กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 275 ใครจะชนะ (1)
“สกุลหลีของข้าภักดีมาตลอดชีวิต ไม่เคยมีใจคิดคด เจิ้นหนิงอ๋องวางใจเถิด ข้าหลีเฟิ่งเซียนไม่มีทางก่อกบฏแน่นอน!” เขาถอนหายใจเสียงเครียด แล้วกล่าวอย่างตัดสินใจในที่สุด
สายตาตงฟางเจ๋อไหวระริก หมายจะกล่าววาจา กลับได้ยินเสียงประกาศดังมาจากข้างนอก “ฮ่องเต้องค์ใหม่เสด็จ~~~”
ทุกคนที่อยู่นอกตำหนักคุกเข่ากับพื้นทันที พร้อมกับร้องสรรเสริญอย่างพร้อมเพรียง ขุนนางในตำหนักมองหน้ากัน ก่อนที่ซ่งอู๋ยงจะนำทีมคุกเข่า ไม่นานก็มีคนคุกเข่าตามอย่างรวดเร็ว ฝ่ายเหลียงสือชูหันไปมองตงฟางเจ๋อ อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ ซูเซียงหรูขมวดคิ้วแน่น คนหนึ่งมองตงฟางเจ๋อ คนหนึ่งมองไปนอกตำหนัก ต่างคนต่างมีเรื่องกังวลใจไม่พูดจา ส่วนจั้นอู๋จี๋ที่ไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก ยังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนาง ใบหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์
ตงฟางจั๋วสวมอาภรณ์มังกรและมงกุฎฮ่องเต้ ฝีเท้ามั่นคง ชายเสื้อพลิ้วไหวตามลม เดินเข้ามาด้านใน
เงาร่างสีเหลืองทองสูงใหญ่ แผ่รังสีเย็นชาบีบคั้นผู้คน ตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน เหล่าขุนนางที่ยังคงสองจิตสองใจต่างพากันเข่าอ่อนคุกเข่าลงกับพื้นทันที คนที่ยังคงยืนอยู่ลดจำนวนลงเรื่อยๆ
ดวงตาคมปลาบของตงฟางจั๋วเหลือบมองใบหน้าตงฟางเจ๋ออย่างเย็นชา เขาก้าวเท้าเหยียบบันไดสู่บัลลังก์ ก่อนจะหมุนกายหันกลับมาสะบัดแขนเสื้อกลางอากาศ เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นพิธีขึ้นครองราชย์อันรวบรัดและเร่งด่วน
เกาจื๋อเปล่งเสียงตะโกนก้อง “เหล่าขุนนางคำนับฮ่องเต้พระองค์ใหม่!”
เหลียงสือชูขมวดคิ้ว หมายจะกล่าววาจา กลับถูกตงฟางเจ๋อยกมือขึ้นปรามเอาไว้ เขาก้าวเท้าออกไปด้านหน้าช้าๆ ทหารองครักษ์หลายนายชักดาบเข้ามาขวางทันที สีหน้าระแวดระวังเต็มที่ เหลียงสือชูเบิกตาร้องด้วยความตกใจ “จิ้งอันอ๋องทรงคิดจะทำอะไร? ยังไม่ทันขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ก็คิดจะถอนรากถอนโคนสังหารพี่น้องแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?!”
ตงฟางจั๋วแค่นเสียงอย่างดูแคลน “พิธีขึ้นครองราชย์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนหากคิดจะขัดราชโองการด้วยการก่อกวนพิธี ฆ่าไม่เว้น!”
สายตาของเขาเย็นชา กวาดมองใบหน้าของทุกคน ขุนนางหลายคนหน้าพลันเปลี่ยนสี
ตงฟางเจ๋อไม่แยแส เชิดหน้ากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “น่าเกรงขามยิ่งนัก! กลัวก็แต่ว่าความน่าเกรงขามของพี่รองได้มาอย่างไม่ชอบธรรมเท่านั้น!”
แววคมปลาบพาดผ่านดวงตาตงฟางจั๋ว เขากระดกคิ้วหัวเราะเย็นชา “พระบรมราชโองการที่เสด็จพ่อทรงเขียนเองกับมือ ผู้ใดกล้าบอกว่าไม่ชอบธรรม? ตงฟางเจ๋อ เจ้าคิดจะก่อกบฏงั้นหรือ?”
ตงฟางเจ๋อลูบแขนเสื้อ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หากเป็นพระบรมราชโองการที่เสด็จพ่อเขียนขึ้นเองจริงๆ ย่อมต้องเป็นเรื่องชอบธรรมอยู่แล้ว เพียงแต่…พระบรมราชโองการไม่ใช่ของจริง!”
เสียงแตกตื่นฮือฮาพลันดังขึ้น ตงฟางจั๋วตบเก้าอี้มังกรเสียงดัง ก่อนจะยกมือชี้หน้าเขา พร้อมตะโกนเสียงดัง “บังอาจ! เจ้ากล้าสงสัยในพระบรมราชโองการของเสด็จพ่อเช่นนั้นหรือ?!”
“เหอะ” ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา แล้วหันไปมองเกาจื๋อ สายตาดูเหมือนปกติ ทว่ากลับชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญหาย “เกากงกงติดตามรับใช้เสด็จพ่อมานาน เป็นคนที่เสด็จพ่อไว้วางพระทัยมากที่สุด เสด็จพ่อเขียนราชโองการครั้งนี้ กงกงคงเห็นกับตาตนเองกระมัง?”
เกาจื๋อเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบหลบตา แล้วตอบอย่างระมัดระวัง “พ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อกล่าวอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นขอถามเกากงกงสักนิด พระบรมราชโองการฉบับนี้เสด็จพ่อเป็นผู้เขียนขึ้นเองใช่หรือไม่?”
“ยังต้องถามอีกหรือ? ลายมือของเสด็จพ่อ เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนจำได้!” ตงฟางจั๋วสะบัดแขนเสื้อ น้ำเสียงไม่พอใจ
ตงฟางเจ๋อทำราวกับไม่ได้ยิน สายตาคมปลาบยังคงจดจ้องไปที่เกาจื๋อ จากนั้นก็ถามอีกว่า “เช่นนั้นพระบรมราชโองการฉบับนี้เขียนขึ้นวันใดเวลาใด? ยามเขียนยังมีผู้อื่นเป็นพยานรู้เห็นอีกหรือไม่?”
แต่ละประโยคของเขาจี้จุดประเด็นสำคัญ ไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อย ความกดดันมหาศาลพลันก่อตัว ราวกับถูกภูเขาไท่ซานกดทับ ทำให้อดรู้สึกแตกตื่นลนลานไม่ได้ เกาจื๋อก้มหน้าต่ำลงอีกหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว เหงื่อเย็นพลันผุดพรายเต็มหน้าผาก เขาตอบเสียงเบา “ทูลท่านอ๋อง พระบรมราชโองการฉบับนี้…ฝ่าบาททรงเขียนขึ้นเมื่อคืน ไม่มี…พยานรู้เห็นผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อคืน?” ตงฟางเจ๋อพลันหัวเราะเสียงดัง “เมื่อคืนข้าออกจากวังยามไฮ่[1] ยามนั้นเสด็จพ่อเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ายิ่ง จะทรงเขียนอักษรที่มีระเบียบและทรงพลังเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน? ตามกฎของราชวงศ์ หากจะเขียนพระบรมราชโองการ จำต้องมีขุนนางขั้นหนึ่งขึ้นไปหรือท่านอ๋องเป็นพยานอยู่ในเหตุการณ์ด้วย! เห็นได้ชัดว่าพระบรมราชโองการฉบับนี้มีผู้จงใจลอกเลียนลายมือของเสด็จพ่อ! เกาจื๋อ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากระทำผิดอันใด?!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย เสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวและเย็นชา
เหงื่อเย็นเม็ดหนึ่งหยดลงบนบันไดหยกดัง ‘ติ๋ง’ ก่อนจะกระจายเป็นเม็ดเล็กเม็ดน้อย
ซูเซียงหรูรีบกล่าวเสริม “ถูกต้องแล้ว ไม่กี่วันก่อนฝ่าบาทยังตรัสว่าหลังปีใหม่จะแต่งตั้งเจิ้นหนิงอ๋องเป็นองค์รัชทายาททันที แล้วจู่ๆ จะเขียนราชโองการสืบทอดบัลลังก์โดยไม่มีขุนนางอยู่ด้วยสักคนได้เช่นไร? พระบรมราชโองการฉบับนี้ ต้องมีปัญหาแน่นอน!”
ทุกคนพากันโน้มตัวกระซิบกระซาบ สีหน้าของซ่งอู๋ยงเปลี่ยนแปลงไปมา
เกาจื๋อสะดุ้งตกใจ เงยหน้ามองเขา กล่าวอย่างพรั่นพรึง “กระหม่อม…มิทราบพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างล้วนเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท!”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็น หันหน้าไปอีกทาง ตะโกนถามเสียงดัง “เป็นเช่นนั้นหรือ? หลินเทียนเจิ้ง?”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ท่ามกลางกลุ่มคน ขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งรับคำแล้วก้าวออกมา เครื่องหน้าทั้งห้าหมดจด ดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวา เขาก็คือหลินเทียนเจิ้ง ขุนนางจากสำนักหอดูดาวหลวงที่เคยทำนายดวงชะตาอันลึกลับให้ซูหลีในพิธีคัดเลือกพระสวามี ยามนี้เขาได้กลายเป็นหัวหน้าสำนักหอดูดาวหลวงไปแล้ว
ตงฟางเจ๋อยกมือเล็กน้อย หลินเทียนเจิ้งก้าวออกมา เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากแขนเสื้อมาน้อมส่งให้ตงฟางเจ๋ออย่างเคารพนอบน้อม ตงฟางเจ๋อไม่อ่านมันด้วยซ้ำ เพียงสะบัดจดหมายให้กางออก แล้วยื่นไปตรงหน้าเกาจื๋อ
เกาจื๋อกวาดตาอ่านผ่านๆ ใบหน้าพลันซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้าง สองขาอ่อนแรงจนแทบจะคุกเข่าลงไป เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแย่ง ทว่าตงฟางเจ๋อชักมือกลับ โยนจดหมายแผ่นนั้นให้เหลียงสือชู แล้วกล่าวเสียงเรียบเฉย “หลินเทียนเจิ้ง ลองบอกมาว่าเจ้าได้จดหมายนี้มาจากที่ใด”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลินเทียนเจิ้งกล่าวอย่างนอบน้อม “ในยามดึกของไม่กี่วันก่อน กระหม่อมสำรวจดวงดาวอยู่นอกเมือง บังเอิญพบคนส่งสารของเกากงกง คนผู้นี้เย่อหยิ่งถือดี มุทะลุวู่วาม มีพฤติกรรมรังแกชาวบ้าน กระหม่อมจึงจับกุมคนผู้นั้น เดิมหมายจะสั่งสอนสักเล็กน้อย นึกไม่ถึงคนผู้นี้กลับตำหนิกระหม่อมที่ขัดขวางการส่งสารของเขา เขาทำร้ายคนของกระหม่อมจนได้รับบาดเจ็บ กระหม่อมนึกว่าเป็นจดหมายทางราชการ ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นจดหมายส่งถึงทางบ้าน บนจดหมายมีตราประทับส่วนตัวของเกากงกงอยู่ ลายมือก็คล้ายกับลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทยิ่ง กระหม่อมมิกล้าละเลย เพราะกลัวว่าจะมีคนประสงค์ร้าย จึงทูลให้เจิ้นหนิงอ๋องทราบในคืนนั้นทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนส่งต่อจดหมายให้แก่กัน หลังอ่านก็พากันฮือฮา ลายมือเหมือนฮ่องเต้มากจริงๆ! หากลองคิดดู ถ้าขันทีผู้หนึ่งมีเจตนาลอกเลียนลายมือของฮ่องเต้ จุดประสงค์ไม่ต้องเดาก็คงรู้
“เกาจื๋อ เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!” เหลียงสือชูชี้หน้าเขาตวาดเสียงเกรี้ยว
เกาจื๋อเหงื่อไหลท่วมกายดั่งสายฝน ใบหน้าแตกตื่นหวาดกลัว มองไปทางตงฟางจั๋วราวกับร้องขอความช่วยเหลือ ยามนี้ใบหน้าตงฟางจั๋วเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง กล่าวเสียงเข้ม “จดหมายถึงบ้านเพียงแผ่นเดียว เกากงกงรับใช้ข้างกายเสด็จพ่อมานาน เห็นลายพระหัตถ์ของเสด็จพ่อมามาก ย่อมต้องมีลายมือที่คล้ายกันเป็นธรรมดา มีเรื่องใดประหลาดกัน? เรื่องนี้ไม่อาจยืนยันอะไรได้! หากน้องหกคิดจะใช้เรื่องนี้สร้างประเด็น อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน! ทหาร!”
เฉาจิ้นเหลียงรับคำแล้วเข้ามา ด้านหลังเขา ทหารจำนวนมากพุ่งตัวเข้ามาดั่งคลื่นซัดสาด ล้อมทุกคนในตำหนักไว้ตรงกลาง
สถานการณ์ยามนี้เหมือนอสรพิษแลบลิ้น[2] ไอสังหารแผ่ปกคลุมไปทั่วตำหนัก
เหล่าขุนนางตื่นตะลึง ยามนี้หน้าประตูตำหนักมีเงาร่างสองสายโฉบไหว เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวฝ่าด่านเหล่าทหารเข้ามาได้อย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า พวกเขาพาคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในตำหนัก
“ท่านอ๋อง!” ทั้งสองค้อมกายทำความเคารพ ตงฟางเจ๋อพยักหน้าเบาๆ เหล่าขุนนางต่างหันไปมองคนที่พวกเขาประคองเข้ามา
คนผู้นั้นมีบาดแผลเต็มตัว ใบหน้าเปื้อนคราบเลือด หอบหายใจอย่างอ่อนแรง มีเพียงดวงตาคมปลาบที่ยังคงจดจ้องไปยังบุรุษสวมอาภรณ์มังกรสีเหลืองอร่ามบนบัลลังก์
…………………………………………………….
[1] ยามไฮ่ หมายถึง ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม
[2] อสรพิษแลบลิ้น หมายถึง สถานการณ์ตึงเครียด ที่ต้องคอยจับตาดูและสังเกตการเปลี่ยนแปลงโดยรอบ