กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 302 นางต้องการยกเลิกงานแต่ง! (1)
เงาร่างของซูหลีสะดุดกึก แสงอาทิตย์ทำให้นางไม่อาจลืมตา ครั้นนึกถึงใบหน้าที่ค่อยๆ ชราลงของเสด็จพ่อ น้ำตาอุ่นๆ พลันเอ่อล้นขอบตา “ไม่ต้อง ข้า…จะส่งนางกลับบ้าน…ด้วยตนเอง”
ซูหลีนำศพของหลีเหยาส่งกลับจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง แจ้งเพียงว่านางกับหลีเหยาเจอโจรปล้นทรัพย์ที่ริมแม่น้ำ ช่วงเวลาเป็นตายหลีเหยาพุ่งตัวเข้ามารับมีดแทน เพื่อช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ น้ำตาไหลอาบใบหน้าชราของหลีเฟิ่งเซียน เขามิอาจทนมองได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว มือของซูหลีที่เอื้อมออกไป พลันตกลงอย่างอ่อนแรง จวนเซ่อเจิ้งอ๋องเคยคึกคักและมีชีวิตชีวา มีอำนาจล้นฟ้า ยามนี้กลับเหลือเพียงชายชราที่ไร้ซึ่งอำนาจเพียงผู้เดียวแล้ว
ยามซูหลีเดินออกจากประตูกจวน เห็นบ่าวรับใช้พากันแขวนธงสีขาว หัวใจพลันเจ็บปวดรวดร้าว แทบยืนไม่ไหว
นางไม่รู้ว่าตนเองกลับถึงจวนได้อย่างไร โม่เซียงเข้ามาถาม นางก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง กระทั่งหวั่นซินเข้ามาในห้อง นางก็ยังคงเหม่อลอยไร้จุดหมาย จมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความเจ็บปวดและเศร้าโศก
“คุณหนูเจ้าคะ!” หวั่นซินปิดประตู ครั้นมั่นใจว่ารอบข้างไม่มีใคร จึงค่อยดึงนางเข้าไปในห้องด้านใน
“เจียงหยวนบอกว่า ภาพบนตัวของเหลียนเอ๋อร์เป็นรอยสักพิเศษอย่างหนึ่ง น้ำหมึกที่ใช้เป็นน้ำหมึกที่มีเฉพาะในราชวงศ์หวั่นเท่านั้น อีกทั้งนกนางแอ่นก็เป็นสัตว์มงคลประจำแคว้นหวั่นด้วย เหลียนเอ๋อร์ อาจเป็นคนของแคว้นหวั่นเจ้าค่ะ!”
แคว้นหวั่น!
ซูหลีพลันได้สติกลับคืนมา! สมองทำงานอย่างรวดเร็ว นึกถึงคำพูดของตงฟางจั๋วที่กล่าวกับนางก่อนตายขึ้นมาทันที “ตัวตนของจั้นอู๋จี๋…มีเงื่อนงำ รอยสักบนตัวเขา เป็นสัญลักษณ์เฉพาะของราชวงศ์หวั่น…เขาต้องไม่ใช่คนของแคว้นเฉิงแน่นอน!”
ราชวงศ์หวั่น…นกนางแอ่นบนป้ายประจำตัวขององค์หญิงเยวี่ยหยาง และรอยสักนกนางแอ่นบนตัวเหลียนเอ๋อร์…
เบาะแสชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมายพลันถูกเชื่อมโยงเข้าหากันในชั่วพริบตา
ซูหลีรีบหยิบหนังสือโบราณมาอ่านอย่างละเอียด หลังอ่านจบ ก็พบว่าเป็นไปอย่างที่นางคาดการณ์ไว้ บนหนังสือเล่มนี้ถูกบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดและชัดเจนมาก นกนางแอ่นคือสัตว์ในตำนานที่แคว้นหวั่นบูชาดั่งเทวดา คนในราชวงศ์หวั่นทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนต้องมีรอยสักนกนางแอ่นอยู่บนตัว เพื่อแสดงถึงฐานะอันสูงส่ง
หากเบาะแสที่ตงฟางจั๋วสืบเจอเป็นเรื่องจริง จั้นอู๋จี๋ก็คือทายาทแคว้นหวั่นที่รอดชีวิตมาได้ เช่นนั้นเหลียนเอ๋อร์จะต้องมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเขาแน่ๆ ในอดีตแคว้นหวั่นถูกเสด็จพ่อหลีเฟิ่งเซียนโจมตีเมืองหลวง เหลียนเอ๋อร์ทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองจวนอ๋อง และสังหารหลีซู เป็นไปได้มากว่าอาจทำไปเพื่อแก้แค้นที่ถูกทำลายแคว้นในอดีต!
นึกดูแล้วการที่ตงฟางจั๋วกล้าเสี่ยงทำการปฏิวัติวังหลวง น่าจะเป็นเพราะกุมความลับเรื่องชาติกำเนิดของจั้นอู๋จี๋เอาไว้ และใช้มันข่มขู่เขา สั่งให้จั้นอู๋จี๋ให้ความร่วมมือกับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญ จั้นอู๋จี๋กลับทำลายหลักฐาน ย้อนโจมตีเขา ทำให้เขาพ่ายแพ้หมดรูป!
จั้นอู๋จี๋ต้องทนแบกรับความอัปยศอดสู แฝงกายอยู่ในแคว้นเฉิงมาหลายปี เกรงว่าจะมีแผนการที่ใหญ่กว่า!
ซูหลีปิดหนังสือ แววคมปลาบพาดผ่านดวงตา หากต้องการพิสูจน์ตัวตนของจั้นอู๋จี๋ ก็ต้องเริ่มลงมือจากรอยสักนี้
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทก็มาถึง นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตงฟางเจ๋อต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักบูรพา!
ซูหลีสวมอาภรณ์สีขาวเรียบง่าย ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เงาร่างบอบบางผ่ายผอมยามอยู่ภายใต้แสงแดดเจิดจ้า ดูเสมือนดอกบัวขาวที่งามบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
“เหตุใดไม่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย?” เงาร่างสูงใหญ่ของตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาในเรือน เขาในวันนี้ สวมชุดพิธีการสีดำ แขนเสื้อกว้างใหญ่ งดงามตระการตา ดูสูงส่งแต่กำเนิด ขับเน้นให้ดวงหน้าที่เดิมก็หล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ยิ่งดูน่าเลื่อมใสจนไม่กล้ามองตรงๆ
ซูหลีไม่พูดจา สายตาที่หันกลับมามองเขาเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก หลังจากวันนั้นที่ทั้งสองมีปากเสียงกัน ครึ่งเดือนมานี้ นางไม่พูดกับเขาสักประโยค ตงฟางเจ๋อมาเยี่ยมนางบ้างเป็นบางคราว ยืนมองเงาร่างเย็นชาของนางจากที่ไกลๆ หัวใจบีบรัดเจ็บปวด ดวงหน้าหล่อเหลาขรึมลงเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ตลอดชีวิตนี้ก็เป็นได้เพียงคนของข้าเท่านั้น!” จากนั้นเขาก็ตะโกนสั่งเสียงดัง “เด็กๆ ปรนนิบัติพระชายาเอกเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
“จะไปก็ไป หม่อมฉันไม่มีวันเปลี่ยนหรอกเพคะ” ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา สาวเท้าเร็วๆ เดินเฉียดไหล่เขาไป กลับถูกรั้งแขนไว้ก่อน นางเงยหน้ามองเขา เขาจ้องนางกลับ ความเชื่อใจ ความรัก และความหวงแหนก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับถูกความโกรธกรุ่นเข้าครอบงำ
เซิ่งฉินเห็นทั้งสองสีหน้าไม่ดี รีบเข้ามากล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋อง ใกล้ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อดึงนางเดินออกไปด้านนอก ซูหลีไม่ขัดขืน เหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ นางจำเป็นต้องไป เพราะนางมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ และไม่อาจรอช้าได้อีกแล้ว
หยางเสวียนนั่งรออยู่บนรถแล้ว นางสวมชุดพิธีการสีดำสำหรับพระชายาเอกเช่นกัน ดูหรูหรางดงาม สีสันตระการตา ครั้นเห็นซูหลีดวงหน้างดงามหมดจด แต่กลับแต่งกายด้วยชุดเรียบๆ แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตา สายตาสอดส่องสังเกตสีหน้าที่เหมือนกำลังอดทนของทั้งสอง รอยยิ้มสนุกสนานผุดขึ้นที่มุมปาก แต่กลับไม่พูดอะไร
ตลอดเส้นทางทั้งสามเงียบงันไม่พูดจา แม้แต่หยางเสวียนที่ยามปกติช่างเจรจาก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงพระราชวัง
พรมสีแดงสะดุดตาปูยาวหลายสิบลี้จากนอกประตูวังเข้าไปจนถึงตำหนักทองคำ ทหารสองฝั่งยืนค้อมกายอย่างนอบน้อม ท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง ตงฟางเจ๋อบุคลิกองอาจห้าวหาญ ฝีเท้ามั่นคง เดินตรงไปยังตำแหน่งที่ในที่สุดก็กลายเป็นของเขา ซูหลีเดินตามอยู่ข้างหลังเขา มองดูบรรยากาศแห่งความยินดีรอบกาย มองดูใบหน้าที่แตกต่างกันออกไปของเหล่าขุนนาง ความคาดหวังที่เคยมี ยามนี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
บนตำหนักทองคำ ฮ่องเต้พระพักตร์หม่นหมอง ฝืนประคองร่างกายที่ยังไม่หายจากอาการป่วยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ครั้นเห็นซูหลีสวมอาภรณ์สีพื้นเข้ามาในตำหนัก เหล่าขุนนางต่างพากันประหลาดใจ ซูเซียงหรูหน้าถอดสี ความสงสัยพลันบังเกิดในใจ อยากจะเข้าไปถามสาเหตุจนแทบทนไม่ไหว กลับติดตรงที่อยู่ในพิธีสำคัญ จึงจำต้องข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ก่อน เขาแอบชำเลืองมองฮ่องเต้ เห็นเพียงพระพักตร์ของฮ่องเต้เคร่งขรึม แววไม่พอใจในสายตาปรากฏชัดเจนมาก ซูเซียงหรูตึงเครียด แต่ซูหลีกลับทำเหมือนไม่รู้สึก ยังคงเดินไปยังตำแหน่งที่เป็นของนางแต่ก็ไม่ใช่ของนาง ยืนนิ่งด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
วันนี้ที่นางมา หากไม่ใช่เพราะมีจุดประสงค์อย่างอื่น นางไม่มีวันยอมเข้าวังมาเพื่อดูภาพนี้แน่นอน!
ได้ฤกษ์มงคล เพลงพิธีการถูกขับขานพร้อมเพรียง ขุนนางพิธีการอ่านพระราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทเสียงดัง เป็นพิธีการในราชสำนักที่จำต้องดำเนินการอย่างขาดไม่ได้ ตงฟางเจ๋อรับตราประจำกายองค์รัชทายาท เหล่าขุนนางร้องสรรเสริญ ทุกอย่างล้วนดำเนินการไปอย่างราบรื่น!
ซูหลียืนมองด้วยสายตาเย็นชา ยามมองดูเหตุการณ์เหล่านี้ ในใจนางกลับรู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก นางทอดมองไปยังตำแหน่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด ฮ่องเต้ที่ดูโรยราลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาที่อยู่ด้านล่างบันไดสู่บัลลังก์ ดูแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางที ในอนาคตอันใกล้ คนที่นั่งบนตำแหน่งนั้นอาจถูกสลับตัวในไม่ช้า
ในที่สุดเขาก็สมปรารถนา ได้ปกครองแผ่นดินสมดังใจหวัง
นางกลับชอกช้ำไปทั้งใจ มีเส้นทางกลับไม่อาจหวนคืน
เสียงประกาศของขุนนางพิธีการพลันดังมา “องค์หญิงเจาหวา ท่านหญิงหมิงซีรับราชโองการ”
ซูหลีเก็บงำความคิดทั้งหมด หยางเสวียนยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป นางก็ชิงคุกเข่าลงกลางตำหนักอย่างนอบน้อม
สีหน้าของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย มองดูใบหน้าหมดจดของนาง ครั้นเห็นนางมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ลางสังหรณ์บางอย่างพลันผุดขึ้นมาทันที
ฮ่องเต้สูดหายใจ กล่าวเสียงเข้ม “พิธีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทในวันนี้ เจ้าไม่ได้แต่งกายตามกฎระเบียบ ใช่ไม่พอใจเรื่องที่ข้าพระราชทานพิธีอภิเษกสมรสให้หรือไม่?”
ทุกคนทราบดี ท่านหญิงหมิงซีและองค์รัชทายาทต่างรักซึ่งกันและกัน พวกเขาผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันหลายครั้ง นึกไม่ถึงระหว่างทางกลับมีองค์หญิงเจาหวาเป็นม้ามืดเข้ามาแย่งชิงความรัก ถึงแม้ฐานะของนางยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เรื่องนี้ก็ถือว่าทำให้นางเสียหน้าไม่น้อย
สายตาของทุกคนในตำหนักมองตรงไปยังซูหลีเป็นจุดเดียว นอกจากซูเซียงหรู สีหน้าของพวกเขาล้วนเหมือนกำลังรอดูละครฉากสนุก รอดูว่าขุนนางหญิงขั้นหนึ่งที่มียศสูงกว่าพวกเขาผู้นี้จะตอบคำถามของฮ่องเต้ว่าอย่างไร กล้าแสดงความไม่พอใจต่อรับสั่งของฮ่องเต้ เป็นการรนหาที่ตายโดยแท้!
………………………………………………………