กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 293 ค่ำคืนของเขากับคนอื่น (2)
ซูหลีตระหนักได้ ถึงแม้หยางเสวียนจะเป็นคนซุกซน แต่นางประพฤติตนเหมาะสมมาโดยตลอด หากไม่มีเรื่องใด เกรงว่านางคงไม่ตามหาอยู่นานเช่นนี้ ครั้นนึกได้ว่าตนเองติดหนี้บุญคุณนางครั้งหนึ่ง ซูหลีก็รีบลุกขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงมีเรื่องใด หากสามารถช่วยได้ ซูหลีไม่มีทางบ่ายเบี่ยงแน่นอนเพคะ”
“ท่านหญิงปราดเปรื่องดังคาด! เช่นนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อมแล้ว” หยางเสวียนดวงตาเป็นประกาย ก้าวเท้าเข้ามากล่าวกับนางอย่างตรงไปตรงมา “ข้าชอบพังพอนหิมะที่สุด ได้ยินว่าสนามล่าสัตว์ที่ภูเขาฉีซานมีพังพอนหิมะปรากฏตัว ยามนี้หิมะหยุดแล้ว กอปรกับเข้าสู่ช่วงผสมพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิพอดี เป็นโอกาสดีที่จะจับพังพอนหิมะ…”
จับพังพอนหิมะ?
ซูหลีอึ้งงัน อดไม่ได้ที่จะหันไปสบตากับตงฟางเจ๋อ ต่างก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ พวกเขาอยู่ในฐานะที่ติดหนี้บุญคุณนาง แต่นางกลับให้พวกเขาช่วยจับพังพอนหิมะ? หยางเสวียนผู้นี้ช่างทำให้ผู้อื่นประหลาดใจได้เสมอ
ครั้นเห็นทั้งสองคนไม่พูดอะไร หยางเสวียนเบิกดวงตาคู่งามกว้าง ร้องโวยวาย “เป็นไปไม่ได้กระมัง คำขอร้องง่ายๆ แค่นี้พวกท่านจะไม่ยอมช่วยเชียวหรือ?”
ก็เพราะว่าง่ายเกินไปอย่างไรเล่า! ง่ายจนทำให้คนแปลกใจ
ซูหลีครุ่นคิด แย้มยิ้มเล็กน้อย “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าเพคะ ในเมื่อหม่อมฉันเคยรับปากองค์หญิงแล้ว ย่อมต้องทำตามสัญญา” เอ่ยจบ ก็หันไปมองตงฟางเจ๋อ “ท่านอ๋องทรงเห็นว่าอย่างไรเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อครุ่นคิด ไม่นานก็พยักหน้า “ในเมื่อซูซูเห็นงามแล้ว ข้าย่อมไม่มีความเห็นต่างออกไป ข้าจะกำชับให้เตรียมพร้อม วันหลังก็ออกเดินทางแต่เช้า…”
“วันหลังอะไรเล่า วันนี้เลย!” หยางเสวียนหัวเราะอย่างเบิกบาน นางล้วงขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วกล่าวว่า “ยังต้องเตรียมพร้อมอันใดอีก? มีสิ่งนี้ก็เพียงพอแล้ว”
“นี่คืออะไรเพคะ?” ซูหลีถามด้วยความสงสัย
“นี่คือกลิ่นที่พังพอนหิมะชื่นชอบที่สุด หากมันได้กลิ่นจะต้องวิ่งมาหาเราทันทีแน่นอน” หยางเสวียนหัวเราะอย่างย่ามใจ ก่อนจะกล่าวเร่งเร้า “พวกเรารีบไปกันเถิด”
นางพูดถึงขนาดนี้ ตงฟางเจ๋อไม่สะดวกปฏิเสธ ทำได้เพียงลุกขึ้น แล้วเดินออกไปพร้อมกับซูหลี
ใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ ทั้งสามขี่ม้าเร็วมาจนถึงสนามล่าสัตว์ที่ภูเขาฉีซาน ป่าทึบเงียบสงบ ทั่วพื้นเต็มไปด้วยน้ำค้างสีเงิน ภายใต้แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ ราวกับแดนเทวดาบนโลกมนุษย์ที่มีแสงเปล่งประกายระยิบระยับ
ห่างออกไปไม่ไกลมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างม้าอย่างเงียบงัน แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำสาดส่องเงาร่างสูงใหญ่ รอบกายกลับมีไอพิฆาตแผ่กำจายเล็กน้อย ซูหลีอึ้งงัน จั้นอู๋จี๋?!
ครั้นเห็นพวกเขามาถึงแล้ว ดวงตาที่เย็นชาคมปลาบเสมอมาของแม่ทัพทหารม้ากลับมีแววอ่อนโยนพาดผ่านเล็กน้อย ทว่าพริบตาเดียวก็จางหายไป เขาจูงม้าเข้ามา ประสานมือคารวะ “กระหม่อมถวายบังคมเจิ้นหนิงอ๋อง องค์หญิงเจาหวา และท่านหญิงหมิงซี”
“ท่านมาได้อย่างไร?” สีหน้าของหยางเสวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงขรึมลงหนึ่งส่วน
จั้นอู๋จี๋มองนางแวบหนึ่ง กล่าวอย่างใจเย็น “กระหม่อมมาฝึกขี่ม้ายิงธนูที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างดั่งก้อนหิน ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์
สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย รู้สึกได้รางๆ ว่าระหว่างสองคนนี้มีบางอย่างไม่ปกติ แต่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร
หยางเสวียนยิ้ม “แม่ทัพจั้นช่างหมั่นเพียรยิ่งนัก!”
จั้นอู๋จี๋หลุบตา ไม่พูดอะไร
ตงฟางเจ๋อกล่าว “บังเอิญพบกันเช่นนี้ก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้แม่ทัพจั้นไปตามหาพังพอนหิมะกับพวกข้าเป็นอย่างไร?” เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย สายตากวาดมองสองคนนั้น ไม่บ่งบอกอารมณ์
“พังพอนหิมะ?” จั้นอู๋จี๋กระดกคิ้ว สีหน้าสับสน
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า “องค์หญิงเจาหวาอยากได้พังพอนหิมะสักตัว จึงอยากให้พวกข้าช่วยนางจับกลับไป แม่ทัพจั้นมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม กล้าหาญชาญชัย มิสู้ช่วยพวกข้าอีกแรง”
ซูหลีก้มหน้า ไม่พูดอะไร ตงฟางเจ๋อเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น วาจาของเขาคล้ายแฝงความนัยบางอย่าง
จั้นอู๋จี๋ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เขากระโดดขึ้นควบมา ตามหลังพวกเขาสามคนไปอย่างเงียบงัน
สายตาของหยางเสวียนเคร่งขรึม ไม่หันกลับไปมองเขา ทันใดนั้น นางสะบัดบังเหียนม้า ตะโกนเสียงดัง ‘ย่าห์’ บังคับม้าให้พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง
เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้น ทำลายความเงียบสงบในยามนี้ลงทันใด หิมะปกคลุมทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้า ภายนอกดูสะอาดตาไร้จุดด่างพร้อย ทว่าด้านในเป็นดิน เป็นโคลน หรือเป็นดาบน้ำแข็ง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ซูหลีควบม้าเข้าไปในป่าทึบ นางรู้สึกได้ว่าใบไม้ที่ร่วงทับกันอยู่ใต้ชั้นหิมะมีความหนากว่าครึ่งฉื่อแล้ว หากเจอหลุมบ่อ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุม้าพลิกคว่ำได้ นางจึงร้องบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “องค์หญิงทรงช้าลงหน่อยเพคะ เส้นทางในป่าแห่งนี้ไม่ค่อยดีนัก ระวังไว้ก่อนดีกว่านะเพคะ!”
หยางเสวียนหันกลับมามองนาง ราวกับไม่ใส่ใจคำเตือนของนางแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะสดใสราวกับกระดิ่งเงิน นางกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ใกล้จะถึงแล้ว!” นางควบม้าด้วยความเร็ว ไม่ชะลอลงแม้แต่น้อย เงาร่างสีแดงเพลิงพลิ้วไหวราวกับกลุ่มเมฆาเจิดจรัส ณ ขอบฟ้า
เขตแดนป่าทึบปรากฏสู่ครรลองสายตา และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ หนังตาของซูหลีพลันกระตุก ลางสังหรณ์บางอย่างแผ่ปกคลุมในใจอย่างรวดเร็ว นางยังไม่ทันตั้งสติ ก็ได้ยินเสียงม้าของหยางเสวียนคำรามลั่น ก่อนที่มันจะวิ่งเข้าไปในป่าราวกับคลุ้มคลั่งไปแล้ว
ทุกคนตกตะลึง สายตาตงฟางเจ๋อวาวโรจน์ เขาเห็นกับดักสัตว์ที่หนีบกีบเท้าหลังของม้าตั้งแต่แวบแรก! ซี่เหล็กแทงลึกเข้าไปในเท้าม้าจนมองเห็นกระดูก!
หยางเสวียนหน้าถอดสี ทว่าภายใต้เหตุการณ์คับขันนางกลับตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางโน้มกายไปด้านหน้า กอดคอม้าไว้แน่น สองเท้ารัดท้องม้า พยายามสงบอารมณ์ของม้า แต่ม้าตัวนั้นเจ็บปวดแสนสาหัส คลุ้มคลั่งจนไม่อาจควบคุม หากวู่วามกระโดดลงจากหลังม้า เกรงว่าอาจกระแทกโดนต้นไม้จนได้รับบาดเจ็บหนักกว่าเดิม!
ตงฟางเจ๋อตะโกนเสียงดัง “ขวางมันไว้!”
จั้นอู๋จี๋พยักหน้า ใบหน้าตึงเครียดสุดขีด คล้ายกังวลยิ่งกว่าหยางเสวียนเสียอีก เขากับตงฟางเจ๋อควบม้าขนาบซ้ายขวาเข้าไปอย่างรวดเร็ว!
ม้าอูจุยเลื่องชื่อว่าเป็นยอดแห่งอาชา คุณสมบัติยอดเยี่ยม ตงฟางเจ๋อเร็วกว่าจั้นอู๋จี๋หนึ่งก้าว เขาเข้าใกล้หยางเสวียน เอื้อมแขนยาวๆ ออกไป แล้วตะโกนเสียงดัง “ส่งมือมาให้ข้า!”
หยางเสวียนกัดฟัน ก่อนจะยืดแขนออกมาอย่างสุดชีวิต ปลายนิ้วของทั้งสองสัมผัสกัน แต่ทันใดนั้น ม้าของหยางเสวียนพลันวิ่งเปลี่ยนทิศไปทางขวา มุ่งหน้าออกจากป่าทึบ ตงฟางเจ๋อยื่นมือคว้าออกไป แต่กลับคว้าไม่โดนมือหยางเสวียน!
ใบหน้าของจั้นอู๋จี๋พลันเปลี่ยนสี นอกป่าทึบเป็นหน้าผา! เขาตะโกนเสียงดังลั่น “องค์หญิงระวังพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีดึงบังเหียนม้าให้หยุดวิ่งนานแล้ว ภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญหลังจากนี้ ราวกับได้สลักลึกลงไปในสมองของนาง จนนางไม่อาจลืมเลือนไปตลอดชีวิตนี้ และนับตั้งแต่วินาทีนี้ ชะตาชีวิตของนางก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน จมดิ่งสู่เหวลึกที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกครั้ง…
ม้าของหยางเสวียนวิ่งออกจากป่าทึบ มันวิ่งกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงมาตลอดทาง เท้าข้างที่ถูกกับดักสัตว์หนีบพลันหักดัง ‘กร๊อบ’ ในที่สุดก็ไม่อาจยืนหยัด ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง เศษหิมะกระจัดกระจาย ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วทิศ หยางเสวียนหวีดร้องตกใจ ร่างของนางร่วงลงสู่หน้าผาทันที!
ในช่วงเวลาคับขัน ตงฟางเจ๋อทะยานตัวออกจากหลังม้าอูจุย ยื่นมือออกไปคว้าหยางเสวียนอย่างรวดเร็ว
คาดไม่ถึง ภายใต้สถานการณ์คับขัน หยางเสวียนดึงแส้ที่เหน็บไว้ตรงเอว แล้วเหวี่ยงไปยังต้นไม้บนขอบผา นึกไม่ถึงว่ากลับเกี่ยวโดนร่างของตงฟางเจ๋อ! ซูหลีกลั้นหายใจ หัวใจของนางราวกับดิ่งลงหน้าผาไปพร้อมกับเงาร่างสองสายนั้น!
ซูหลีควบม้าเข้าไปตรงขอบหน้าผา กระโดดลงจากม้าอย่างรวดเร็ว ภายใต้แสงจันทร์สลัว นางกวาดสายตาสอดส่อง แต่ก็มองไม่เห็นเงาร่างของตงฟางเจ๋อกับหยางเสวียน! นางตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ “ตงฟางเจ๋อ” ไร้เสียงตอบรับ เสียงของนาง ถูกลมหนาวที่กรีดพัดหวีดหวิวกลืนหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
…………………………………….