กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 273 ใครเจ็บปวดกว่าใคร? (2)
บุรุษตรงหน้ายังคงเป็นตงฟางเจ๋อ ผู้ที่มีความคิดลึกล้ำและสงบนิ่งเช่นเคย ทว่าสายตาและน้ำเสียงของเขา กลับขมขื่นจนหัวใจทุกคนสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบได้ทอดทิ้งเขาแล้ว
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม ดวงตางามแดงเรื่ออย่างไม่รู้ตัว เมื่อครู่ นางอาจยังลังเลและสงสัย แต่ยามนี้ นางมั่นใจในตัวเลือกของตนเองแล้ว
ครั้นเห็นสีหน้านางแปรเปลี่ยนไปมา สับสนยากแยกแยะ สายตาตงฟางจั๋วตึงเครียด หัวใจร้อนรุ่ม กลัวว่านางจะถูกตงฟางเจ๋อทำให้ใจอ่อน แล้วเปลี่ยนใจอีก หมายจะก้าวเท้าเดินเข้ามา ซูหลีกลับละสายตาออกจากใบหน้าตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “เจิ้นหนิงอ๋อง ไม่ใช่ซูหลีที่ต้องการยกเลิกงานแต่ง แต่เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท พระราชโองการ มิอาจขัดขืน”
น้ำเสียงไร้ความปรานี ทำลายความหวังที่เหลือจนยับเยิน แสงสว่างสุดท้ายในดวงตาบุรุษมืดมนลงทันที นัยน์ตาดำขลับที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจ ยามนี้กลับหม่นหมองไปทั้งดวง ความเจ็บปวดที่ซัดสาดเข้ามาดั่งคลื่นกลืนกินเขาจนมิด
ซูหลีถอนหายใจ ล้วงตุ๊กตาไม้ฝีมือประณีตออกมาจากอกเสื้อ กล่าวด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “เจิ้นหนิงอ๋องยังจำสัญญาสองปีระหว่างหม่อมฉันกับพระองค์ได้หรือไม่เพคะ? นึกไม่ถึงว่ากลับต้องยกเลิกกลางคัน เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อสัญญาแต่งงานถูกยกเลิก สิ่งนี้ หม่อมฉันขอคืนให้พระองค์เพคะ ถือว่าทุกอย่างระหว่างเราจบสิ้นลงตรงนี้” เอ่ยจบ ก็ยื่นตุ๊กตาไม้ตัวนั้นให้เขา
ตงฟางเจ๋ออึ้งงัน สายตาจดจ้องตุ๊กตาไม้ตัวนั้นอย่างเหม่อลอย นั่นเป็นของเล่นที่เขาทำเองกับมือเพียงชิ้นเดียวในชีวิตนี้ แล้วเขาก็มอบให้นางเพียงผู้เดียว เครื่องหน้าทั้งห้าที่ราวกับมีชีวิต นัยน์ตาที่คล้ายแฝงรอยยิ้มไว้รางๆ ทุกอย่างคล้ายกำลังหัวเราะเยาะความจริงใจของเขา!
เขาไม่ขยับ และก็ไม่กล้าขยับ ราวกับหากขยับแม้เพียงเล็กน้อย ระหว่างเขากับนางก็จะขาดสะบั้นลงจริงๆ ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีก ไม่! นางไม่มีทางเลือดเย็นอย่างนี้!
“ข้านึกว่าเจ้าชอบมันมาก…” เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดแต่พูดออกมาได้เพียงประโยคเดียว เสียงช่างแผ่วเบา แต่สำหรับนาง กลับเหมือนกระบี่ที่คมที่สุดในโลกกรีดแทงหัวใจนางจนเหวอะหวะ
ซูหลีเห็นเขาไม่รับ ก็อดขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ได้ หางตาเหลือบเห็นตงฟางจั๋วกำลังจะก้าวเดินมาทางนี้ นางไม่ชักช้าอีก รีบยัดตุ๊กตาไม้ใส่มือเขาทันที แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ก็แค่ตุ๊กตาไม้ตัวเดียว ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต นอกจากใช้ประดับตกแต่ง ยังมีดีที่ใดอีก? ท่านอ๋องจะเก็บไว้ก็ดี จะทำลายก็ดี หรือจะทิ้งก็ดี เอาเป็นว่าของสิ่งนี้หม่อมฉันไม่ต้องการแล้ว!”
เอ่ยจบก็ไม่รอให้เขาตอบโต้ นางรีบหมุนกายเดินออกจากตำหนักใหญ่ไปทันที
เงาร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคล้ายนิ่งงันอยู่ที่เดิม ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงครึ่งส่วน
อากาศข้างนอกเหมือนจะหนาวกว่าเมื่อครู่หลายส่วน นางหลับตา ในสมองล้วนเต็มไปด้วยใบหน้าเจ็บปวด และเสียงแหบสั่นของเขา เหตุใดพอเห็นเขาเจ็บปวด นางกลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่าตนเองปวดใจเป็นหมื่นเท่า?
นางเดินมาถึงหน้าต้นไม้ที่มีน้ำแข็งเกาะซึ่งอยู่นอกห้องบรรทมของฮ่องเต้ ก่อนจะหยุดเดินแล้วแหงนหน้ามองฟ้า หลังจากเกิดใหม่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางทำตามหัวใจ เชื่อในความรู้สึกของตนเอง ได้แต่หวังว่านางจะเลือกไม่ผิด
“คุณหนูเจ้าคะ” หวั่นซินขานเรียกนางอย่างเป็นห่วง
ซูหลีไม่ได้พูดอะไร ตงฟางจั๋วที่เดินตามหลังมาเห็นดวงตานางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเศร้าสร้อย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจระคนเคียดแค้น “เขาไม่คู่ควรทำให้เจ้าปวดใจ!”
ซูหลีหันมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาไม่คู่ควร แล้วท่านคู่ควรหรือ?”
สายตาตงฟางจั๋วพลันเจ็บปวด อ้าปากค้างเล็กน้อย ลมเย็นพัดเข้าไปในลำคอ แทรกลึกเข้าไปในร่างกาย ได้แต่เงียบไร้ข้อแก้ตัว เขาเดินเข้าไปกุมไหล่นาง แล้วหมุนตัวนางให้หันมาทางตนเองช้าๆ นางกลับไม่ขัดขืน
ตงฟางจั๋วทอดถอนใจเสียงเบา “เมื่อก่อนเป็นข้าที่ทำผิด รอแก้แค้นสำเร็จแล้ว ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลือชดเชยให้เจ้าอย่างดี”
สายตาซูหลีไหวระริก กระดกคิ้วถามเสียงเรียบเฉย “ชดเชยอย่างไรเพคะ?”
ตงฟางจั๋วตอบ “ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา วังหลังของราชวงศ์แคว้นเฉิง และทั้งชีวิตของข้า เป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ขอเพียงเจ้ามีความสุข ต่อไปข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง” นิ้วมือเรียวยาวกุมพวงแก้มเนียนนุ่มของนางเบาๆ สายลมพัดเส้นผมของเขาจนยุ่งเหยิงบดบังดวงตา ทว่ากลับไม่อาจปกปิดความรู้สึกที่ลึกซึ้งดั่งมหาสมุทรของเขาไว้ได้
คำสัญญาอันหนักแน่นของเขา กล่าวออกมาจากใจ เคร่งขรึมและจริงจัง
ซูหลีกลับเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไร หิมะในฤดูหนาวพลันตกลงมาจากฟากฟ้า ค่อยๆ หล่นลงบนลำคอนาง ไอเย็นแผ่ซ่านผ่านผิวหนัง ซึมลึกเข้าไปในชีพจร
นางตัวสั่น ตงฟางจั๋วรีบกล่าว “ข้างนอกอากาศหนาว รีบเข้าข้างในเถิด” เอ่ยจบ ก็โอบนางให้เดินไปทางห้องบรรทมของฮ่องเต้
ซูหลีไม่ปฏิเสธ เพียงมองเขาอย่างเฉยชา ยามนี้คนที่อยู่ด้านนอกห้องบรรทมฮ่องเต้ถูกเปลี่ยนแล้ว เฉาจิ้นเหลียงไม่รู้ไปไหน ทั้งสองเข้าไปข้างใน หวั่นซินกลับถูกรั้งไว้ด้านนอก ซูหลีขมวดคิ้วกล่าว “หวั่นซินเป็นคนที่หม่อมฉันเชื่อใจ หม่อมฉันเข้ามาได้ นางก็เข้ามาได้เช่นกัน”
สีหน้านางหนักแน่น ราวกับต้องการบอกว่าหากไม่ให้หวั่นซินเข้า นางก็จะไม่เข้า ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว พยักหน้าเบาๆ ให้ทหารหน้าห้อง สองคนนั้นจึงค้อมศีรษะเปิดทางให้
ในห้องมีถ่านไฟถูกจุดไว้หลายเตา อบอุ่นยิ่ง ซูหลีนั่งแล้วดื่มชาร้อนถ้วยหนึ่ง จึงค่อยรู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้นหลายส่วน ก่อนจะถามเสียงเบา “ท่านอ๋อง…จะขึ้นครองราชย์เมื่อใดเพคะ?”
ตงฟางจั๋วกล่าว “เกาจื๋อไปเตรียมการแล้ว ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ซูหลีเอ่ยถามเสียงเรียบ “ท่านอ๋องไม่กลัวมีคนคัดค้านหรือเพคะ?”
“ครอบครัวของพวกเขาอยู่ในกำมือข้า ผู้ใดกล้าคัดค้าน ข้าจะทำให้มันบ้านแตกสาแหรกขาด!” เขาหลุบตาจิบชา ดูคล้ายไม่ใส่ใจ น้ำเสียงกลับโหดเหี้ยมผิดปกติ
ซูหลีตกใจเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอก นางจึงไม่เห็นเงาเหล่าภรรยาของขุนนางเลยแม้แต่คนเดียว นางอดถามต่อไม่ได้ “ท่านอ๋องจับพวกนางขังไว้หมดเลยหรือ? ขังไว้ที่ใดเพคะ?”
“ไม่ถึงกับขัง เพียงแต่เชิญพวกนางไปยังตำหนักข้างที่อยู่ด้านหน้า ขอเพียงพวกเขาทำตามพระราชโองการ ไม่มีใจคิดกบฏ ข้าย่อมไม่แตะต้องครอบครัวของพวกเขาแม้แต่ปลายนิ้ว”
“ท่านอ๋อง…” ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “วิธีการเช่นนี้ จะไม่เป็นการ…” นางหยุดพูด แต่ความหมายกลับชัดเจนแล้ว
ตงฟางจั๋วกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย เพียงกล่าวเสียงขรึม “ยามคับขัน ย่อมต้องใช้วิธีการที่เฉียบขาดเพื่อตัดปัญหา ข้ามีทางเลือกไม่มากนัก”
“แต่ว่า ไม่ใช่ขุนนางสำคัญทุกคนจะมีครอบครัว อย่างเช่นแม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋ เขามีทหารสองแสนนายอยู่ในมือ ถ้าเกิดว่า…” ตงฟางจั๋วที่อยู่ข้างหน้าพลันเงยหน้ามองนาง ซูหลีสะดุ้ง รีบหุบปาก ทว่ากลับเห็นดวงตาเย็นชาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายร้อนแรง
เขารีบวางถ้วยชาลง แล้วกุมมือทั้งสองข้างของนางแน่น ถามอย่างร้อนใจ “เจ้า…เป็นห่วงข้าหรือ?” แววดีใจโลดแล่นในดวงตา ดูซาบซึ้งเกินคำบรรยาย
ซูหลีได้ยินใบหน้าพลันเย็นเยียบ สะบัดมือเขาออกอย่างแรง กล่าวอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องทรงคิดมากไปแล้วเพคะ”
นัยน์ตาร้อนรุ่มพลันหม่นหมองลงทันที ตงฟางจั๋วค่อยๆ ดึงมือกลับไป หมายจะก้มหน้าลง แต่กลับเหลือบเห็นสีหน้าอึดอัดของนางแวบหนึ่ง เขาพลันนึกได้ เมื่อก่อนเขาเคยกระทำความผิดร้ายแรงต่อนาง จะให้นางยอมรับเขาอีกครั้ง ย่อมต้องใช้เวลาสักหน่อย
ไม่เป็นไร สำหรับนาง เขามีเวลาให้ทั้งชีวิต เขาสามารถชดเชยความผิดให้นาง และค่อยๆ เปลี่ยนความรู้สึกของนาง ต้องมีสักวัน ที่เขาจะทำให้นางรู้ว่าเขารักนางมากเพียงใด! คิดถึงตรงนี้ เขาก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นาง เขากล่าวอย่างมั่นใจ “เจ้าวางใจ จั้นอู่จี๋ไม่มีทางเป็นภัยกับเราแน่”
หมายความว่าเช่นไร? ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เหตุใดท่านอ๋องจึงมั่นใจถึงเพียงนี้เล่าเพคะ?” หรือจุดยืนที่เป็นกลางของจั้นอู๋จี๋เป็นเพียงภาพลวง แท้จริงแล้วเขาเอนเอียงมาทางตงฟางจั๋วตั้งนานแล้ว?
……………………………………………..