กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 297 รักมาถึงทางสิ้นสุด (2)
ตงฟางเจ๋อกล่าว “รอโอกาส แล้วกวาดล้างพวกเขาให้สิ้นซากในคราวเดียว”
เซิ่งฉินพยักหน้า พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาเอ่ยด้วยความกังวล “ท่านอ๋อง ศิลาเลือดนกเพลิงนั่น…ยามนี้อยู่ในมือท่านหญิง อันตรายเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เกิดนางไม่ระวังนำไปยืนกลางแสงแดด…”
“ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่!” ตงฟางเจ๋อตัดบท “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องห่วง เจ้าเพียงต้องระวัง ห้ามให้เรื่องแพร่ออกไปโดยเด็ดขาด…”
หลังจากนั้นเขาพูดอะไรอีกบ้าง นางไม่ได้ยินแม้แต่น้อย ประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในหูนางคือ ‘ไม่จำเป็นต้องห่วง’
ใช่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรอีก เพราะนาง ไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์อีกต่อไปแล้ว!
สายฝนทิ้งตัวลงมาดั่งน้ำรั่ว สาดใส่ศีรษะและใบหน้านางโครมๆ ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ฝืนลุกขึ้นยืน อากาศหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิห่อหุ้มกายนางมิดชิด หนาวเย็นไปจนถึงกระดูก
ชั่วขณะหนึ่ง นางเหมือนย้อนกลับไปในวันนั้นที่แม่น้ำหลานชาง การดิ้นรนอย่างสิ้นหวังที่ยากจะลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์ เดิมนางนึกว่าความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตนี้ของนางคือวันนั้น ทว่า ณ วินาทีนี้ นางกลับเกลียดตนเองยิ่งนัก เหตุใดจึงต้องกลับมาเกิดอีกครั้ง?
สุดท้าย นางก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องนั้น ไม่ได้ถามเขาว่าเหตุใดต้องทำเช่นนั้น และไม่ได้ถามว่าเรื่องระหว่างเขากับหยางเสวียนเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สำหรับนาง คำตอบทุกอย่างได้หมดสิ้นความหมายไปแล้ว!
นางเดินกลับเรือนด้วยร่างกายที่ราวกับไร้วิญญาณ ปิดประตูห้องสนิท ปฏิเสธความเป็นห่วงและการถามไถ่จากทุกคน ของเหลวอุ่นๆ พรั่งพรูล้นขอบตา เปรี้ยวฝาดยากจะทานทน นางพยายามแหงนหน้า เบิกตากว้างๆ ไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
นางควรรู้แต่แรกแล้วว่าตงฟางเจ๋อเป็นคนเช่นไร? ความคิดของเขาลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ชำนาญการวางแผน ควบคุมบงการทุกอย่างไว้ในกำมือ แม้แต่แสดงละครก็ยังแนบเนียนลื่นไหลถึงเพียงนี้!
เสียแรงที่นางระแวดระวังอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายคนที่นางตกหลุมรัก…กลับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำร้ายนาง?! นางในตอนนี้ จะเผชิญหน้ากับตนเองในอดีตที่เคยได้รับความอัปยศอดสูได้เช่นไร จะเผชิญหน้ากับเสด็จแม่ที่ตายอย่างเปล่าประโยชน์เพื่อนางได้อย่างไร?
เรื่องกระทบกระเทือนจิตใจที่รุนแรงจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ ทำให้นางทนรับไม่ไหว ทำได้เพียงกอดตัวเอง ล้มนั่งบนพื้น กอดเข่าตัวเองแน่นๆ ราวกับต้องทำอย่างนี้เท่านั้นจึงจะสามารถมอบพลังให้ตนเองเพื่อยืนหยัดต่อไป
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!” ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงร้อนรนของโม่เซียงดังมาจากนอกห้อง คล้ายมีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้น
ซูหลีรีบเช็ดน้ำตา พยายามตั้งสติ แล้วกล่าวเสียงขรึม “มีเรื่องใดกันจึงได้ลนลานเช่นนี้?”
“หวั่นซินถูกคนของท่านอ๋องจับตัวไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ?” ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี นางลุกขึ้นด้วยความตกใจ ไม่สนใจพายุและฝนที่กำลังตกหนักข้างนอก นางวิ่งฝ่าสายฝนมุ่งหน้าไปยังเรือนของตงฟางเจ๋อทันที
“ไม่ทราบว่าหวั่นซินทำผิดอะไร? จึงต้องลำบากท่านอ๋องอบรมสั่งสอนด้วยตนเองเช่นนี้!” สตรีอาภรณ์ขาวดังหิมะวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปหมด น้ำฝนหยดลงจากอาภรณ์บนกาย นางราวกับไม่รู้สึกอะไร ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเงามืด มองไม่เห็นสีหน้าในยามนี้
หวั่นซินหน้าซีดเผือด นางคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เสื้อผ้าสีดำถูกเหงื่อซึมจนชุ่ม สายตาที่มองซูหลีแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อยังคงงดงามดังเทวดา แต่ในดวงตาที่มองมายังนาง กลับไม่มีวี่แววความอ่อนหวานดังเช่นในอดีตอีกแล้ว! สีหน้าของเขาเย็นชา นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ ความเจ็บปวดพาดผ่านดวงตา ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ครั้นเห็นซูหลีเปียกไปทั้งตัว อยากจะเข้าไปหานางแต่กลับจำต้องข่มใจ เพียงจ้องมองนางเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเปิดปากกล่าวว่า “มีคนพบสิ่งของบางอย่างในห้องของนาง”
เซิ่งฉินวางกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งบนโต๊ะหนังสือ ฝากล่องถูกเปิดออก ซูหลีกวาดสำรวจด้วยสายตาเรียบเฉย สมุดลับ ยาวิเศษ ป้ายประจำตัวเจ้าสำนักเฉินเหมิน หน้ากากสีทอง…ของของเฉินเหมินปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ขาดตกบกพร่องสักชิ้น มีเพียงถุงผ้าต่วนที่นางได้มาจากในโลงศพ ไม่รู้หายไปที่ใด
ซูหลีตึงเครียด ถามเสียงเย็นชา “สิ่งของในกล่องนี้ หม่อมฉันเป็นคนสั่งให้หวั่นซินเก็บไว้เองเพคะ ไม่ทราบว่ามีปัญหาตรงที่ใด?” ก่อนหน้านี้ นางอาจเคยกลัวว่าจะถูกเขาจับได้ แล้วไม่อาจอธิบาย แต่ยามนี้นางกลับไม่แยแสอะไรอีกแล้ว
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อค้างเติ่ง นึกไม่ถึงว่านางจะมีท่าทางไม่สนใจไยดีถึงเพียงนี้ แม้แต่น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาก็ยังเยือกเย็นขนาดนี้ จู่ๆ เขาก็เหมือนไม่เคยรู้จักนางมาก่อน!
หัวใจเจ็บปวด เขาข่มกลั้นความผิดหวังในใจ ค่อยๆ หยิบหน้ากากสีทองขึ้นมา แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างกัน “หลายเดือนก่อน ที่สำนักงานใหญ่เฉินเหมินบนเขาซูหมี ข้าเคยเห็นกับตา เจ้าสำนักเฉินเหมินสวมหน้ากากอันนี้ไว้บนหน้าเขา! หลังจากเขาตาย สิ่งของสำคัญในเฉินเหมินหายสาบสูญไปทั้งหมด มีคนผู้หนึ่งอาศัยประโยชน์จากกลไกลับ สุดท้ายนางก็หนีไปได้!”
เขาโยนหน้ากากลงบนโต๊ะหนังสือ จากนั้นก็หยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมาทันที แล้วกล่าวด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ต่อว่า “นี่คือยาวิเศษจุ้ยหลันที่มีเฉพาะในเฉินเหมิน ครั้งแรกที่เฉินเหมินลอบสังหารข้าที่แม่น้ำหลานชาง พวกเขาใช้สิ่งนี้! แล้วยังมีป้ายประจำตัว สมุดลับที่บันทึกการสังหารคนของเฉินเหมินนี้อีก สิ่งของของเฉินเหมินมากมายขนาดนี้ถูกเก็บไว้ด้วยกัน เมื่อครู่ซูซูบอกข้าว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของเจ้า? เช่นนั้นข้าควรเรียกเจ้าว่าเจ้าสำนักเฉินเหมิน ใช่หรือไม่?”
ตลอดมา เขาไม่เคยเลิกสืบเรื่องเฉินเหมินอย่างลับๆ เลย คนที่ใช้ประโยชน์จากกลไกลับและปั่นหัวเขาผู้นั้น ถือเป็นภัยแฝงสำหรับเขา ศิษย์สำนักเฉินเหมินที่รอดชีวิตจากการสังหารอย่างดุเดือดมาได้ ย่อมไม่อาจดูเบา แต่คนเหล่านั้นราวกับหายตัวไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย เขาไม่พบร่องรอยของคนเหล่านั้นอีกเลย แสดงว่าเฉินเหมินในยามนี้รวมกลุ่มกันด้วยความระมัดระวังรอบคอบและลึกลับกว่าเดิมมาก แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าสำนักคนใหม่ที่เขาตามสืบหามานาน กลับเป็นคนรักในดวงใจที่เขากำลังจะแต่งเป็นภรรยาในไม่ช้า!
ที่แท้นางไม่ได้เชื่อใจเขาทั้งหมด! นางยังระแวงเขามาโดยตลอด! เช่นนั้นการที่นางเข้าใกล้เขา ใช่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่? ไม่ ไม่มีทาง เขาส่ายหัว พยายามหาเหตุผลให้ตนเอง ซูซูไม่ใช่คนเช่นนั้น! คดีฮองเฮานางยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเขา ที่สระน้ำพุร้อนนางกับเขากอดเกี่ยวกันอย่างอบอุ่น ทั้งหมดนั้นไม่มีทางเป็นเรื่องโกหกแน่นอน! ความหวาดกลัวพลันจู่โจมหัวใจของตงฟางเจ๋ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายเรื่องที่เขาเคยเชื่อมั่นมาตลอดกำลังสั่นคลอนในวินาทีนี้
ใบหน้าของซูหลีไร้อารมณ์ นางมองเขานิ่งๆ ครั้นฟังวาจาเหล่านั้นของเขาจนจบ หัวใจของนางพลันเงียบสงัดดั่งบ่อน้ำแข็ง อารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรงก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับถูกความเยือกเย็นแผ่ปกคลุม
ครั้นเห็นแววตาสับสนแปรเปลี่ยนไปมาของเขา นางกลับอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ รอยยิ้มหยันตรงมุมปากปรากฏเด่นชัดอย่างไม่คิดปิดบัง “ดูเหมือนความจำของท่านอ๋องจะแย่ลงนะเพคะ สมุดลับนี้หยางเซียวเป็นผู้มอบให้หม่อมฉันตอนสืบคดีหลีซู เหตุใดจึงมาถามหม่อมฉันอีกเล่าเพคะ? ส่วนจุ้ยหลันคือสิ่งใดหม่อมฉันไม่รู้จัก ยามว่างซูหลีชอบสะสมพืชและสมุนไพรเหล่านี้ หากจะบังเอิญปรุงยาที่เหมือนกันขึ้นมาก็คงไม่แปลก หน้ากากและป้ายประจำตัวหม่อมฉันเก็บได้ด้วยความบังเอิญ ไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใด ซูหลีเห็นว่าน่าสนใจจึงเก็บไว้” นางบอกปัดทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย
หัวใจของตงฟางเจ๋อเย็นเยียบ เดิมอยากจะให้โอกาสนาง ฟังนางอธิบาย นึกไม่ถึงว่านางกลับเลือกที่จะปิดบังต่อไป! เขาหลุบตา แบมือออกเล็กน้อย มองดูฝ่ามืออันว่างเปล่า กลีบปากหยักยิ้มหยันตนเอง “ค่ำคืนนั้นที่สระน้ำพุร้อน ข้านึกว่าเจ้าเชื่อข้าหมดหัวใจ ไม่มีเรื่องใดปิดบังกันอีกแล้ว”
คำสัญญาที่บอกว่าจะไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป เป็นเพียงความรู้สึกของเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น
ครั้นเอ่ยถึงค่ำคืนนั้นที่สระน้ำพุร้อน ก็เหมือนมีค้อนน้ำแข็งทุบลงกลางหัวใจนาง ความรู้สึกเจ็บแปลบพลันจู่โจม นางเงยหน้า สายตาเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่กลับไม่พูดอะไร นางเพียงย่างกรายไปทางโต๊ะหนังสือช้าๆ นิ้วมือที่ซีดขาวจนแทบจะโปร่งใสหยิบหหน้ากากขึ้นมามองดูอย่างละเอียด ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก แล้วยกขึ้นสวมใส่ “หน้ากากเป็นสิ่งอำพรางสายตาที่ดีที่สุดจริงๆ คนบางคนเกิดมาก็มีหน้ากากอันยอดเยี่ยมติดตัวมาแล้ว วาจาหลอกลวงที่เขากล่าวออกมายังฟังดูเหมือนจริงยิ่งกว่าเรื่องจริงเสียอีก ทำให้คนไม่อาจแยกแยะจริงเท็จ”
……………………………………………