงนฉงาย
คนเดียวที่ไม่ดูพระบรมราชโองการ ก็คือตงฟางเจ๋อ ยามนี้ในสายตาเขา ราวกับมองเห็นแค่คนผู้เดียว
ซ่งอู๋ยงยกมือลูบเครายาวๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้ใต้เท้าเหลียงวางใจได้แล้วกระมัง! ทุกคนล้วนทราบดี ท่านหญิงหมิงซีกับเจิ้นหนิงอ๋องต่างฝ่ายต่างมีใจให้กัน นางจะช่วยจิ้งอันอ๋องประกาศพระบรมราชโองการปลอมได้เช่นไร? หากไร้หลักฐาน ภายหน้าใต้เท้าเหลียงอย่าได้พูดจาเหลวไหล สร้างเรื่องให้ทุกคนแตกตื่นเช่นนี้อีกจะดีกว่า”
“ท่าน…” เหลียงสือชูถลึงตา แต่ยังพูดไม่ทันจบ
“ยังมี ‘พระบรมราชโองการ’ อีกหนึ่งฉบับไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่ประกาศออกมาพร้อมกันเล่า!” ตงฟางเจ๋อพลันเปิดปาก น้ำเสียงเย็นชา ฟังไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ซูหลีเงยหน้า ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ท่ามกลางขุนนางทั้งหลายที่กำลังแตกตื่นฮือฮา ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าเขาดูสงบนิ่ง ราวกับเรื่องราวทั้งหมดไม่เกี่ยวกับตนเอง ผู้คนรอบข้างต่างอดเลื่อมใสไม่ได้ เจิ้นหนิงอ๋องช่างเยือกเย็นสุขุมไม่ธรรมดา บัลลังก์ที่ใกล้จะได้ครอบครองถูกผู้อื่นแย่งไปต่อหน้าต่อตา แม้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ผลิกผันครั้งใหญ่ กลับยังสามารถสงบนิ่งมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน หน้าไม่เปลี่ยนสี คนแบบนี้หาได้ยากยิ่ง
เหลียงสือชูมองหน้าเขาแล้วรีบกลืนคำพูดลงไปทันที
ตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พลันเงียบงันไร้เสียง จนได้ยินกระทั่งเสียงเข็มตก
ตงฟางเจ๋อพลันก้าวเท้าออกจากแถว เดินตรงมายังซูหลี สายตาตงฟางจั๋วไหวระริก รีบเดินเข้ามาขวางทาง สีหน้าเย็นชา ท่าทางระแวดระวังเต็มที่ ตงฟางเจ๋ออดกล่าวอย่างเสียดสีไม่ได้ “พี่รองไม่จำเป็นต้องแตกตื่นเช่นนี้” เขายกมือผลักอย่างไม่แยแส ตงฟางจั๋วเซไปด้านข้างอย่างไม่อาจควบคุม สีหน้าพลันเปลี่ยน หมายจะก้าวเข้ามาอีก กลับเห็นตงฟางเจ๋อเอื้อมมือหยิบพระบรมราชโองการฉบับที่สองซึ่งอยู่ในกล่องผ้าต่วน แล้วยื่นให้ซูหลี
เขาสบตานางนิ่งๆ กล่าวเสียงขรึม “ข้าอยากรู้นัก ว่าพระบรมราชโองการฉบับที่สองนี้ มีเนื้อความว่าอย่างไร?”
ทั้งที่ใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ แต่นิ้วมือเรียวยาวที่กำม้วนพระบรมราชโองการสีทองกลับซีดขาวเพราะออกแรงมากไป เผยให้เห็นความเจ็บปวดในใจที่พยายามข่มกลั้นไว้
ความรู้สึกเปรี้ยวฝาดถาโถมหัวใจของซูหลี นางพยายามควบคุมตนเอง หมายจะรับม้วนพระบรมราชโองการจากมือเขา เขากลับกำไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ดวงตาคู่คมค่อยๆ ปรากฏแววเจ็บปวดเลือนราง เหมือนดั่งเข็มเล่มเล็กๆ ที่มองไม่เห็นทิ่มแทงหัวใจนาง ความรู้สึกเจ็บแปลบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย นางเบนสายตาหนี ขณะที่คิดจะยอมแพ้ จู่ๆ เขาก็ปล่อยมือ
ซูหลีถอนหายใจ นิ้วมือเรียวบางภายใต้การขับเน้นของสีเหลืองทองอร่าม ซีดขาวยิ่งกว่าใบหน้า นางช้อนตาขึ้นเล็กน้อย สายตาคาดหวังของตงฟางจั๋วปรากฏเด่นชัดอยู่ตรงหน้า คล้ายกำลังพยายามข่มกลั้นบางอย่างอย่างสุดกำลัง นางไม่รู้เลยว่าพระบรมราชโองการฉบับนี้มีเนื้อความว่าเช่นไร ทว่ากลับเดาได้รางๆ ว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
นางค่อยๆ กางพระบรมราชโองการ ก้มหน้าอ่าน “ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้มีพระบัญชา อ๋องหกเจ๋อ ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อให้ท่านหญิงหมิงซีเลือกตนเองเป็นพระสวามี ทำให้เสื่อมเสียเกียรติราชวงศ์ ข้าจึงบัญชา…”
เสียงของนางพลันสะดุด
เนื้อหาด้านหลัง นางไม่ต้องอ่าน ทุกคนล้วนเดาออกแล้ว
เบื้องล่าง เสียงกระซิบกระซาบดังมา นางเงยหน้าสบตากับเขา เหมือนดั่งหลุดเข้าไปในโลกแห่งอารมณ์อันซับซ้อน ยากจะเอ่ยคำพูดและยากจะแยกแยะ
นางสูดหายใจลึกๆ ในที่สุดก็ค่อยๆ อ่านประโยคสุดท้ายออกมา “ให้ยกเลิกงานงานแต่งของทั้งสอง…นับจากนี้ ทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
น้ำเสียงกังวานใสดังไปทั่วทุกซอกมุมของตำหนักใหญ่ ความเจ็บปวดและโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายถาโถมเข้ามา กลบเสียงกระซิบกระซาบทั้งหมดจนมิด รอบข้างเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ทุกครั้งที่นางอ่านหนึ่งคำ ใบหน้าเขาก็จะซีดขึ้นหนึ่งส่วน ครั้นนางอ่านจนจบด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี บุรุษที่ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด ในดวงตาของเขา ไม่เหลือคลื่นความรู้สึกอื่นใดอีก นอกจาก
ปวดใจ
หัวใจที่แข็งแกร่งมิอาจพังทลาย พลันถูกกรีดจนยับเยิน เจ็บจนแทบลืมหายใจ
พระบรมราชโองการฉบับเดียว ขีดเส้นแยกทั้งสองให้อยู่คนละโลก นางดูใจเย็นถึงเพียงนั้น ราวกับนางไม่เคยสนใจเขา ไม่อาลัยอาวรณ์เขาแม้แต่น้อย หรือความรู้สึกทั้งหมดที่ผ่านมา ล้วนเป็นเขาที่คิดไปเอง?
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขาได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากความรัก นึกไม่ถึงว่าจะเจ็บถึงเพียงนี้! ถึงแม้จะถูกนักฆ่าที่ชั่วร้ายที่สุดไล่ต้อนจนจนมุม เขาก็ยังไม่เคยหวาดกลัวและทรมานเช่นนี้มาก่อน
ตงฟางเจ๋อยืนนิ่งไม่ขยับ มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม เขาพยายามมองหาร่องรอยของการถูกบีบบังคับบนใบหน้านาง ทว่ากลับไร้ผล
“เจ้า จะยกเลิกงานแต่งกับข้าจริงหรือ?” เขาเปิดปากเบาๆ น้ำเสียงล่องลอยจนเกือบไม่ได้ยิน
…………………………………………..