กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 281 กอดเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย (3)
วันสิ้นปีของปีนี้ อากาศหนาวลมกระโชกแรง ไอเย็นแทรกลึกเข้าไปถึงกระดูก ราวกับจะแช่แข็งผู้คนให้ตายทั้งเป็น
ผ่านไปไม่นาน อาชางามพลันหยุดวิ่ง ณ ประตูบานเล็กในที่ลับตาคน
ตงฟางจั๋วโอบซูหลีกระโดดลงจากม้า ฝีเท้าโซซัดโซเซ ทว่ากลับยังคงกำมือนางแน่น เดินหน้าต่อไป แล้วผลักประตูบานนั้นออกอย่างเบามือ
กลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าลอยปะทะใบหน้า อากาศหนาวจับใจถูกปิดกั้นไว้ด้านนอกประตูบานนั้นทันที
ตงฟางจั๋วสูดหายใจลึกๆ บาดแผลบนแผ่นหลังถูกลมหนาวแช่แข็งไปแล้ว ราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด เขาดึงนางให้เดินไปข้างหน้าเงียบๆ จนมาถึงส่วนลึกของสวนหลี
ที่แห่งนี้ดอกหลียังคงเบ่งบานงดงาม อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ครั้นยืนอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งมวลบุปผา กลิ่นหอมลอยคลุ้งทั่วทิศ กลับทำให้เหตุการณ์ฆ่าฟันนองเลือดอันน่าสยดสยองก่อนหน้านี้ดูราวกับอยู่คนละโลก
บุรุษตรงหน้าเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ไอสังหารจางหาย ราวกับมารร้ายถูกกำจัด เหลือไว้เพียงความหม่นหมองในดวงตา เขาล้มตัวนั่งบนบันไดหิน หอบหายใจเสียงดัง
ที่แห่งนี้คือสวนดอกไม้ที่เขาตั้งใจสร้างให้นาง เขาเคยวาดฝันไว้นับครั้งไม่ถ้วน ถึงภาพที่นางยืนอยู่ใต้ต้นดอกหลี หยิบดอกหลีมาเหน็บข้างใบหูด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม แต่น่าเสียดาย ที่สุดท้ายก็เป็นได้แค่ความฝัน
ซูหลีชะงักฝีเท้า พลันใช้กำลังภายในสะบัดมือเขาออกอย่างแรง
ตงฟางจั๋วอึ้งงันเล็กน้อย หันมามองนางอย่างตกใจ “เจ้าเป็นวรยุทธ์ด้วยหรือ?!” เมื่อครู่ กำลังภายในแข็งแกร่งไม่เบา นางมีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา! แต่ก่อนหน้านี้ในวังหลวง ตอนที่นางถูกเขาจับเป็นตัวประกัน เหตุใดจึงไม่ขัดขืนสักนิดเล่า? เขาไม่รู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ จึงไม่ระแวดระวังนาง นางย่อมมีโอกาสหนีจากการกุมตัวของเขานับครั้งไม่ถ้วน
แต่นางก็ไม่ทำเช่นนั้น
“เพราะเหตุใด?” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ความเจ็บปวด แล้วยังมีความสิ้นหวังอย่างที่สุด
ซูหลีไม่ตอบคำถาม เพียงก้มหน้า ข้อมือเขียวช้ำเป็นวงกว้าง ผิวกลางฝ่ามือถูกไฟลวกจนเป็นแผลเหวอะหวะน่ากลัว ยามนี้จึงเพิ่งรู้สึกเจ็บ นางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจและขมวดคิ้วเล็กน้อย
ม่านตาตงฟางจั๋วหดตัว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางบาดเจ็บจากการขัดขวางไม่ให้เขาจุดระเบิด เขารีบดึงมือนางไปตรวจสอบอย่างละเอียด ซูหลีดึงมือกลับอย่างแรง มองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตาไร้ซึ่งความรู้สึก ตงฟางจั๋วเจ็บปวดหัวใจ เงยหน้ามองรอยแผลบนลำคอนาง สายตาเขาแปรเปลี่ยนไปมา อดพึมพำกับตนเองไม่ได้ “ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ทำร้ายเจ้าเช่นนี้!”
เขารีบหยิบขวดยาสีขาวขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ ดึงมือนางเข้ามาอย่างร้อนใจ “ทายาก่อนเถิด”
ซูหลีไม่ขยับ สายตาเย็นชา จดจ้องเขาโดยไม่พูดอะไร
นิ้วมือซีดขาวแน่นิ่งอยู่กลางอากาศไม่ยอมขยับ ใบหน้าไร้สีเลือดของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตลอดมา เขากลัวว่านางจะถูกผู้อื่นทำร้าย แต่ตอนนี้ คนที่ทำร้ายนางกลับเป็นตนเอง! นางไม่ยอมให้เขาทายาให้ ในใจคงคิดโทษเขาเป็นแน่ คิดมาถึงตรงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคับแค้น เสียใจ และปวดใจ เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว จนแทบจะกำขวดยาแตกคามือ
บาดแผลบนร่างกายฉีกขาดอีกครั้งเพราะออกแรงมากไป เลือดไหลทะลัก เปียกชุ่มอาภรณ์ไปทั้งกาย เขากลับราวกับไม่รู้สึก
ซูหลีถอนใจเล็กน้อย สุดท้ายก็ทนดูไม่ได้ แย่งขวดยาไปจากมือเขา กล่าวเสียงเย็นชา “บาดแผลของหม่อมฉันเล็กน้อย ดูแลบาดแผลบนกายท่านก่อนแล้วค่อยห่วงเรื่องอื่นเถิด” เอ่ยจบ ก็หมายจะทายาให้เขา ตงฟางจั๋วกลับขอบตาร้อนผ่าว เอื้อมมือกระชากนางเข้าไปกอด
ซูหลีไม่ทันตั้งตัว เสียหลักพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนเขา มือข้างหนึ่งสัมผัสโดนบาดแผลบนแผ่นหลังเขา ของเหลวอุ่นเหนียวทำให้นางขมวดคิ้ว ตวาดด้วยความร้อนใจ “ท่านจะทำอะไรน่ะ? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?!”
ตงฟางจั๋วไม่พูดอะไร สองแขนโอบกอดนางแน่น บนโลกใบนี้ ความรักเดียวที่เขาเหลืออยู่ มีเพียงนางเท่านั้น! เรื่องสุดท้ายที่พอจะทำเพื่อนางได้ ก็ล้มเหลวไปแล้ว เขาจะอยากมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว
ครั้นรับรู้ได้ว่าหญิงงามในอ้อมแขนกำลังขัดขืน เขาถอนหายใจ ลำคอแหบแห้ง เปล่งเสียงอ้อนวอนอย่างจริงใจ “ซูซู…อย่าขยับ ให้ข้าได้กอดเจ้าอีกหน่อย ข้ารับปากว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย”
น้ำเสียงเศร้าโศกและสิ้นหวัง แฝงไว้ด้วยคำบอกลารางๆ
ครั้งสุดท้าย…ซูหลีใจเต้นเร็ว ลางสังหรณ์บางอย่างแผ่ปกคลุมหัวใจนางทันที
“ตงฟางจั๋ว…” นางอดขานเรียกเขาไม่ได้ กลับถูกเขาพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ซูซู เป็นข้าที่ทำผิดต่อเจ้า! วันแต่งงาน ตอนที่เจ้าฉีกหนังสือหย่าแล้วเดินออกจากจวนอ๋องไป หัวใจของข้า…ก็เหมือนถูกควักออกไปด้วย เมื่อได้ข่าวเจ้าตกทะเลสาบตาย ข้าแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง! วินาทีนั้น ข้าเสียใจจนแทบอยากปลิดชีพตนเองเสีย!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและความเจ็บปวดที่ไม่อาจพรรณนาเป็นคำพูดได้ แขนทั้งสองข้างโอบกอดนางแน่น ร่างกายสูงใหญ่สั่นเทาเล็กน้อย ราวกับความหวาดกลัวและความสำนึกผิดในยามนั้นได้หวนกลับมาอีกครั้ง
ซูหลีเม้มปากแน่น ได้ยินเพียงตนเองถามเขาด้วยเสียงเย็นชา “เหตุใดท่านจึงไม่ปลิดชีพตนเอง?”
“ข้ามีชีวิตอยู่ ก็เพื่อมารดาข้า ข้าคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนาง” เสียงของตงฟางจั๋วเลื่อนลอยขึ้นเรื่อยๆ ทุ้มต่ำเบาหวิว “ข้าโกหกตนเองมาโดยตลอดว่าข้าไม่ผิด เป็นเจ้าที่ทำผิดต่อข้า! ข้าคิดว่าหากทำอย่างนั้น ตัวเองก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้าง กระทั่ง เจ้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีกครั้ง…” เขาหอบหายใจครั้งหนึ่ง เสียงพูดค่อยๆ ล่องลอย คล้ายจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ
“ยามนั้นข้าทั้งตกใจทั้งดีใจ นึกว่าสวรรค์รับรู้ได้ถึงความสำนึกผิดของข้า จึงได้คืนเจ้าให้ข้า ข้าสาบานกับตนเอง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหลีซูหรือซูหลี ชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันปล่อยมือเจ้าอีก…แต่ว่า ในหัวใจของเจ้า กลับไม่มีที่ให้ข้าอีกแล้ว!”
ความสิ้นหวังและเศร้าสร้อยที่ไม่อาจบรรยายแผ่ปกคลุมรอบทิศ รอบกายเงียบสงบ กลีบดอกหลีสีขาวบริสุทธิ์พาเอากลิ่นหอมสะอาดร่วงโรยกลางอากาศ ก่อนจะตกลงบนไหล่นาง
“พิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนั้น เจ้าวางแผนรื้อคดีหลีซู ข้ารู้อยู่แล้วว่าตนเองจบสิ้นแล้ว! ข้าไม่อาจโกหกตนเองได้อีก ไม่มีสิทธิ์แย่งชิงเจ้ากับผู้อื่นอีกแล้ว…ข้านอนอยู่หน้าหลุมศพหลีซู ถามตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุใดยามนั้นจึงวู่วามเช่นนั้น? เหตุใดจึงโง่เขลาเช่นนั้น? เหตุใดข้าจึงไม่เชื่อใจเจ้า? เพราะเหตุใด…”
จู่ๆ อารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่าน เขาไม่อาจควบคุมความทรมานในใจ ได้แต่หลับตาแน่นๆ
ซูหลีนิ่งฟังเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ก่อนนางอยากเห็นเขาเสียใจนับครั้งไม่ถ้วน นางนึกว่าตนเองจะต้องหัวเราะออกมาดังๆ และรู้สึกดีอย่างไม่อาจบรรยายได้แน่นอน ทว่าในวินาทีนี้ เขาอยู่ตรงหน้านางแล้ว เขาเจ็บปวดและทรมานต่อความสำนึกผิดในอดีตถึงเพียงนี้…นางกลับรู้สึกอ้างว้างไปทั้งหัวใจ
“ข้าดื่มสุราจนหมด ก็ยังไม่พบคำตอบ ฉะนั้นข้าจึงคิดว่า ถ้าหากเราสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง คงจะดีไม่น้อย…ข้าจะต้องเลือกเชื่อใจเจ้า เลือกยืนอยู่ข้างเจ้าอย่างแน่นอน…”
แต่ทว่า ชีวิตคนเราไม่เคยมีโอกาสให้เริ่มต้นใหม่
ถึงแม้นางเคยได้รับโอกาสให้เกิดใหม่ แต่นั่นก็ไม่อาจลบล้างเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาให้เลือนหายไปได้
ซูหลีก้มหน้า ความรู้สึกในใจนางในยามนี้ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังแยกแยะไม่ออก
ตงฟางจั๋วแหงนหน้าอย่างเศร้าเสียใจ ตรงหน้าเต็มไปด้วยต้นดอกหลีขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะ เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ยามที่พบนางครั้งแรกอีกครั้ง ราวกับเทพธิดาผู้งดงามและสงบนิ่งที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ ยืนอยู่ใต้ต้นดอกหลี ชายอาภรณ์พลิ้วไหวเบาๆ ยืนเดียวดายอยู่ตรงนั้น นางหันหน้ามองมา นัยน์ตาใสพราวระริก หัวใจของเขาพลันเต้นรัว ดวงตากระจ่างใสของนางก็เหมือนกับดอกหลีที่เบ่งบานเต็มต้นเหล่านี้ สลักลึกลงในใจเขาไม่มีวันเลือนราง
นับตั้งแต่วินาทีนั้น หัวใจดวงหนึ่งหล่นหาย ราวกับไม่ใช่หัวใจของตนเองอีกต่อไป
…………………………………….