กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 280 กอดเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย (2)
ซูหลีตึงเครียด กลับไม่พูดอะไร
ความสิ้นหวังและปวดใจพรั่งพรูในดวงตาตงฟางจั๋ว เขากัดฟันพูดว่า “พอมาตอนนี้แม้แต่คำโกหก เจ้าก็ไม่ยอมพูดแล้ว ใช่หรือไม่?”
ซูหลีกัดฟันแน่น มองเห็นนัยน์ตาคมปลาบเย็นชาของตงฟางเจ๋อเริ่มแผ่ไอสังหารโหดเหี้ยม ในใจพลันตกตะลึง
“ปล่อยนาง แล้วข้าจะปล่อยท่านไป” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็น
ตงฟางจั๋วมองดวงหน้าซีดขาวของสตรีที่ถูกโอบแน่นในอ้อมแขนตนเอง แววเหี้ยมเกรียมกลับมาปรากฏในดวงตาเขาอีกครั้ง เอ่ยเสียงเย็นชา “อยากให้นางรอด? เช่นนั้นก็ให้เฉาจิ้นเหลียงคุ้มกันข้าออกไปจากที่นี่”
“ไม่ได้!” ตงฟางเจ๋อยังไม่ทันตอบรับ เสียงเย็นชาไร้ความเมตตาของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นก่อน “ตอนแรกก็ชิงตัวนักโทษ ต่อมาก็บีบบังคับข้าให้สละราชบัลลังก์ พยายามระเบิดพระราชวัง พฤติกรรมใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้มีโทษใหญ่หลวงนัก เจ้าคิดว่าจะใช้ชีวิตของสตรีนางหนึ่งช่วยให้ตนเองหนีรอดไปได้เช่นนั้นหรือ?!”
ในสายตาของฮ่องเต้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาอำนาจสูงสุดของเขาดังคาด!
ตงฟางจั๋วแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง พลันก้มหน้ามองซูหลี กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย้ยหยันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “เจ้าดูเสีย เจ้าช่วยเขา เขากลับไม่สนความเป็นความตายของเจ้า! นี่คือผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการงั้นหรือ?”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับยังคงไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้หน้าบึ้งสุดขีด “เจ้ามันลูกอกตัญญู ปล่อยท่านหญิงหมิงซีเดี๋ยวนี้ ยอมให้จับกุมตัวแต่โดยดี ข้าอาจยังเมตตาไว้ชีวิตเจ้า มิเช่นนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ความเป็นพ่อลูกอีก!”
ตงฟางจั๋วกล่าวเสียดสี “ท่านเคยเห็นแก่ความเป็นพ่อลูกเมื่อใดกัน?!”
ฮ่องเต้หน้าเขียว โกรธเกรี้ยวจนแค่นเสียงเย็นชา สะบัดแขนเสื้อออกคำสั่ง “ทหาร จับตัวเขาเดี๋ยวนี้!”
“ช้าก่อน!” ตงฟางเจ๋อใบหน้าตึงเครียด “เสด็จพ่อ หมิงซีมีความชอบที่ช่วยชีวิตเสด็จพ่อไว้ หากไม่สนใจความปลอดภัยของนาง เกรงว่าต่อไปไพร่ฟ้าอาจลือว่าเสด็จพ่อลืมบุญคุณคน จะทำให้เสื่อมเสียเกียรติของราชวงศ์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” ทุกประโยคของเขา น้ำเสียงทรงพลัง เต็มไปด้วยราศีน่าเกรงขามและเด็ดขาด จนฮ่องเต้ไม่อาจโต้แย้งได้
มือของหยวนเซี่ยงที่กำกระบี่แน่นพลันคลายออกสองส่วน นิ่งเงียบรอดูสถานการณ์
ฮ่องเต้เพลิงโทสะสุมอก สถานการณ์พลิกผันไปมา เขาเป็นถึงประมุขแห่งแคว้น กลับปล่อยให้โอรสทั้งสองคุมเชิงกันไปมา แล้วความน่าเกรงขามของเขายังจะเหลืออีกหรือ? แววเหี้ยมโหดพาดผ่านดวงตา “ตงฟางจั๋วมีความผิดฐานก่อกบฏ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าจับตัวกบฏบัดเดี๋ยวนี้!”
ตงฟางเจ๋อพลันหมุนกาย ตวาดเสียงเกรี้ยว “ผู้ใดกล้าขยับ ข้าจะทำให้มันผู้นั้นไม่ได้เห็นตะวันของวันพรุ่งนี้อีก!” เหล่าทหารในตำหนักต่างสะท้านไปทั้งใจ ไม่มีผู้ใดกล้าเคลือบแคลงในคำพูดของเจิ้นหนิงอ๋องในยามนี้!
ฮ่องเต้มองเขาอย่างตกใจ แทบไม่อยากเชื่อว่าตนเองเพิ่งได้ยินสิ่งใด ริมฝีปากซีดขาวสั่นเทาด้วยความโกรธ กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว!
ตงฟางจั๋วฉวยโอกาสนี้โอบซูหลีเข้ามาในอ้อมแขนแน่น ก่อนจะโฉบขึ้นกลางอากาศ และพุ่งตัวทะลุหน้าต่างออกไป
ฮ่องเต้ตะโกนสั่งทันที “ขวางเขาไว้!”
องครักษ์นอกตำหนักได้ยินก็กรูกันเข้ามา คนเหล่านี้เดิมเป็นเบี้ยในมือของตงฟางจั๋วในการชิงบัลลังก์ ยามนี้กลับกลายเป็นอาวุธไล่ล่าในมือผู้อื่นไปแล้ว
ตงฟางจั๋วฉุดกระชากลากถูซูหลีไปกับเขาอย่างไม่ปรานี เส้นผมยาวๆ ปลิวว่อนไปตามสายลม เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่ว ราวกับปีศาจแห่งขุมนรกที่พลุ่งพล่านไปด้วยไอสังหาร ทหารองครักษ์วิ่งกรูกันเข้ามา เงาร่างสีดำมากมาย สะท้อนในดวงตาแดงก่ำของตงฟางจั๋ว แววตากระหายเลือดพลันพาดผ่าน เขาโบกแขนกลางอากาศ ประกายอาวุธมีคมพุ่งแหวกอากาศทันที ชั่วขณะหนึ่งไอพิฆาตแผ่กำจาย โลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ
แขนขาที่ขาดจากร่างร่วงตกสู่พื้นพร้อมกับกระบี่คม เหล่าทหารองครักษ์ที่วิ่งนำหน้าต่างกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญหาย ราวกับย้อนเวลากลับไปยังบ่ายคล้อยของวันนั้น ณ ลานประหาร สิ่งที่ต่างออกไป คือครั้งนั้นยังถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่โกลาหลวุ่นวาย ทว่าเหตุการณ์ในวันนี้ กลับเป็นการสังหารของปีศาจผู้บ้าคลั่งอย่างเต็มรูปแบบ
มือของตงฟางจั๋วเกี่ยวข้อมือของซูหลีไว้แน่นไม่ยอมคลาย นางกลับไม่ขัดขืน ปล่อยให้เขาดึงนางไปด้วยทุกที่ในสมรภูมิแห่งความตายแห่งนี้
นอกวงล้อมอันแน่นหนา ตงฟางเจ๋อพุ่งตัวมาที่ประตูตำหนัก จ้องนางไม่วางตา ไม่ขยับไปไหน คนอื่นอาจคิดว่านางถูกตงฟางจั๋วจับตัวไว้และไม่มีทางสู้ แต่เขากลับรู้ดีว่านางอยากช่วยชีวิตคนผู้นั้น สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็ไม่อยากให้เขาตาย ตงฟางเจ๋อหลับตาเบาๆ ความตระหนักรู้อันชัดเจนนี้ทำให้หัวใจอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานของเขา พลันรู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ ตงฟางจั๋วสังหารคนจนดวงตาแดงก่ำไปทั้งดวง ผู้ใดกล้าเข้ามา เขาบั่นคอไม่เว้น
ฮ่องเต้สีหน้าขึ้งเคียดขึ้นเรื่อยๆ หันไปมองเฉาจิ้นเหลียงที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนอลหม่าน กล่าวด้วยสายตาเย็นเยียบ “เฉาจิ้นเหลียง ข้าจะให้โอกาสสร้างผลงานทดแทนความผิดแก่เจ้าสักครั้ง”
เฉาจิ้นเหลียงเงยหน้าอย่างประหลาดใจ เดิมทีที่เขาวางเดิมพันข้างตงฟางจั๋วก็เพียงเพื่อสร้างผลงานเท่านั้น ยามนี้ตงฟางจั๋วก่อกบฏล้มเหลว อีกไม่นานเขาก็คงหนีไม่พ้นความตาย แต่เมื่อมีโอกาสรอดชีวิต เขาย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไป เขารับคำสั่งอย่างไม่ลังเล เก็บกระบี่พุ่งตัวออกจากประตูตำหนักทันที
“คนทรยศ!” ตงฟางจั๋วแค่นเสียงเย็นชา กัดฟันด่าทอ
เฉาจิ้นเหลียงกล่าวเสียงกร้าว “ผู้ใดไม่รักตนเอง ฟ้าดินประหัตประหาร[1]” เขาไม่เอ่ยมากความอีก เพียงเงื้อดาบเปิดฉากโจมตีอย่างรวดเร็ว
เพื่อเอาชีวิตรอด ทุกกระบวนท่าของเฉาจิ้นเหลียงจู่โจมจุดสำคัญของตงฟางจั๋วอย่างต่อเนื่อง ไอสังหารแผ่ปกคลุมรอบกาย กอปรกับมีหยวนเซี่ยงอีกคนหนึ่ง สองคนประกบซ้ายขวา ด้านหลังยังมีทหารองครักษ์จำนวนมากพรั่งพรูกันเข้ามา ตงฟางจั๋วมีซูหลีอยู่ด้วย จึงถูกจำกัดความเคลื่อนไหวอย่างเลี่ยงไม่ได้
เฉาจิ้นเหลียงค้นพบว่าภายนอกอาจดูเหมือนเขาจับตัวซูหลีเป็นตัวประกัน แต่แท้จริงแล้วกลับปกป้องนางตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้นางบาดเจ็บ เฉาจิ้นเหลียงจึงพลิกกระบี่ เปลี่ยนทิศไปโจมตีซูหลีแทน
“ต่ำช้า!” ตงฟางจั๋วตะโกนด่าอย่างโกรธเกรี้ยว จำต้องหันมารับมือกับเฉาจิ้นเหลียงเป็นหลัก เขาถูกโจมตีทั้งหน้าและหลัง ไม่อาจตั้งรับได้พร้อมกัน ทหารองครักษ์นายหนึ่งที่อยู่ข้างหลังฉวยโอกาสตอนเขาเผลอเงื้อดาบฟันไปที่แผ่นหลังเขา ตงฟางจั๋วรู้สึกถึงรสหวานคาวในลำคอ ก่อนจะสำลักเลือดคำโตลงบนหัวไหล่ซูหลี!
ซูหลีตกใจกรีดร้องเสียงดัง หมายจะยื่นมือออกไปแย่งกระบี่ ตงฟางจั๋วกลับโอบกอดร่างบางแล้วพานางหมุนกาย หันตนเองรับกระบี่ของศัตรูที่กำลังฟาดฟันลงมาแทนนาง
ซูหลีพลันสะท้านไปทั้งใจ ทันใดนั้น เงาร่างบอบบางสายหนึ่งพลันพุ่งตัวเข้ามายืนบังด้านหน้าตงฟางจั๋ว กระบี่ยาวแทงทะลุร่างนางดัง ‘ฉึก’
ดวงตาตกใจระคนเจ็บปวดของหลีเยามองไปยังบุรุษที่เนื้อกายเต็มไปด้วยคราบเลือด!
“เหยาเอ๋อร์?!” ซูหลีลั่นร้องออกไปด้วยเสียงเหมือนจะขาดใจ!
ตงฟางจั๋วเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน ยามที่ทุกคนทอดทิ้งเขาไป กลับยังมีสตรีนางหนึ่งไม่กลัวตาย วิ่งออกมารับกระบี่แทนเขา!
“รีบหนีไปเพคะ!” หลีเหยาตะโกนบอกอย่างอ่อนแรง ร่างกายอ่อนแอของนางมิอาจหยัดยืนไหว ค่อยๆ ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาเขา
หลีเฟิ่งเซียนหน้าถอดสีครั้งใหญ่ เงาร่างโฉบไหวดั่งสายฟ้า แหวกผ่านเหล่าทหารองครักษ์ พุ่งตัวเข้าไปตรงหน้าหลีเหยา ประคองนางแล้วขานเรียกอย่างร้อนใจ “เหยาเอ๋อร์! เหยาเอ๋อร์!”
จู่ๆ เซ่อเจิ้งอ๋องก็พุ่งตัวเข้ามาในสมรภูมิ เฉาจิ้นเหลียงถูกสกัดมิอาจไล่โจมตีจนถึงที่สุด ตงฟางจั๋วหันหลังมองหลีเฟิ่งเซียนและหลีเหยาด้วยสายตาสับสน ก่อนจะกอดซูหลี กระโดดเหยียบทหารสองคนตรงหน้า เหินทะยานกลางอากาศมุ่งหน้าออกนอกวังด้วยความเร็ว
นอกประตูวังกลับมีม้าอยู่ตัวหนึ่ง!
ซูหลีพลันสะดุดใจ! ในวังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด ใครกันทิ้งม้าไว้ที่นี่? ราวกับคำนวณไว้แต่แรกแล้ว รอเพียงตงฟางจั๋วมาถึง และช่วยเขาหลบหนีไป!
ตงฟางจั๋วไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาโอบซูหลีขึ้นหลังม้า ก่อนจะตะบึงออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ด้านนอกกำแพงวังสูงตระหง่านค่อยๆ ปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์สีขาวดั่งแสงจันทรา บนใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนแววโศกเศร้าเลือนราง ทอดมองม้าที่วิ่งออกไปไกล เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง จิ้งอันอ๋อง เส้นทางนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว โปรดจงรักษาตัวด้วย
………………………………………………………………………
[1] ผู้ใดไม่รักตนเอง ฟ้าดินประหัตประหาร หมายถึง คนที่อ่านสถานการณ์ไม่เป็น กระทำการใดย่อมประสบหายนะ