กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 288 หม่อมฉันต้องการท่านอ๋อง! (1)
ซูหลีก้มหน้าด้วยความลนลาน ไม่กล้ามองเขา
รถม้าพุ่งทะยานด้วยความรวดเร็ว มุ่งหน้าสู่หุบเขาจู๋หลี หิมะค่อยๆ ซาลง ยามถึงบ้านพักตากอากาศ ด้านในเริ่มจุดโคมไฟกันแล้ว แสงไฟที่ไหวกระเพื่อมทำให้ซูหลีเหม่อลอยไปชั่วขณะ นางเองก็ไม่รู้ว่าจู่ๆ ตนเองมาที่นี่ทำไม เพียงแต่รู้สึกไม่อยากกลับเมืองหลวง ไม่อยากกลับจวนท่านหญิงหรือจวนอ๋อง ราวกับความวุ่นวายในสถานที่เหล่านั้นทำให้นางไม่สบายใจ
รถม้าหยุดจอด หวั่นซินกระโดดลงจากหัวรถ “บ่าวจะไปรายงาน ท่านหญิงกับท่านอ๋องโปรดรอสักครู่นะเพคะ”
หวั่นซินเดินเข้าไปเรียกคนหน้าประตู ท่ามกลางความมืด ตงฟางเจ๋อจ้องมองนางนิ่งๆ “เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
ซูหลีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “อื้ม”
เขาพลันกอดนาง นัยน์ตาลึกล้ำเปล่งประกายเจิดจรัสยามได้คำตอบจากนาง ราวกับดอกไม้ไฟกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่โดดเด่นสะดุดตา เขาหัวเราะเบาๆ พลันกระโดดขึ้นกลางอากาศ ร่างกายดั่งหมอกควันเบาหวิว โฉบลงจากรถม้า มุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
หวั่นซินหันกลับมาตะโกนเรียกอย่างตกใจ “ท่านหญิง! ท่านอ๋อง!”
ซูหลีกอดตงฟางเจ๋อแน่นโดยสัญชาตญาณ มองเห็นสายตาตกใจของหวั่นซิน ก็พลันหลุดหัวเราะออกมา หวั่นซินไม่ได้ไล่ตามไป เพียงทอดถอนใจเบาๆ หวังว่าการตัดสินใจของนางจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด
เขาโอบรัดเอวนางแน่น เคลื่อนตัวผ่านถนนกลางภูเขาอย่างรวดเร็ว หิมะโปรยปรายท่ามกลางแมกไม้ พระจันทร์สุกสกาวลอยเด่นกลางนภา ใต้ผืนฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงินยวง รอบข้างเงียบสงบ มีเพียงเงาร่างของเขากับนางที่กำลังเคลื่อนตัวภายใต้แสงสีเงินยวงนี้ แนบชิดจนมิอาจแยกจาก งดงามจนมิอาจบรรยาย ซูหลีพิงศีรษะกับหน้าอกเขา ความรู้สึกกระวนกระวายใจค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ
เขาหยุดเคลื่อนไหวในที่สุด ก้มหน้ามองนาง แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน “ถึงแล้ว”
ซูหลีเงยหน้ามอง สระน้ำพุร้อน! ที่แท้เขาต้องการพานางมาที่แห่งนี้เอง!
สระน้ำพุร้อนเป็นกระแสน้ำร้อนตามธรรมชาติที่อยู่กลางภูเขา ถึงแม้อากาศหนาวเหน็บ แต่ที่นี่กลับมีไอความร้อนอบอวลไปทั่ว ตรงขอบสระอบอุ่นเหมือนอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ มองออกไปไกลๆ เห็นยอดภูเขาสีขาวที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ กลับดูเหมือนแดนสวรรค์
“งามยิ่งนัก!” ซูหลีร้องออกมาด้วยความตกตะลึง
“ชอบหรือไม่?” เขากระซิบถามข้างหูนาง ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะใบหน้า ดึงสตินางกลับมาทันที
“อื้ม” นางก้มหน้า พวงแก้มแดงซ่าน
เขาหัวเราะเบาๆ ใบหน้าอิ่มเอิบดั่งดวงจันทร์ นัยน์ตาเปล่งประกาย ชวนหลงใหลเกินต้านทาน มือที่โอบแน่นตรงเอวนางกระชับเล็กน้อย เขากระซิบเสียงเบา “ซูซู เจ้าดีกับข้าถึงเพียงนี้ ข้าไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าแน่นอน!”
หัวใจของซูหลีสั่นไหว นางเงยหน้ามองเขา กล่าวว่า “อย่าสัญญาอะไรกับหม่อมฉันง่ายๆ หากวันข้างหน้าไม่อาจรักษาสัญญา หม่อมฉันจะผิดหวัง”
เขาคือฮ่องเต้ในอนาคต มีอุดมการณ์รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง หากต้องการสานฝันอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ย่อมต้องมีการเสียสละอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่มีใครคาดเดาได้ ว่าในอนาคต ความรักระหว่างเขากับนางจะกลายเป็นตัวถ่วงสู่ความสำเร็จของเขาหรือไม่
หากไม่มีคำสัญญา ก็จะไม่มีความคาดหวัง ภายหน้าหากความรักจืดจาง ก็ต่างคนต่างแยกทาง ไม่เหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกัน
แต่หากมีคำสัญญา ก็จะต้องรักษาสัญญานั้นไปชั่วชีวิต ไม่อาจคืนคำ มิเช่นนั้นนางจะเกลียดเขา และความรู้สึกเกลียดใครคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแม้แต่น้อย นางไม่อยากรู้สึกเช่นนั้นอีกเป็นหนที่สองแล้ว
ราวกับมองทะลุใจนางได้ ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างผิดหวัง “ซูซู เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ?” เขากุมมือนางแน่นขึ้น สายตาสะท้อนแววเจ็บปวดรางๆ
ซูหลีสบตาเขาตรงๆ แย้มยิ้มเล็กน้อย ชวนให้รู้สึกถึงกลิ่นอายเย็นชารางๆ “หม่อมฉันเพียงไม่อยากผิดหวังในภายภาคหน้า ยิ่งไม่อยากเกลียดท่านอ๋องเข้าในสักวัน ฉะนั้นหม่อมฉันจึงไม่เคยต้องการสิ่งใดจากท่านอ๋องเพคะ”
ไม่ต้องการสิ่งใดจากเขา หมายความว่าอาจหมุนกายเดินจากเขาไปได้ทุกเมื่องั้นหรือ? สตรีที่เคยให้ความสำคัญแก่ความรัก ยามนี้กลับเฉยชายิ่งนัก เป็นเรื่องที่ยากจะรับได้ หัวใจของตงฟางเจ๋อหนักอึ้ง เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้านึกว่าหากเจ้าต้องการสิ่งใดจากข้า ก็แสดงว่าเจ้าอยากอยู่กับข้าไปตลอดกาล”
เขากับนาง ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย ยามที่เขาลำบากที่สุด นางเลือกที่จะช่วยเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ตงฟางจั๋วบีบบังคับฮ่องเต้ให้สละราชบัลลังก์ นางก็ยังเลือกที่จะอยู่ข้างเขาอย่างหนักแน่น กระทั่งเพื่อช่วยเขาแก้พิษในร่างกาย นางก็ยังยอมแลกแม้กระทั่งเรือนร่างอันบริสุทธิ์ของนาง…หากเป็นสตรีทั่วไป ต้องฉวยโอกาสนี้ผูกมัดด้วยคำสัญญา แต่นางกลับกลัวการสัญญา ไร้ซึ่งความต้องการใดๆ เช่นนั้นหัวใจของนาง…ยังคงหวาดระแวงอยู่ใช่หรือไม่?
คำสัญญาสองปีที่พวกเขาตกลงกันในโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำ นางยังคงจดจำขึ้นใจเสมอ เขาจ้องนัยน์ตากระจ่างใสของนาง พลันนั้นความคิดประหลาดอย่างหนึ่งพลันผุดขึ้นมา หรือนางเตรียมตัวที่จะยกเลิกงานแต่งและพร้อมจะไปจากเขาตลอดเวลา?!
หัวใจพลันเจ็บปวดยากบรรยาย เรื่องราวเหล่านี้ เพียงแค่คิด เขาก็ยากจะทำใจยอมรับได้แล้ว ตงฟางเจ๋อบังคับตนเองให้ปล่อยนาง แล้วกล่าวอย่างแช่มช้า “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะไม่ฝืนใจเจ้า ถ้าหากทำเพียงเพื่อแก้พิษ เจ้า…ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้”
ซูหลีอึ้งงัน กัดเม้มกลีบปาก ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกขมปร่า
เขากลับปฏิเสธนาง!
เขาถอยหลังสองก้าว เพียงมองนางนิ่งๆ ไม่พูดอะไรอีก ถ้าหากไม่อาจเปิดใจให้กัน แม้ได้เรือนร่างนางมาครอบครอง ก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่ร่างกายนาง แต่ยังมีความจริงใจจากนางด้วย!
ซูหลีสูดหายใจเบาๆ ขยับปาก แต่กลับไม่อาจเอ่ยวาจา เพราะคำสัญญาประโยคเดียว เขากลับสามารถบังคับตนเองให้ปล่อยมือได้? เขายึดมั่นในตัวนางถึงเพียงนี้แล้วหรือ?
ภายใต้แสงจันทร์สีเงินยวง ท่ามกลางหิมะสีขาว ดวงหน้าของเขากลับดูราวกับหิมะ เย็นชา ไร้อารมณ์ บนหน้าผาก พลันมีเม็ดเหงื่อผุดพราย เขาหอบหายใจ ถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ฝีเท้าโซเซ คล้ายไม่ค่อยมั่นคง
ซูหลีตกใจ รีบพุ่งตัวเข้าไปหมายจะประคองเขา “ท่านอ๋องเป็นอะไรไปเพคะ?”
เขากลับถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว คล้ายกลัวการสัมผัสจากนาง เอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้าไม่เป็นไร”
มือของซูหลีที่เอื้อมออกไป ค้างเติ่งกลางอากาศ ครั้นเห็นเม็ดเหงื่อไหลลงจากหน้าผากเขา คล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดมหาศาลอย่างสุดกำลัง ซูหลีปวดใจ เข้าไปประคองเขาแล้วตำหนิ “จะไม่เป็นไรได้อย่างไรเพคะ? เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย”
ตงฟางเจ๋อกลืนน้ำลาย พลันก้มหน้ามองนาง น้ำเสียงแหบพร่ากว่าเดิม “อย่าแตะต้องตัวข้า เจ้าลงจากเขาไปเถิด เซิ่งฉินอยู่ใกล้ๆ ข้าจะเรียกเขามารับเจ้าเอง”
เมื่อครู่ใบหน้าหล่อเหลายังดูมีชีวิตชีวาชวนหลงใหล ยามนี้กลับซีดขาวดั่งหิมะ ไร้ซึ่งสีเลือดฝาด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดมากมายขนาดไหน! หากจะโทษ ก็ต้องโทษที่ยามเขาพานางขึ้นเขามา นางไม่มีท่าทีปฏิเสธเขาแม้แต่น้อย แรงปรารถนาบังเกิดแต่แรกแล้ว ยามนี้หมายจะถอนตัว คงไม่ง่ายขนาดนั้น! เจียงหยวนเคยบอก หากพิษรักนี้กำเริบ จะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ครั้นฝืนใจข่มกลั้น รังแต่จะส่งผลเสียต่อร่างกาย!
ซูหลีปวดใจ กอดเขาอย่างไม่ลังเลอีก! ในใจนึกตำหนิตนเอง ในเมื่อนางเต็มใจมากับเขา ก็ควรตัดสินใจให้ได้แต่แรก จะมัวลังเลอะไรอยู่อีก?
ตงฟางเจ๋อหอบหายใจหนักหน่วง หมายจะผลักนางออก แต่ก็กลัวว่าหากสัมผัสนางแล้วจะยิ่งสูญเสียการควบคุมตนเอง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทำได้เพียงเอ่ยคำหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้า…”
ซูหลีเงยหน้ามองเขา ความเย็นชาในสายตาค่อยๆ จางไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความหนักแน่นและร้อนแรง กลีบปากนิ่มนวลดั่งบุปผาขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับความหอมหวนของสตรี ตงฟางเจ๋อไม่อาจข่มกลั้นได้อีก โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน กลีบปากร้อนแรงกดทับลงมาอย่างรวดเร็ว
จูบอันร้อนแรงและกะทันหัน เหมือนดั่งมีกระแสไฟฟ้าที่แผ่กระจายไปทั่วตัว ซูหลีตัวสั่น หลับตาโดยสัญชาตญาณ แขนแกร่งที่เอวกระชับแน่นขึ้นอีกหลายส่วน ราวกับต้องการหลอมร่างนางเป็นหนึ่งเดียวกันเสียเดี๋ยวนั้น!
……………………………………………………