กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 287 ไม่อยากหนีอีกแล้ว (2)
คิ้วเข้มคลายออก เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย “เขาเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ข้าย่อมต้องปล่อยให้เขาทำตามใจอยู่แล้ว ขึ้นมาเถิด”
ซูหลีขึ้นรถ ชั่วขณะหนึ่งนางมีเรื่องราวให้คิดมากมาย จึงไม่ได้เอ่ยมากความอีก รถม้าเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังหุบเขาฮวาอวี๋
ผิวน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา เรือนไม้เรียบง่ายหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แลดูสันโดษจากโลกภายนอก ประตูเรือนปิดสนิทคล้ายไม่มีคนอยู่ ซูหลีกล่าวอย่างแปลกใจ “หรือเจียงหยวนไม่อยู่?”
สายตาของหวั่นซินขรึมลงเล็กน้อย “เจียงหยวนไม่มีที่ให้ไป น่าจะอยู่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวลองเรียกดู”
ทุกคนลงจากรถ ขณะนั้นเอง จู่ๆ ประตูก็เปิดออก หมอเทวดาเจียงหยวนยืนอยู่ด้านหลังประตู สายตาเฉยชาเหลือบมองมา ก่อนจะกล่าวราวกับรอบข้างไม่มีคนอยู่ “วันแรกของปีก็มาพบหมอแล้ว ทั้งสองท่านช่างเลือกสรรเวลาได้ดีแท้”
ตงฟางเจ๋อยืนเอามือไพล่หลัง แล้วกล่าวแกมเสียดสี “เจียงหยวนมีฉายาว่า ‘หมอเทวดา’ วิชาแพทย์ล้ำเลิศที่สุดในยุทธภพ ทว่าน่าเสียดาย มีเพียงชื่อเสียงอันว่างเปล่าเท่านั้น!”
สายตาของเจียงหยวนพลันเคร่งขรึม เงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะถามอย่างไม่เป็นมิตร “วรยุทธ์ของท่านสูญสิ้นแล้วหรือยัง?”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็น ตอบว่า “วรยุทธ์ไม่สูญสิ้น แต่พิษกลับยังไม่หมดสิ้น!”
“เป็นไปได้อย่างไร?” สายตาของเจียงหยวนสะท้อนแววประหลาดใจ หันมองซูหลีโดยสัญชาตญาณ
“เป็นเรื่องคาดไม่ถึงจริงๆ ฉะนั้นพวกข้าจึงมาขอคำชี้แนะจากท่านหมอเทวดาเจียงอีกครั้ง” ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ ดวงหน้าสงบนิ่งของนางปรากฏแววกังวลหนึ่งส่วน
เจียงหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง “เชิญข้างใน”
ทั้งสามเข้าไปข้างใน แล้วปิดประตูเรือน อากาศหนาวเย็นถูกทิ้งไว้เบื้องหลังบานประตู เจียงหยวนมองหวั่นซินที่ยืนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตากลับมา แล้วกล่าวว่า “มีเรื่องใดอยู่นอกเหนือความคาดหมาย คุณชายโปรดอธิบาย”
ตงฟางเจ๋อหันไปมองซูหลีแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างครุ่นคิดเล็กน้อย “หลังจากแก้พิษ ข้าสามารถใช้กำลังภายในได้อย่างใจคิด ไร้ซึ่งอุปสรรคกีดขวางใดๆ แต่ว่า…เมื่อใดที่ข้าพบนาง ก็อยากเข้าใกล้ ครั้นเข้าใกล้ก็จะสูญเสียการควบคุม ร่างกายเจ็บปวดจนยากจะทานทน ไม่เป็นตัวเองสักนิด”
เจียงหยวนขมวดคิ้ว เหล่มองซูหลี ซูหลีตึงเครียด พยักหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลังจากแก้พิษ ฉะนั้นข้าจึงสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับพิษดอกฉิงฮวา ใช่ครั้งที่แล้วแก้พิษดอกฉิงฮวาไม่หมดหรือไม่?”
เจียงหยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด สายตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย คล้ายนึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เขาหยิบตำราแพทย์มาเปิดอ่านอย่างละเอียด ใคร่ครวญอยู่นาน ทันใดนั้น สายตาพลันเป็นประกายขึ้นมา “ความรู้สึกเกิดจากหัวใจ หัวใจเต้นไปตามความรู้สึก จากนั้นจึงกลายเป็นแรงปรารถนา…ในตำราแก้พิษมีเพียงสามประโยคนี้เท่านั้น หรือว่ายังมีอีกหนึ่งประโยค แรงปรารถนาจำต้องปลดปล่อย?!”
แรงปรารถนาจำต้องปลดปล่อย? ซูหลี้อึ้งงัน ถึงแม้นางมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องชายหญิงไม่มากนัก แต่ก็พอเข้าใจความหมายโดยรวมของประโยคนี้ หัวใจพลันเต้นรัว หันมองตงฟางเจ๋อโดยสัญชาตญาณ สายตาร้อนแรงบีบคั้นผู้คนของเขาก็กำลังมองมาเช่นกัน นางรีบหลบสายตาทันที พวงแก้มเนียนขาวพลันร้อนผ่าว
กลีบปากของตงฟางเจ๋อพลันเผยอยิ้มเล็กน้อย พริบตาเดียวก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีถาม “หมอเทวดาเจียง ท่านแน่ใจหรือ?”
เจียงหยวนไม่ตอบ เพียงถามอย่างครุ่นคิด “อาการรุนแรงและควบคุมยากขึ้นทุกครั้ง ใช่หรือไม่?”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า “ถูกต้อง”
“เช่นนั้นก็น่าจะใช่แล้ว” นัยน์ตาของเจียงหยวนนิ่งขรึม เขากล่าวต่ออีกว่า “การแก้พิษในครั้งที่แล้ว ใช้เลือดของคนที่รักเป็นกระสายยา หัวใจเต้นไปตามความรู้สึก แรงปรารถนาบังเกิด แก้พิษดอกฉิงฮวาได้สำเร็จ แต่กลับถูกพิษรักจากคนรัก หากไม่ปลดปล่อยก็จะไม่หาย ในเมื่อพิษประเภทนี้มีชื่อว่าพิษรัก ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับแรงปรารถนาแน่นอน”
“แรงปรารถนา?” ซูหลีหัวใจเต้นเร็ว “หรือว่า…จำต้องให้สตรี…”
“ถูกต้อง” เจียงหยวนตอบอย่างมั่นใจ ทำให้ทั้งสองคนอึ้งงันไปพร้อมกัน
“ปลดปล่อยแรงปรารถนา ก็จะไม่มีผลข้างเคียงอื่นอีกแล้วหรือ?” ตงฟางเจ๋อถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ตามที่บันทึกไว้ในตำราแก้พิษเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ใช่ว่าปลดปล่อยกับสตรีใดก็ได้ จำต้องเป็นสตรีในดวงใจที่ใช้เลือดเป็นกระสายยาให้คุณชาย จึงจะได้ผล” เจียงหยวนหันมองซูหลี ใบหน้าฉายแววกังวลเล็กน้อย
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก เขามองซูหลีแวบหนึ่ง ถามว่า “หากไม่แก้ จะเป็นเช่นไร?”
เจียงหยวนเองก็หันมองซูหลีแวบหนึ่ง ตอบว่า “ก็ต้องดูว่าพิษในตัวคุณชายร้ายแรงถึงขั้นไหนแล้ว? หากยังสามารถควบคุมได้ ก็ยังถือว่าอยู่ในขั้นดี หากไม่อาจควบคุม ทำได้เพียงข่มกลั้นความเจ็บปวด ทันทีที่บาดเจ็บถึงร่างกาย ตลอดชีวิตอาจไม่สามารถร่วมรักก็เป็นได้!”
ร้ายแรงถึงขั้นนี้เชียวหรือ?! ซูหลีตกใจ พิษดอกฉิงฮวานี้ช่างประหลาดยิ่งนัก! ความคิดนับร้อยประดังประเดเข้ามา หัวใจสับสนยากจะอธิบาย สายตาร้อนแรงของตงฟางเจ๋อจ้องมองนางนิ่ง หัวใจเต้นโครมคราม ไร้ที่หลบเลี่ยง ความลนลานพลันบังเกิดในหัวใจ นางลุกพรวดกะทันหันจนเก้าอี้เกือบพลิกคว่ำ
“ขอบคุณหมอเทวดาเจียงมาก ข้า…ลาแล้ว” นางสาวเท้าออกจากเรือนอย่างรวดเร็ว หลบเลี่ยงสายตาร้อนแรงของเขาโดยสัญชาตญาณ
หวั่นซินรีบตามไป ตงฟางเจ๋อมองดูแผ่นหลังลนลานของนาง ครุ่นคิดพลางทอดถอนหายใจ “จำต้องเป็นนางเท่านั้นหรือ?”
เจียงหยวนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “หากคุณชายต้องการหาสตรีอื่นมาแทน ย่อมสามารถคลายความเจ็บปวดได้ชั่วคราว เพียงแต่ไม่อาจแก้ไขต้นตอของพิษรักได้อย่างแท้จริง มีเพียงสองฝ่ายเต็มไปด้วยความปรารถนา ความรักลึกซึ้ง แรงปรารถนาได้รับการปลดปล่อย จึงจะเป็นทางแก้ไขที่ถูกต้อง”
ใบหน้าตงฟางเจ๋อเคร่งขรึม เขาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงสาวเท้ายาวๆ ออกจากเรือนไป
รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไปบนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ พื้นที่กว้างขวางพลันแปรเปลี่ยนเป็นคับแคบขึ้นมา ซูหลีนั่งชิดผนังรถด้านหนึ่ง แหวกม่านหน้าต่างขึ้น สายตาจ้องมองหิมะด้านนอกที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ มือที่กำเข้าหากันแน่น แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่ไม่มั่นคงสุดขีด
คล้ายมองเห็นความขัดแย้งในใจนาง ตงฟางเจ๋อเอื้อมมือกุมมือนางเบาๆ ซูหลีกลับสะดุ้งตกใจ
เขาทอดถอนใจเสียงเบา “ซูซูไม่ต้องคิดมากเช่นนี้ ข้าไม่มีทางฝืนใจเจ้า”
ซูหลีหลุบตาต่ำ วาจาประโยคนี้อยู่ในความคาดหมายของนาง แต่เพราะเหตุใด หัวใจของนางจึงเป็นทุกข์เช่นนี้? ยามนี้ในเมื่อรู้ถึงความอันตรายของพิษรักแล้ว นางจะทนมองเขาทรมานเพราะพิษรักโดยไม่สนใจได้เช่นไร?! หากปล่อยไว้หนึ่งวัน ก็ยิ่งอันตรายกว่าเดิม เกิดเป็นอย่างที่เจียงหยวนพูดจริงๆ เขาได้รับบาดเจ็บจากการข่มกลั้นความทรมาน ไม่อาจร่วมรักได้อีกตลอดชีวิต สำหรับเขา นั่นเป็นผลลัพธ์ที่โหดร้ายที่สุด! แต่ว่า…แต่ว่าจะให้นางกับเขา…นางกลับหวาดกลัวอยู่บ้าง
ครั้นมองออกไปไกลๆ ก็เห็นว่ารถม้าใกล้จะเข้าเมืองแล้ว นางพลันร้องตะโกนเสียงดังเหมือนถูกผีเข้า “ไม่ต้องเข้าเมือง! กลับรถ!”
หวั่นซินอึ้งงัน “ท่านหญิง?”
รถม้าค่อยๆ หยุดจอด คล้ายไม่แน่ใจว่าควรขับไปทางไหน ซูหลีก้มหน้า กัดเม้มกลีบปากเบาๆ ไม่พูดอะไร นิ้วมือเรียวบางกำแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อ ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยามนี้กำลังต่อสู้กับตนเองอย่างรุนแรง คล้ายกำลังพยายามบังคับให้ตนเองเชื่อมั่นในความคิดบางอย่าง หัวใจพลันเต้นโครมครามอย่างไม่อาจควบคุม นางรวบรวมความกล้า เงยหน้ามองเขา
ยามนี้เป็นยามพลบค่ำ แสงสว่างในรถมืดสลัว มีเพียงนัยน์ตาดำขลับของเขาที่เปล่งประกายสับสน ทั้งประหลาดใจ และห่วงใย ทั้งยังมีความคาดหวังซ่อนอยู่รางๆ
เขาไม่พูดอะไร เพียงมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน คล้ายกำลังรอการตัดสินใจของนาง
“ไป…หุบเขาจู๋หลี…” ยามเอ่ยประโยคนี้ออกมา หัวใจของซูหลีสับสนไปทั้งดวง แต่นางไม่อยากเสียใจภายหลังอีกแล้ว จึงรีบสั่ง “หวั่นซิน ไปบ้านพักตากอากาศ เร็วเข้า”
ตงฟางเจ๋อเหมือนไม่มั่นใจในความหมายของนาง เขาลังเลครู่หนึ่ง กุมมือนาง แล้วขานเรียก “ซูซู?”
………………………………………………