กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 290 ความอ่อนโยนหลังภัยพิบัติ (1)
ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ อย่างไม่อาจควบคุม น้ำตาร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสายราวกับสร้อยไข่มุกที่ขาดสะบั้น ความเจ็บปวดและความรู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงที่เคยซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ได้กดดันและสั่งสมมาเนิ่นนานจนหนักหนาเกินกว่าที่นางจะแบกรับไหว นึกไม่ถึงว่ามันจะระเบิดออกมาอย่างกะทันหันในเวลาเช่นนี้ ระเบิดออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ตงฟางเจ๋อตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น! เขารู้สึกได้ว่าคนใต้ร่างกำลังสะอื้นไห้อย่างไร้เสียง เขาทั้งตกใจและปวดใจ รีบผละถอยออกไปหอบหายใจด้านหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบา “เจ้าไปเถิด รีบไปเร็วเข้า!”
ความเจ็บปวดหายไปแล้ว ความผิดหวังกลับเข้ามาแทนที่ ซูหลีเบิกตากว้าง กล่าวเสียงสั่น “ท่าน…”
บอกให้นางไปในเวลานี้ เขาอยากตายหรืออย่างไร?
“ไป!” เขาคำรามเสียงต่ำ นัยน์ตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เขาสั่นไปทั้งตัว ความเจ็บปวดรุนแรงจนถึงขีดสุด สองมือกำขอบสระไว้แน่น แทบจะทรงตัวไม่อยู่ ร่างกายตึงเกร็งเหมือนเชือกที่ถูกขึงจนตึง ราวกับหากแตะต้องอีกนิดเดียวก็จะขาดผึงได้ทันที!
หัวใจอันสั่นไหวของซูหลีพลันสงบลงหนึ่งส่วน นางรู้สึกว่าตนเองช่างโหดร้ายนัก! เขาทำร้ายนางไม่ลง อดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับถูกนางหยอกเย้าครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน! ถึงแม้อย่างนั้น เขาก็ยังไม่ยอมทำร้ายนางแม้แต่น้อย! วินาทีนี้นางรับรู้อย่างชัดแจ้ง หากนางจากไปเช่นนี้จริงๆ นางต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่นอน!
ฉะนั้นนางจึงรีบสงบจิตใจ แล้วโอบกอดเขาอีกครั้งอย่างหนักแน่น พร้อมกับกล่าวเสียงเบา “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันต้องการท่านอ๋อง”
“เจ้า?!” เขาอึ้งงันด้วยความตกใจ สตรีที่ร้องไห้อยู่ใต้ร่างเขาเมื่อครู่ ยามนี้กลับบอกว่าต้องการเขา?
ด้วยนิสัยของนาง แค่ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่มีทางทำให้มีปฏิกิริยาเช่นนั้นแน่ แต่เพราะเหตุผลใด ถึงได้ทำให้นางร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุมขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังสุขสมเช่นนั้น? เขาไม่เคยเห็นนางเป็นอย่างนี้มาก่อน ท่ามกลางความสับสนทำอะไรไม่ถูก เขาทำได้เพียงพยายามควบคุมตนเองให้ออกห่างจากนางอย่างสุดชีวิต
ซูหลีรวบรวมความกล้าเงยหน้าจูบกลีบปากเขา การกระทำของนางไม่ช่ำชอง แต่กลับร้อนแรงราวกับต้องการระบายอารมณ์ที่ยากจะปลดปล่อยออกมาจากก้นบึ้งหัวใจด้วยวิธีการนี้
เพลิงรักถูกจุดขึ้นอีกครั้งภายในเสี้ยววินาที ตงฟางเจ๋อชะงักไปชั่วขณะ แรงปรารถนาในใจพลันปะทุ กลืนกินสติปัญญาของเขาจนหมดสิ้น เขากอดนางแน่น จู่โจมอย่างดุดันและรวดเร็ว ไร้ซึ่งความลังเล…
ลมหายใจสะดุด ความรู้สึกอันร้อนแรงถูกปลดปล่อย ในค่ำคืนอันเงียบงันและสงบสุข
ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน เขาและนางกลับไม่ยอมหลับใหล
ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่หลงเหลืออีกแล้ว นางอ่อนแรงไปทั้งตัว ทิ้งตัวพิงอยู่ในอ้อมแขนเขา ไม่อยากขยับแม้แต่น้อย
ท่ามกลางน้ำพุร้อนอุ่นๆ และแสงจันทร์สว่างไสว เขาโอบกอดนาง นัยน์ตาอบอุ่นจนไม่เหมือนเขา
อ้อมกอดของเขาอบอุ่นแข็งแรง เหมือนที่หลบภัยอันมั่นคง ใบหน้านางแนบชิดกับแผงอกกำยำ หลับตานิ่ง ฟังเสียงหัวใจอันทรงพลังของเขาที่ค่อยๆ สงบลง วินาทีนี้ ความอยุติธรรมและความเจ็บปวดที่เคยได้รับ แล้วยังมีฝันร้ายที่ไม่กล้าเผชิญหน้ามาโดยตลอด เหมือนได้จากนางไปจนสิ้นแล้ว มีเพียงความอบอุ่นจากร่างกายของเขาเท่านั้น ที่ห่อหุ้มหัวใจของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ซูซู” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะ มือข้างหนึ่งของเขาโอบเอวบอบบางของนางแน่น มืออีกข้างลูบไล้เส้นผมที่เงางามดั่งแพรไหมของนางเบาๆ
ซูหลีรับคำว่า “อืม” เบาๆ ไม่ได้เงยหน้า
“เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?” หลังผ่านศึกอันร้อนแรงมา เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่า ยั่วยวนชวนหลงใหล
ซูหลีสะดุดใจ ถามโดยสัญชาตญาณ “เชื่ออะไรเพคะ?”
“เชื่อว่าข้าไม่มีทางทอดทิ้งเจ้า”
ซูหลีเงียบงัน เนิ่นนานก็ยังไม่พูดอะไร
สายตาของตงฟางเจ๋อหมองลงเล็กน้อย เชยคางนางขึ้น ประกบจูบลงไปอย่างรวดเร็ว ขบเม้มกลีบปากแดงๆ ของนาง ไม่แรงหรือเบาเกินไป คล้ายต้องการลงโทษนาง
นางผลักเขาไม่ออก ทำได้เพียงยอมรับ ร่างกายที่ไวต่อความรู้สึกกลับสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาใกล้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้ว นางตกใจ รีบผลักเขาออก แล้วถอยหลังไปอีกด้าน “ยังแก้พิษไม่สำเร็จอีกหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร แขนใหญ่เอื้อมไปดึงสตรีที่ถอยห่างให้กลับมา ก่อนจะกดร่างนางไว้กับขอบสระ
ซูหลีสูดหายใจ รีบหยุดมือที่กำลังล่วงเกินนางอย่างไม่เกรงกลัวอะไรอย่างแตกตื่น ตะโกนด้วยความลนลาน “อย่านะเพคะ!” พวงแก้มงามเริ่มแดงซ่านด้วยความเขินอาย งามเพริศพริ้ง ยั่วยวนยากจะทานทน
ตงฟางเจ๋อหัวเราะ หอมแก้มนางเบาๆ จากนั้นกลีบปากอุ่นๆ ก็ขบเม้มติ่งหูเล็กๆ ของนางอีกครั้ง
ซูหลีสะท้านไปทั้งตัว ได้ยินเพียงเขากระซิบข้างหู “เมื่อครู่…ผู้ใดกันบอกว่าต้องการข้า?”
ใบหน้าของซูหลีแดงก่ำในพริบตา ถูกเขาหยอกเย้าจนอ่อนระทวยไปทั้งตัว จั๊กจี้จนยากจะทน นางหลบเลี่ยงเขาอย่างสุดชีวิต โวยวายออกไปโดยสัญชาตญาณ “อย่าล้อเล่นอีกเลยเพคะ”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะร่าเริง ประทับจูบหนักๆ ลงบนกลีบปากนางหนึ่งครั้ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบาด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง “ซูซู เจ้า…จะทอดทิ้งข้าไปไม่ได้ รับปากข้าสิว่าจะอยู่กับข้า ไม่หนีจาก ไม่ทอดทิ้ง”
เขาโลภมากเช่นนี้ ไม่เพียงต้องการให้นางเชื่อใจในคำสัญญาของเขา ยังต้องการให้นางเอ่ยปากสัญญาด้วย สร้างพันธะระหว่างพวกเขา ให้ชะตาชีวิตผูกพันกันอย่างไม่อาจแยกจากนับตั้งแต่นี้ไป
ซูหลีหัวใจเต้น แหงนหน้าขึ้นยิ้มแล้วมองเขา “ขอเพียงท่านอ๋องไม่ทอดทิ้งหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่ทอดทิ้งท่านอ๋อง! หากท่านอ๋องทอดทิ้งหม่อมฉัน…”
สายตานางไหวระริกเล็กน้อย วาจาประโยคนั้น นางไม่ได้เอ่ยต่อจนจบ ตงฟางเจ๋อกอดนางแน่นๆ ถอนหายใจอย่างอ่อนโยนบนศีรษะนาง นางดีกับเขาถึงเพียงนี้ เขาจะทอดทิ้งนางได้เช่นไร?!
โอบกอดหญิงงามไว้ในอ้อมแขน เขาแย้มยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ จมดิ่งสู่ความเปรมปรีดิ์ที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ครั้นสัมผัสได้ถึงความรักอันอบอุ่นที่ห่อหุ้มอยู่รอบกายของชายหนุ่ม หัวใจของซูหลีพลันอ่อนยวบ ยามนี้ความรักกำลังเบ่งบาน นางไม่อยากคิดมาก จึงยกมือกอดเขาตอบแน่นๆ เช่นกัน
แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่องทั่วผืนฟ้ายามราตรี ท้องฟ้าหลังหิมะตกเปิดโล่ง งดงามเหนือคำบรรยาย
อากาศในสระน้ำพุร้อนแม้อบอุ่นเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ซูหลีก็ยังตากลมอยู่บ้าง ระหว่างทางกลับจวนนางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ครั้นถึงห้องนอนก็ล้มตัวลงนอนอย่างสะลึมสะลือ หวั่นซินตรวจชีพจรนาง วินิจฉัยว่าอาจเป็นเพราะถูกลมหนาว
ตงฟางเจ๋อกลับไม่วางใจ เรียกหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน หลังตรวจอาการ หมอหลวงแจ้งว่าท่านหญิงไม่ได้เป็นอะไรมาก ได้จ่ายสำรับยากล่อมประสาทให้ บอกว่ากินติดต่อกันหลายวันก็จะดีขึ้น เขาจึงค่อยคลายใจ
ล้มป่วยครั้งนี้กินเวลาไปนานหลายวัน ทุกวันหลังสะสางราชกิจในวัง ตงฟางเจ๋อมาเยี่ยมนางและอยู่เป็นเพื่อนนางพักหนึ่งเสมอ ความห่วงใยและความเอาใจใส่ของเขา ทำให้หัวใจของนางอบอุ่นขึ้นทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว
พริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งแล้ว เพราะฮ่องเต้ประชวร เทศกาลหยวนเซียว[1]ที่มีปีละครั้งในเมืองหลวงจึงถูกยกเลิกไป เหล่าชาวบ้านในเมืองหลวงเพียงแขวนโคมหลากสีในบ้านของตนเองเพื่อเพิ่มบรรยากาศของเทศกาล และเฉลิมฉลองกันอย่างเงียบๆ จวนท่านหญิงก็ไม่ต่างกัน หยางเสวียนฉลองปีใหม่ในแคว้นเฉิงเป็นครั้งแรก มีขนบธรรมเนียมและประเพณีหลายอย่างที่ต่างจากแคว้นเปี้ยน ทำให้นางรู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก ทั่วจวนเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน นางตกแต่งและประดับประดาด้วยความกระตือรือร้น บรรยากาศหดหู่และอึมครึมก่อนหน้านั้นจึงจางหายไปในพริบตา
ตงฟางเจ๋อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังตามระเบียบงาน จึงไม่มีเวลาว่างแวะมา หลังงานเลี้ยงยามค่ำ อาการป่วยของซูหลียังไม่หายดีนัก จึงขอตัวกลับไปพักที่เรือนก่อน นางยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ยืนเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น กลีบปากบางเผยอขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มหดหู่เศร้าสร้อย ช่วงเวลาที่คนในครอบครัวควรรวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เพราะเหตุพลิกผันครั้งหนึ่ง นางกลับต้องอยู่กับคนแปลกหน้า
ที่ที่อยากหวนคืนมิอาจหวนคืนได้อีกแล้ว ที่ที่สามารถกลับไปได้นางกลับไม่อยากกลับไป
เรื่องราวในอดีตเหมือนดั่งความฝันตื่นหนึ่ง
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลากินยาแล้วเจ้าค่ะ” โม่เซียงเดินถือถ้วยยาเข้ามา ซูหลีถอนหายใจเบาๆ มองดูยาถ้วยนั้น ปากก็พลอยรู้สึกขมฝาดไปด้วย ยากล่อมประสาทที่หมอหลวงจ่ายให้ได้ผลดังคาด ดื่มไปไม่นาน ซูหลีก็รู้สึกหนักอึ้งที่หัว จึงขึ้นเตียงพักผ่อน
…………………………………………………
[1] เทศกาลหยวนเซียว หมายถึงเทศกาลเฉลิมฉลองที่พระจันทร์เต็มดวงเป็นครั้งแรกของปี