กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 276 ใครจะชนะ (2)
ซูเซียงหรูตะโกนออกมาอย่างตกใจ “หัวหน้าองครักษ์เซียว?! ท่าน…เหตุใดท่านจึงมีสภาพเช่นนี้?!” ทุกคนต่างประหลาดใจ คนตรงหน้าหายใจรวยริน ไม่เหลือบุคลิกน่าเกรงขามของหัวหน้าองครักษ์เช่นในวันวานสักนิด
เฉาจิ้นเหลียงกับตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสีทันที ไอเย็นพาดผ่านดวงตา มือของเฉาจิ้นเหลียงที่กำด้ามกระบี่ไว้พลันกระชับแน่น สาวเท้าเดินเข้ามาสองก้าว แล้วตะโกนเสียงดัง “เซียวฟั่งได้เขียนจดหมายลาป่วยไปแล้ว ทหารองครักษ์อยู่ในการดูแลของข้า! เหล่าทหารที่อยู่ทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักจงฟัง หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามผู้ใดเข้าออกโดยพลการ!”
ทุกคนตกใจ มีคนไม่น้อยที่สังเกตได้ว่าบรรยากาศตึงเครียดสุดขีด จึงรีบก้าวถอยหลังทันที
เซียวฟั่งได้ยินเช่นนั้น สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นสุดแสน กัดฟันกล่าวทีละคำ “เฉา จิ้น เหลียง! เจ้าคนต่ำทราม!”
อารมณ์ที่พลุ่งพล่านกะทันหันส่งผลให้อาการบาดเจ็บแย่ลง เซียวฟั่งเจ็บจนหน้าซีดขาวราวกระดาษ แทบหายใจไม่ออก เซิ่งเซียวตกใจ รีบถ่ายกำลังภายในให้เขา ช่วยให้เขาอาการดีขึ้นเล็กน้อย
เหลียงสือชูรีบกล่าว “หัวหน้าเซียวอย่าเพิ่งใจร้อน มีเรื่องใดค่อยๆ พูด เจิ้นหนิงอ๋องจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ท่านแน่นอน”
เซียวฟั่งผ่อนลมหายใจ แล้วจึงค่อยพูดว่า “ข้าไม่ได้ป่วย แต่เป็นเฉาจิ้นเหลียงจับลูกเมียข้าไป ขู่ให้ข้าร่วมมือก่อกบฏกับพวกเขา ข้าไม่ยอม…เขาก็คิดจะสังหารข้า! หากมิใช่คนของเจิ้นหนิงอ๋องเข้ามาช่วย เกรงว่าพวกข้าสามคนพ่อแม่ลูกคงได้ไปเยือนปรโลกแล้ว…”
“อะไรนะ? เฉาจิ้นเหลียง…ก่อกบฏบีบบังคับให้ฝ่าบาทสละบัลลังก์งั้นหรือ?! นี่มัน…” ทุกคนตกตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อ
“ใช่เฉาจิ้นเหลียงก่อกบฏเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นจิ้งอันอ๋องปลอมแปลงพระบรมราชโองการ กักตัวฝ่าบาท บีบบังคับให้สละราชบัลลังก์!” เหลียงสือชูชี้หน้าตงฟางจั๋วอย่างโกรธขึ้ง หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“เหลวไหล!” ตงฟางจั๋วมีสีหน้าเย็นชา ตวาดเสียงเกรี้ยว “เหลียงสือชู ข้าอุตส่าห์ให้เกียรติเจ้าในฐานะขุนนางขั้นหนึ่ง จึงให้อภัย เจ้ากลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดี กล่าววาจาสามหาว ลบหลู่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า! เฉาจิ้นเหลียง จับตัวเขา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ประกายเย็นเยียบของกระบี่คมพาดผ่าน เฉาจิ้นเหลียงชักกระบี่อย่างรวดเร็ว ทหารองครักษ์รอบกายพุ่งตัวเข้ามา ครั้นเห็นกระบี่และดาบใกล้จะพาดถึงคอเหลียงสือชู เซิ่งฉินตาไวมือไว กระบี่พุ่งออกจากฝัก ทหารองครักษ์หลายนายเห็นเพียงประกายสีขาวพาดผ่าน ดาบในมือก็พลันตกพื้น
เหลียงสือชูเป็นขุนพลที่ชำนาญการรบ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดา เห็นเฉาจิ้นเหลียงชักกระบี่จู่โจมเข้ามา ก็ชักกระบี่หมายจะพุ่งตัวเข้าไปปะทะ แต่กลับเห็นเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนชิงยื่นมือเข้ามาปัดกระบี่คร่าชีวิตในมือเฉาจิ้นเหลียงออกก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามน่าเกรงขามดังลั่นไปทั่วตำหนัก หลีเฟิ่งเซียนก้าวออกมา ตงฟางเจ๋อกระดกยิ้มเล็กน้อย
หลีเฟิ่งเซียนเงยหน้ามองตงฟางจั๋ว ขมวดคิ้วแล้วเกลี้ยกล่อม “จิ้งอันอ๋องรีบวางมือเสียเถิด ไม่แน่กลับตัวตอนนี้อาจยังไม่สาย”
ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสี ราวกับไม่อยากเชื่อ “เซ่อเจิ้งอ๋อง! ท่าน…แม้แต่ท่านก็จะหักหลังข้างั้นหรือ? ท่านลืมไปแล้วหรือว่าผู้ใดคือคนร้ายตัวจริงที่ทำให้หลีซูตาย?!”
แววเจ็บปวดพาดผ่านดวงตาหลีเฟิ่งเซียน เขากล่าวเสียงขรึม “ข้าอยากตามหาคนร้ายตัวจริงเพื่อแก้แค้นให้หลีซูก็จริง! แต่ข้าไม่อาจทนดูท่านบีบบังคับให้ฝ่าบาทสละราชบัลลังก์เช่นนี้! หากพระบรมราชโองการเป็นของจริง เหตุใดจิ้งอันอ๋องไม่รอให้ฝ่าบาททรงฟื้นก่อน แล้วค่อยขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรมเล่า!”
ตงฟางจั๋วกำหมัดแน่น หน้าซีดจนเขียว “ได้! แม้แต่ท่านก็ยังไม่ยอมช่วยข้าแล้ว…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะต้องกลัวอะไรอีก? ทหาร…” เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป!
“ท่านอ๋อง!” ทันใดนั้น เสียงร้องเรียกอย่างแตกตื่นพลันดังขึ้น ทหารในจวนจิ้งอันอ๋องนายหนึ่งวิ่งเข้ามาในตำหนักอย่างกระวนกระวาย พลางตะโกนเสียงดัง “จู่ๆ ทหารที่เฝ้าอยู่นอกเมืองก็โจมตีเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ!”
“อะไรนะ?!” ตงฟางจั๋วสายตาแปรเปลี่ยน หันขวับไปมองจั้นอู๋จี๋ เขายังคงมีใบหน้าเย่อหยิ่งเย็นชาดังเดิม ยามนี้เองทุกคนจึงเพิ่งตระหนักได้ แม่ทัพหน้าตายที่มีกำลังทหารมากมายอยู่ในมือผู้นี้ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่ยืนสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ราวกับเรื่องราวทั้งหมดไม่เกี่ยวกับตนเองอย่างไรอย่างนั้น!
เพลิงโทสะลุกท่วมใจ ตงฟางจั๋วสาวเท้าลงจากบัลลังก์ เดินมาหยุดตรงหน้าจั้นอู๋จี๋อย่างรวดเร็ว ตวาดถามเสียงเกรี้ยว “จั้นอู๋จี๋! คนของเจ้าเล่า? เหตุใดจึงไม่สกัดทหารนอกเมืองไว้? เจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้างั้นหรือ!”
เขาโกรธเกรี้ยวสุดแสน จั้นอู๋จี๋กลับทำเหมือนไม่มีอะไร ขมวดคิ้วกล่าวอย่างสงสัย “จิ้งอันอ๋องตรัสสิ่งใด? ผู้น้อยจั้นไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า!” ตงฟางจั๋วเดือดดาล ตึงเครียดสุดขีด นอกตำหนัก ห่านฟ้าตัวหนึ่งบินผ่าน ส่งเสียงร้องเล็กแหลมเสียดแทงแก้วหู ลางร้ายพลันแผ่ปกคลุมหัวใจ เขาจ้องหน้าจั้นอู๋จี๋ด้วยสายตาเย็นชา พลางเอ่ยเตือนเสียงต่ำ “แสร้งทำเลอะเลือนกับข้างั้นหรือ? อย่าลืมว่าข้ากำความลับของเจ้าไว้ในมือ!”
จั้นอู๋จี๋เชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง เขากระตุกยิ้ม “ความลับ? ผู้น้อยจั้นทำเรื่องใดโปร่งใสเสมอมา จะมีความลับใดอยู่ในกำมือท่านอ๋องได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
สีหน้าตงฟางจั๋วพลันเย็นเยียบ กล่าวเสียงดุดัน “เช่นนั้นหรือ? จะให้ข้าเรียกคนมาฉีกหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่? พอถึงตอนนั้นข้าจะรอดูว่าเจ้าจะยังมีสิทธิ์บัญชาการทหารสามกองทัพอีกหรือไม่?!”
จั้นอู๋จี๋ไม่พูดอะไรอีก ยามนี้คนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในตำหนักอย่างรีบร้อน สาวเท้าเร็วๆ เดินมาหาตงฟางจั๋ว ชะโงกหน้ากระซิบข้างหูเขา “ท่านอ๋อง แม่นางเตี๋ยอู่แห่งหอเทียนเซียงตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาตงฟางจั๋วเย็นชา หันหน้าตวาดเสียงดัง “พวกเจ้าทำงานประสาอะไร?!”
คนผู้นั้นรีบก้มหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสำนึกผิด ไม่กล้าเปล่งเสียง
มิน่าเล่าจั้นอู๋จี๋ถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรเช่นนี้ ที่แท้พยานคนสำคัญถูกเขากำจัดเสียแล้ว!
“ดี ดีมาก ดีเหลือเกิน! วันนี้พวกเจ้าตั้งใจจะขัดพระบรมราชโองการจริงๆ ใช่หรือไม่?” ตงฟางจั๋วตบมือ หัวเราะเย็นชา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ หมุนกาย สายตาเย็นเยียบกวาดมองเหล่าขุนนางทีละคนๆ สีหน้าโหดเหี้ยมของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกตึงเครียดทันที
ราวกับคนที่เดินมาถึงทางตัน เมื่อเข้าตาจนกลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว
โชคยังดีที่เขายังเหลือเบี้ยตัวสุดท้าย
“ใต้เท้าเหลียง สำหรับท่าน ผู้ใดสำคัญที่สุด?” ตงฟางจั๋วหันไปถาม
เหลียงสือชูอึ้งไปเล็กน้อย มองเขาอย่างหวาดระแวง
ตงฟางจั๋วส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “คุณหนูเหลียงน่ารักสดใส ช่างน่าเสียดายยิ่ง”
เหลียงสือชูหน้าเปลี่ยนสีทันที คว้าแขนตงฟางจั๋ว ถามเสียงเกรี้ยว “ท่านหมายความเช่นไร?”
เห็นสีหน้าแตกตื่นที่ปกปิดไม่มิดของเขา ตงฟางจั๋วกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาแกะมือเหลียงสือชูออก แล้วกล่าวเสียงแช่มช้าอย่างไม่แยแส “ไม่มีอะไร ข้าเพียงรู้สึกว่าข้างนอกอากาศหนาวนัก ใจข้าทนดูไม่ได้ จึงเชิญครอบครัวของทุกท่านไปพักที่ตำหนักข้าง ยามนี้พวกนางคงกำลังจิบชาพูดคุยกันอยู่ น่าจะสำราญใจไม่น้อย แต่ว่า…”
เขาพลันหยุดพูด สายตาคมปลาบดั่งกระบี่ ภายใต้สายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงของทุกคน เขากล่าวต่ออีกว่า “วินาทีต่อไป พวกนางจะยังยิ้มออกอีกหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับทุกท่านแล้ว”
เหล่าขุนนางตกตะลึงพรึงเพริด เหลียงสือชูอึ้งงัน สีหน้าบิดเบี้ยวสุดขีด ตลอดชีวิตนี้เขามีเหลียงหรูเยวี่ยเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เขาเลี้ยงดูนางดั่งไข่มุกล้ำค่า ยามนี้บุตรสาวอันเป็นที่รักถูกจับ จะไม่โกรธแค้นและแตกตื่นได้เช่นไร
ตงฟางจั๋วสาวเท้าเดินมาหยุดตรงหน้าตงฟางเจ๋ออย่างเชื่องช้า ไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จนป่านนี้แล้วเขายังคงทำเฉยอย่างนี้อยู่ได้ ตงฟางจั๋วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชา “ตงฟางเจ๋อ ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าแพ้เจ้าทุกครั้ง ครั้งนี้ ข้าจะต้องชนะให้ได้”
“เช่นนั้นหรือ?” ตงฟางเจ๋อหัวเราะเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง ภายใต้สายตาสงสัยของตงฟางจั๋ว เขาส่ายหน้าช้าๆ กลีบปากบางกระดกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวคำหนึ่งออกมาอย่างหนักแน่น “ก็ไม่แน่”
เขายกมือเล็กน้อย ออกคำสั่งโดยไร้เสียง หยวนเซี่ยงรองหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายขวาที่วันนี้ยังไม่ปรากฏตัวสักครั้ง จู่ๆ ก็ปรากฏตัวที่ประตูตำหนัก ด้านหลังเขา องครักษ์กลุ่มหนึ่งกำลังคุ้มกันครอบครัวของเหล่าขุนนางให้เดินจากตำหนักข้างมาทางนี้
……………………………………………………….