กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 291 ความอ่อนโยนหลังภัยพิบัติ (2)
โม่เซียงห่มผ้าให้นางเบาๆ ก่อนจะถอยออกจากห้องไปอย่างเบาเสียง
ไม่ทันรู้ตัว ซูหลีเข้าสู่ห้วงหลับใหลไปอย่างสะลึมสะลือ เหมือนนางยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ทุกอย่างเลือนรางไม่ชัดเจน ลึกเข้าไปในหมอกหนา มีดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่นางเขม็ง นางได้ยินเสียงหัวเราะเย็นๆ ดังออกมาจากหมอกหนา พลันนั้นเสียงหัวเราะกลายเป็นปีศาจร้ายหน้าตาบิดเบี้ยว เอื้อมมือมาบีบคอนางแน่น
นางมิอาจหายใจ ความทรมานจากการขาดอากาศหายใจทำให้เหงื่อไหลท่วมกาย นางผุดลุกขึ้นนั่ง กระแอมไอหลายครั้งติดกัน สายตาไหวระริก สังเกตเห็นมุ้งที่ถูกปลดลงมีควันสีขาวกลุ่มหนึ่งแทรกตัวเข้ามา แล้วยังมีประกายสีแดงสะดุดตาปรากฏให้เห็นรางๆ นางตึงเครียด รีบยกมือแหวกมุ้งออก กลุ่มควันสีขาวพุ่งปะทะเข้ามาทันที!
ซูหลีอึ้งงัน นอกหน้าต่างที่ปิดสนิท กลับมีแสงไฟสว่างเจิดจ้า เปลวเพลิงอันร้อนแรงพุ่งทะลักเข้ามาในห้องผ่านขอบหน้าต่าง! ราวกับอสูรกายร้ายที่ต้องการกลืนกินผู้คน! นางยังคงรู้สึกศีรษะหนักอึ้ง ประสิทธิภาพของยากล่อมประสาทยังไม่หมดไป นางกัดฟันรวบรวมสติ พยายามลุกออกจากเตียง แล้วพุ่งตัวไปเปิดประตูห้องด้านใน
ไอความร้อนแผ่เข้ามาพร้อมกับกลุ่มควันหนาแน่น ซูหลีผงะถอยหลังหลายก้าว พวงแก้มถูกไฟลวกจนร้อนไปหมด ทว่าร่างกายกลับหนาวสั่น ควันมากมายขนาดนี้ แทบมองไม่เห็นสถานการณ์ในห้องแม้แต่น้อย รู้สึกได้แค่ว่าไฟไหม้รุนแรงมาก! ฝืนวิ่งออกไปรังแต่จะเป็นการรนหาที่ตาย แต่หากไม่คิดหาหนทางเอาชีวิตรอด ในนี้ก็ไม่มีที่ปลอดภัยพอที่จะให้นางซ่อนตัวได้ ชั่วขณะหนึ่ง นางตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อากาศในฤดูหนาวแห้งกร้าน ลมหนาวกรีดพัดหวีดหวิว เปลวไฟที่เดิมก็รุนแรงอยู่แล้ว ครั้นถูกลมพัดก็ยิ่งโหมกระพือสูงขึ้นไปอีก ยอดเพลิงกระพือสูงจนกลืนกินคานห้องในพริบตา
ในห้องถูกปกคลุมไปด้วยควันหนา ซูหลีหายใจลำบาก ทางลับสู่จวนเจิ้นหนิงอ๋องที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นลม หลังจากที่ตงฟางเจ๋อพ้นโทษก็ถูกปิดตายไปแล้ว ทางหนีที่ดีที่สุดถูกตัดขาด สวรรค์ช่างเมตตานางยิ่งนัก!
ทันใดนั้น เสียงตีฆ้องรัวๆ ดังเข้ามาจากด้านนอก ‘เกร๊งๆๆๆๆ’ มีคนตะโกนเสียงดัง “รีบตักน้ำมาเร็ว รีบมาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า!” ไม่นาน เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายก็พลันดังขึ้นในสวน คล้ายมีคนวิ่งเข้ามามากมาย
“คุณหนู! คุณหนูอยู่ไหนเจ้าคะ?” หวั่นซินขานเรียกนางอย่างร้อนใจ
“ไฟไหม้รุนแรงเกินไปแล้ว เจ้าเข้าไปไม่ได้” เสียงของหยางเสวียนดังขึ้น เหมือนนางกำลังรั้งตัวหวั่นซินที่หมายจะพุ่งตัวเข้ามาอย่างวู่วาม
“ข้า…แค่กๆ…” ซูหลีอ้าปากตอบ ควันกลุ่มหนึ่งกลับไหลเข้าไปในปอดอย่างไม่ทันระวัง แสบร้อนจนปวดคอ นางไอติดกันหลายครั้ง ไม่สามารถพูดอะไรได้ นางพลันนึกถึงอ่างทองแดงที่วางอยู่ตรงมุมห้องด้านนอก ความคิดพลันบรรเจิด รีบยกมือปัดควันเบื้องหน้าสุดกำลัง เดินเลี่ยงเปลวเพลิงบนพื้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็รีบหยิบผ้าที่พาดอ่างทองแดงจุ่มลงไปในน้ำให้ชุ่ม แล้วยกขึ้นปิดจมูก ทำให้หายใจคล่องขึ้นหลายส่วน
ลานด้านนอกโกลาหลวุ่นวาย คนหลายสิบคนวิ่งอย่างสุดชีวิต สาดน้ำใส่ทะเลเพลิงอย่างต่อเนื่อง ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ควันในเรือนกลับยิ่งหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม
ด้านนอกเสียงดังมาก เสียงร้อนรนของหวั่นซินกับหยางเสวียนดังเข้ามาเป็นระยะ ทว่ากลับได้ยินไม่ชัดว่าพวกนางกำลังพูดอะไร
หมอกควันเบื้องหน้าหนาแน่น สถานการณ์ไฟไหม้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซูหลีนั่งอยู่ตรงมุมห้อง มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนราง ชั่วขณะหนึ่ง นางราวกับได้ยินเสียงหยางเสวียนตะโกนเรียกเสียงดัง “เจิ้นหนิงอ๋อง!”
นอกหน้าต่าง เสียงสนั่นเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น คลื่นน้ำระลอกใหญ่ผสมกับแผ่นน้ำแข็งมากมายไหลทะลักเข้ามาในหน้าต่างพร้อมกับเสียง ‘โครม’ ดังกัมปนาท เหมือนคลื่นอันเชี่ยวกรากยามน้ำขึ้นซัดเข้ามา เปลวเพลิงพลันอ่อนลงหลายส่วน!
“ซูซู เจ้าอยู่ที่ใด?!” เงาร่างสูงใหญ่สีดำพุ่งตัวเข้ามาปานนกเหยี่ยวที่กางปีกแหวกว่ายกลางอากาศ
ตงฟางเจ๋อ!
สติอันพร่าเลือนของซูหลีพลันกระจ่างขึ้นมาในทันที นางรีบตะโกนบอก “หม่อมฉันอยู่นี่ แค่กๆ…”
ตงฟางเจ๋อมองไปตามเสียง ดวงตาคมปลาบดั่งนกเหยี่ยว ยกมือปัดหมอกควันออก มองเห็นเงาร่างบอบบางขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง เขายกเท้าเตะชั้นวางหนังสือที่ถูกไฟไหม้จนพลิกคว่ำ แล้วดึงนางเข้ามากอดทันที!
ซูหลีพิงอกเขา ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นอย่างบ้าคลั่ง เห็นชัดว่าแตกตื่นสุดขีด นางพลันค้นพบว่าอาภรณ์บนกายเขาเปียกชุ่มไปหมด เย็นเฉียบดั่งน้ำแข็ง คล้ายเพิ่งตกน้ำมาก็ไม่ปาน! นางตัวสั่นสะท้าน นึกถึงเสียงดังกัมปนาทเมื่อครู่ หัวใจของนางพลันกระจ่าง ทว่ากลับหายใจอย่างอ่อนแรง เอ่ยวาจาออกมาไม่ได้สักคำ
ตงฟางเจ๋อก้มหน้าประกบกลีบปากที่กำลังสั่นเทาของนาง ถ่ายเทลมหายใจอันอบอุ่นให้นาง
เหตุการณ์นี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบวั่งเยวี่ยไม่มีผิด! ความทรมานจากการขาดอากาศหายใจบรรเทาลงแล้ว สติอันตึงเครียดของซูหลีผ่อนคลายลงในที่สุด สติสัมปชัญญะกลับยังคงเลือนรางอยู่บ้าง
ตงฟางเจ๋อพลันปล่อยมือ รีบถอดเสื้อคลุมออก แล้วใช้มันโอบร่างนางอย่างแน่นหนา ก่อนจะอุ้มนางขึ้น แล้วพุ่งตัวไปยังเส้นทางเดิมที่เข้ามายังไม่ลังเล
ลมจากทิศเหนือกรีดพัดผ่าน เปลวเพลิงอ่อนๆ เมื่อครู่พลันลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ตงฟางเจ๋อสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แขนที่โอบกอดซูหลีกระชับแน่นขึ้น ร่างกายหมุนพลิ้วกลางอากาศ เปลวไฟรุนแรงโชติช่วงถูกแผ่นหลังของเขาบดบังจนมิด ความเร็วกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย เขาพุ่งตัวไปทางหน้าต่างอย่างไม่รั้งรอ!
เงาร่างสูงใหญ่ของเขาทิ้งตัวลงบนลานด้านหน้า หยางเสวียนกับหวั่นซินรีบล้อมวงเข้ามา
“คุณหนูเจ้าคะ!” ครั้นเห็นซูหลีปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน สีหน้าแตกตื่นลนลานของหวั่นซินจึงค่อยคลายใจลง
ตงฟางเจ๋อสัมผัสได้ว่าซูหลีที่อยู่ในอ้อมแขนตนเองกำลังตัวสั่น ก็รีบกล่าวด้วยใบหน้าตึงเครียด “กลับจวนข้าแล้วค่อยคุยกัน”
หยางเสวียนจ้องเงาร่างของตงฟางเจ๋อที่พุ่งทะยานจากไปด้วยความเร็ว ก่อนจะหายลับไปนอกกำแพงอย่างครุ่นคิด ถึงขั้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ
กว่าซูหลีจะได้สติ ก็ผ่านไปกว่าครึ่งคืนแล้ว นางค่อยๆ ลืมตา ในห้องนอนกว้างขวางสะดวกสบาย เงียบสงบ ตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าประณีต เต็มไปด้วยกลิ่นอายบุรุษเพศ กลับเป็นห้องนอนของตงฟางเจ๋อ
ในห้องไม่มีผู้ใดอยู่ นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง รู้สึกแสบคอเล็กน้อย ขณะกำลังจะลงจากเตียง เงาร่างของตงฟางเจ๋อพลันโฉบไหวเข้ามา พริบตาเดียวก็มายืนอยู่หน้าเตียงแล้ว
เห็นนางฟื้น ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความยินดี รีบดึงนางเข้ามากอด แล้วกล่าวถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอย่างไรบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
ซูหลีนิ่งอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา ในใจพลันรู้สึกสงบสุข นางส่ายหน้าเบาๆ “หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” เสียงนางแหบแห้งเล็กน้อย นางลอบถอนใจ เขาช่วยนางไว้โดยไม่สนอันตรายใดๆ อีกครั้งแล้ว!
“โชคดีที่ไม่มีอันตรายมาก ข้าตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว บนตัวเจ้าไม่มีบาดแผล เพียงแต่อาการป่วยจากครั้งที่แล้วยังไม่หายดี ยามนี้โดนความเย็นอีก ยังต้องพักฟื้นอีกหลายวัน” เขากระซิบบอกนางเสียงเบา
ตรวจสอบดูแล้ว?! ซูหลีตัวแข็งค้าง
“อายหรือ?” เห็นใบหูนางแดงก่ำ ตงฟางเจ๋อหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก?”
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ เคลื่อนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งเล็กน้อย “เรายังไม่ได้แต่งงานกัน หากถูกคนรู้…จะไม่ดีเพคะ” นางพลันรู้สึกเจ็บคอ อดไม่ได้ที่จะไอติดกันหลายครั้ง
ตงฟางเจ๋อรีบรินชาให้นาง ครั้นนึกถึงเหตุการณ์อันตรายเมื่อวาน รอยยิ้มในดวงตาพลันจางหาย “เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวานไม่ใช่อุบัติเหตุ”
“หม่อมฉันรู้เพคะ” ซูหลีจิบชาหลายคำ ก็รู้สึกสบายคอขึ้นมาบ้างแล้ว จึงกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า “เมื่อคืนแม้ลมแรง แต่ในห้องหม่อมฉันไม่ได้จุดไฟ ถึงแม้ไฟจากโคมในสวนถูกพัดมาก็ไม่น่าจะไหม้รุนแรงขนาดนั้น ประเด็นสำคัญคือ…หม่อมฉันได้กลิ่นดินประสิวในควันไฟด้วยเพคะ! เพียงแต่หม่อมฉันนึกไม่ออก ว่าผู้ใดกันที่มีความแค้นใหญ่หลวงขนาดนี้กับหม่อมฉัน จนถึงขั้นต้องลงมือในจวนเช่นนี้”
…………………………………………………..