กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 282 เพลิงรักแผดเผา (1)
กว่าจะรู้ตัว เขาก็เดินเข้าไปหานาง และกล่าวคำสาบานสามภพสามชาติแล้ว ทุกเช้าค่ำเอาแต่คิดว่าจะอยู่เคียงคู่กับนางไปตลอดชีวิต ทว่านึกไม่ถึง กลับต้องเผชิญหน้ากับการลาจาก ยามนี้ ถึงแม้นางจะกลับมาสู่อ้อมแขนเขา ทว่านางกลับไม่มีทางเป็นของเขาอีกตลอดกาล!
บางที นี่อาจเป็นเจตจำนงของสวรรค์ เขากับนางเริ่มต้นใต้ต้นดอกหลี แล้วก็สิ้นสุดใต้ต้นดอกหลีเช่นกัน ทุกอย่างล้วนถูกชะตาลิขิตไว้แล้ว
เขาปล่อยนาง ล้วงวัตถุบางสิ่งออกจากอกเสื้อ แล้วยัดใส่มือนาง
ประกายมรกตโปร่งใส สัมผัสกึ่งอุ่นกึ่งเย็น ซูหลีก้มมอง กลับเป็นไข่มุกฝูอวิ๋นที่เคยขาดไปก่อนหน้านี้! เชือกสีใสที่ใช้ร้อยไข่มุกสีมรกตเข้าด้วยกันใหม่ไม่รู้ทำขึ้นจากวัสดุใด แข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ
“นี่คือเชือกที่ถักทอขึ้นด้วยไหมสวรรค์ ข้าตามหาอยู่นานกว่าจะเจอ ต่อไปมันจะไม่มีวันขาดอีกต่อไปแล้ว เจ้า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค ซูหลีก็รีบยัดวัตถุล้ำค่านั้นกลับคืนใส่มือเขา พร้อมกล่าวเสียงเรียบเฉย “ของสิ่งนี้ หม่อมฉัน ไม่ต้องการ” หลังจากวันนี้นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาอีก ในเมื่อจะตัดขาด ก็ต้องตัดขาดอย่างหมดจด
ตงฟางจั๋วอ้าปาก ทว่ากลับไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมา ใบหน้าที่ซีดเพราะเสียเลือดมากยิ่งซีดขาวกว่าเดิม ในใจของนาง ความรักของเขาไม่ต่างจากหนังสือหย่าแผ่นนั้นที่ได้กลายเป็นเศษฝุ่นผงไปนานแล้ว นางไม่ต้องการเขาอีกแล้ว และไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย! ความจริงอันโหดร้ายนี้ทำให้เขาตัวสั่นไปทั้งตัว แทบยืนไม่ไหว ในที่สุดก็ล้มลงบนบันได
ซูหลีทนมองไม่ได้ ในที่สุดก็ก้มตัวลง เอ่ยเสียงเบา “ห้ามเลือดก่อน แล้วค่อยหาทาง…ไปจากที่นี่”
เขาหัวเราะเบาๆ ที่แท้นางปกป้องเขาออกมาจากที่แห่งนั้น ไม่ใช่เพราะความรัก แต่แค่เพราะไม่อยากให้เขาตายไปต่อหน้าต่อตานางเท่านั้น! ผงยาถูกโรยบนแผล ความเจ็บปวดรุนแรงโจมตี เขากลับไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยซ้ำ ความเจ็บปวดในใจอันแสนสาหัสทำให้ร่างกายด้านชาไปนานแล้ว ชีวิตยังละทิ้งได้ แล้วยังจะสนสิ่งใดอีก?
นอกสวน เสียงฝีเท้าพร้อมเพรียงพลันดังแว่วมา ซูหลีตกใจ ทหารไล่ตามมาเร็วมาก ดูเหมือนฮ่องเต้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยเขาไป! นางรีบลุกขึ้นแล้วดึงเขา “รีบหนีไปเถิด ชักช้าจะไม่ทันกาล”
ตงฟางจั๋วกลับเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ดวงตาของเขาจดจ้องมองวัตถุในมือแน่นิ่ง สายตาหม่นหมอง
“รีบไปเร็วเข้า!” ซูหลีร้อนใจ ผลักเขาให้หนีเข้าไปในส่วนลึกของสวน
ตงฟางจั๋วกลับหยุดเดิน มองนางอย่างเศร้าโศก “ไปทางใดเล่า?”
ซูหลีอึ้งงัน บีบบังคับฮ่องเต้ให้สละราชบัลลังก์ ฮ่องเต้ไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้อีกอย่างแน่นอน แม้แผ่นดินกว้างไกลอีกสักเพียงใด ก็ยังคงอยู่ใต้การปกครองของฮ่องเต้ ไม่ว่าเขาไปที่ใด ก็ดูเหมือนจะไร้หนทางจริงๆ นอกเสียจาก…
“ไปยิ่งไกลเท่าไรก็ยิ่งดี หรือท่านจะรอความตายอยู่ตรงนี้เล่า?!”
ตงฟางจั๋วไม่พูดอะไร เพียงจ้องนางอยู่อย่างนั้น ในดวงตาสะท้อนแววอาลัยอาวรณ์และสิ้นหวังสุดแสน
“แผนการในครานี้รอบคอบมาก แม้แต่ระเบิดยังถูกซ่อนไว้ในตำหนักพระราชวัง ข้าไม่กลัวตายแต่แรกแล้ว หากสำเร็จ ข้าสามารถคืนความสุขให้เจ้าได้ หากล้มเหลว ก็แค่…เป็นความล้มเหลวของข้าเพียงผู้เดียว นับจากนี้ จะไม่มีตงฟางจั๋วบนโลกใบนี้อีก ซูซู…เจ้าก็ทำเหมือนไม่เคยรู้จักข้าก็แล้วกัน”
ซูหลีตึงเครียด มองหน้าเขาด้วยความตกใจระคนสงสัย “ท่าน…”
ตอนนี้เอง เสียงสนั่นเลื่อนลั่นดังมา ประตูสวนถูกคนใช้กำลังพังเข้ามาแล้ว ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา ตงฟางจั๋วเหมือนเพิ่งได้สติ สายตาเขาพลันเย็นเยียบ ก้มตัวเก็บมีดสั้นที่อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปาไปยังทหารที่จู่โจมเข้ามาดัง ‘สวบ’
ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้อง คนผู้นั้นถูกมีดสั้นปักหน้าอก ล้มลงไปทันที
ทหารที่วิ่งตามหลังมาต่างตกใจ พากันชะงักฝีเท้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ตงฟางจั๋วยืนอยู่ที่เดิม แน่นิ่งไม่ไหวติง กลิ่นอายเศร้าโศกรอบกายก่อนหน้านั้นพลันจางหายในพริบตา สิ่งที่เข้ามาแทนที่ คือไอสังหารรุนแรงน่าพรั่นพรึง
ซูหลีสะท้านใจ ได้ยินเพียงเขาตะโกนเสียงเกรี้ยว “ผู้ใดกล้าก้าวเข้ามาอีกก้าว ข้าจะทำให้มันผู้นั้นตายไม่เหลือซาก! ไสหัวออกไปให้หมด!”
เสียงคำรามกึกก้องดั่งสายฟ้าฟาด ดังเลื่อนลั่นชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ เหล่าทหารองครักษ์ที่ก้าวเท้าเข้ามาในประตูหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาเคยเห็นตอนที่เขาคลุ้มคลั่ง ไม่มีผู้ใดกล้าเคลือบแคลงในพลังของเขา ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนมองหน้ากัน กลับไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้ามาจริงๆ
ทันใดนั้น เหล่าทหารด้านนอกประตูพากันแหวกตัวเปิดทางตรงกลาง ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดั่งน้ำแข็ง และเงาร่างสูงใหญ่ของตงฟางเจ๋อค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา
ตงฟางจั๋วหน้าขึ้งเคียดขึ้นมาทันที เขาตวาดเสียงเย็น “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” เขารีบกำข้อมือซูหลีแน่นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตงฟางเจ๋อชะงักเท้า นัยน์ตาลึกล้ำดั่งดวงดาราจ้องมองซูหลี สายตามืดมนและเย็นยะเยือกของเขาทำให้ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ กลีบปากบางเผยอขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความรู้สึก เห็นได้ชัดว่านั่นก็คือสัญญาณก่อนที่เขาจะระเบิดโทสะ! เขาตะโกนเสียงเย็นชา “ตงฟางจั๋ว ปล่อยนางเสีย แล้วข้ารับประกันว่าเจ้าจะหนีออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างปลอดภัย!”
ตงฟางจั๋วหัวเราะขมขื่น รอยยิ้มนั้นสะท้อนแววสิ้นหวังและเศร้ารันทดที่ไม่อาจบรรยายได้ เขาไม่ได้ตอบ เพียงก้มหน้ามองนาง ก้มหน้ากระซิบข้างหูนาง “หากไม่อยากให้เขาตาย ก็บอกให้เขาออกไปเสีย”
สีหน้าเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้าซีดขาว ใบหน้าของเขาเย็นยะเยือกดั่งหิมะ กลับให้ความรู้สึกประหลาดหลายส่วน นี่คือสวนในฝันที่เขาสร้างให้นาง สถานที่ที่เป็นของเขากับนาง คนอื่นไม่มีสิทธิ์เข้ามา!
ซูหลีมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ลางสังหรณ์ก่อนหน้าแผ่ปกคลุมหัวใจอีกครั้ง จึงรีบส่ายหน้าเบาๆ ให้ตงฟางเจ๋อ “หม่อมฉันไม่เป็นไร ท่านอ๋องรอหม่อมฉันข้างนอกนะเพคะ”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่น เห็นสีหน้าหนักแน่นของนาง เขาทำได้เพียงเม้มปากไม่พูดอะไร นัยน์ตาลึกล้ำของเขาพลันปรากฏแววเคืองขุ่นหลายส่วน นางเอาตนเองเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้ เคยคำนึงถึงความรู้สึกของเขาหรือไม่? เขาไม่พูดอะไร เพียงจ้องหน้านางนิ่งๆ กลับไม่ยอมรับคำง่ายๆ
ซูหลีถอนหายใจ “เชื่อหม่อมฉันนะเพคะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตงฟางเจ๋อกำหมัดแน่น กล่าวเสียงเย็นชา “ให้เวลาหนึ่งก้านธูป ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะให้คนถล่มที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง!” เอ่ยจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ หมุนกายเดินจากไป
นางคว้าแขนของตงฟางจั๋วที่เกี่ยวนางไว้แน่น แทบไม่ต้องออกแรงมือของเขาก็คลายออกแล้ว นางกล่าวเสียงเรียบ “ไปจากเมืองหลวงเสีย จากนี้ไปอย่าได้หวนกลับมาอีก” เอ่ยจบก็หมายจะเดินออกไป จู่ๆ ข้อมือกลับถูกกระชากกลับไปกุมไว้แน่น
ซูหลีตกใจ ทว่าไม่หันหลังกลับไปมอง ใบหน้าด้านข้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและไอเย็นบีบคั้นผู้คน ค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ เขากระซิบเบาๆ ข้างหูนาง “ที่เจ้าบอกว่ายอมตายพร้อมข้า เจ้าโกหกหรือ?”
ซูหลีไม่พูดอะไร คำตอบของนาง เขารู้แต่แรกแล้ว เพียงแต่จนถึงป่านนี้ตัวเขาเองยังไม่อยากยอมรับ
“หึๆๆๆ” เขาหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าแผนการจะดีหรือรอบคอบเพียงใด สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้วาจาหลอกลวงของนางอยู่ดี ดวงหน้างดงามของนางเย็นชาถึงเพียงนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งปวดใจ เขาปล่อยมือนาง แล้วหมุนกาย จดจ้องไปยังต้นดอกหลีต้นหนึ่ง สายตาพลันเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
“ท่าน เสียใจหรือ?” ซูหลีสูดหายใจลึกๆ
“เสียใจ?” เขาเหมือนได้ยินวาจาน่าขัน เอ่ยอย่างเหม่อลอย “ชีวิตข้าเคยทำเรื่องที่ทำให้ตนเองเสียใจภายหลังเพียงเรื่องเดียว…”
ซูหลีกัดฟัน ก้าวเท้าหมายจะเดินจากไป เขากลับขานเรียกนางอย่างร้อนใจ “ซูซู!”
เสียงเรียกนี้เหมือนดั่งดาบน้ำแข็งที่เสียดแทงหัวใจ เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากความสิ้นหวัง พาให้คนหายใจไม่ออก นางชะงักเท้าเล็กน้อย ครั้นหันหลังกลับ เขากลับก้มหน้าประทับจูบนาง!
………………………………………………………