กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 308 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (4)
“ทูลฝ่าบาท มีคนสวมรอยเป็นอวี้หลิงหลงเพื่อว่าจ้างนักฆ่าสังหารคน ฉะนั้นบนสมุดลับของเฉินเหมินจึงได้บันทึกชื่อของอวี้หลิงหลงเอาไว้! ตอนนั้นอวี้หลิงหลงยอมรับว่าตนเองซื้อนักฆ่าสังหารคน ก็เพราะถูกกู้หยวนถงบีบบังคับ เนื่องจากกู้หยวนถงกลัวว่าหากสืบสาวเรื่องนี้ต่อไปจะทำให้เกี่ยวโยงไปถึงคดีลอบสังหารท่านอ๋อง นางจึงใช้การปกป้องหลีเหยาเป็นข้ออ้าง บีบบังคับให้อวี้หลิงหลงยอมรับโทษ ส่งผลให้ความจริงในคดีนี้คลาดเคลื่อน และไม่สามารถปิดคดีได้สักที! เพราะผู้ร้ายตัวจริง ยามนี้ยังคงลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองเพคะ!”
“อ้อ?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว คล้ายกำลังไตร่ตรอง ก่อนจะเงยหน้ามองหลีเฟิ่งเซียน
หลีเฟิ่งเซียนรีบลุกจากที่นั่ง แล้วค้อมกายกล่าวอย่างเคร่งเครียด “กระหม่อมเองก็คิดว่าคดีนี้มีจุดน่าสงสัยพ่ะย่ะค่ะ หลิงหลงต้องถูกคนใส่ความ นางไม่มีทางเป็นคนร้ายตัวจริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอนุญาตให้ซูหลีตามหาคนร้ายตัวจริงเพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่หลิงหลง และทำให้คนร้ายที่ฆ่าหลีซูได้รับโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนตกตะลึง ยามนี้ซูหลีไร้ลำดับขั้นและยศอำนาจ ซ้ำยังมีความผิดติดตัว วาจาไร้น้ำหนัก คำพูดของนางเดิมก็ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว แต่ครั้นเซ่อเจิ้งอ๋องออกหน้าช่วยพูด สถานการณ์ก็ต่างออกไป
ฮ่องเต้มองซูหลีด้วยสายตาเข้มงวด “เจ้ามีหลักฐานใดมาพิสูจน์ว่าเรื่องนี้ยังมีเงื่อนงำอื่นซ่อนอยู่อีก?”
ซูหลีไม่พูดอะไร เพียงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วน้อมส่งไปเบื้องหน้า
ประกายแสงสีแดงส่องสว่างทั่วตำหนักใหญ่ แผ่ปกคลุมทุกซอกมุมในพริบตา ทุกคนต่างพากันร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง “ศิลาเลือดนกเพลิง!”
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“ศิลาเลือดนกเพลิง?” สีหน้าของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปด้วย
“ใช่แล้วเพคะ!” ซูหลีตอบ ใบหน้าตึงเครียด “ตำนานกล่าวขานว่าของสิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ สามารถเลือกนายได้เมื่อนำไปถือกลางแสงตะวัน แต่แท้จริงแล้วมันเป็นศิลาชั่ว!”
แขกเหรื่อในงานแตกฮือทันใด
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสี กล่าวเสียงเข้ม “ศิลาชั่ว? หมายความว่าเช่นไร?”
ซูหลีตอบ “หากนำศิลานี้แช่โลหิต แล้วเอาไปให้สตรีถือ สตรีนางนั้นจะวิงเวียนหมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นมาจะรู้สึกอ่อนแรง ถึงแม้เป็นหญิงพรหมจรรย์ ก็จะถูกตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์! วันที่จิ้งอันอ๋องก่อกบฏ ซูหลีได้พิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตนเองแล้ว ยามนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เขายืนยันได้ว่าซูหลีมิได้พูดปดเพคะ!”
“หา?!” บนที่นั่งของแขกหญิง มีคนหลุดร้องด้วยความตกใจ รีบยกมือปิดปากแทบไม่ทัน
ประโยคนี้ วันก่อนสิ้นปีตงฟางจั๋วเคยพูดแล้ว ยามนี้เมื่อซูหลีพูดขึ้นมาอีกครั้ง เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง โดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาต่างจำได้ว่าตงฟางจั๋วเคยชี้ตัวตงฟางเจ๋อว่าใช้ศิลาเลือดนกเพลิงทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนจิ้งอันอ๋องกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง จนทำให้เกิดคดีหลีซูขึ้น! วันนี้ซูหลีนำศิลาก้อนนี้ออกมาอีกครั้ง ประกาศต่อหน้าผู้คนว่าคนร้ายใน ‘คดีหลีซู’ คือคนอื่น สังเกตจากท่าทีเย็นชาสุดขีดที่นางมีต่อตงฟางเจ๋อเมื่อครู่ หรือว่าตงฟางเจ๋อเกี่ยวข้องกับคดีจริงๆ?
ทุกคนต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า ลอบคาดเดากันไปต่างๆ นานา หลีเฟิ่งเซียนขมวดคิ้ว ใบหน้าเคร่งเครียดเย็นชา
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “และมันไม่เพียงสามารถเปลี่ยนชีพจรของคนได้! หากสตรีที่ยังไม่ออกเรือนนำมันไปถือกลางแสงตะวัน จะถูกดูดซับเลือดพรหมจรรย์ ทำให้มิอาจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ และหลังจากที่ดูดซับเลือด นกเพลิงที่อยู่ในศิลาก็จะก้มหัวอย่างพินอบพิเทา ตำนานที่กล่าวขานกันว่านกเพลิงเลือกนาย แท้จริงมีที่มาเช่นนี้ เป็นเพียงวาจาเหลวไหลไร้สาระเท่านั้น!”
แสงสีแดงโลหิตอาบไล้ทั่วตำหนัก ก่อให้เกิดลางร้ายในพริบตา เสียงต่ำและเย็นชาของสตรีเหมือนน้ำแข็งอันเย็นเยียบพุ่งกระแทกใจผู้ฟัง
พาให้รู้สึกหนาวเหน็บจนตัวสั่น
เหล่าแขกหญิงในงานต่างพากันถอยหลังหนี คล้ายกลัวว่าแสงสีแดงของศิลาชั่วกระหายเลือดก้อนนั้น จะนำภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวมาสู่ตนเอง
สีหน้าของตงฟางเจ๋อเปลี่ยนผันไปมา ยามนี้เองที่เขาเพิ่งเริ่มตระหนักได้รางๆ ว่าที่จู่ๆ ซูหลีมีท่าทีเย็นชาต่อเขา ก็เพราะเขาปิดบังความลับเรื่องศิลาเลือดนกเพลิงกับนาง แต่เขากลับไม่เคยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงหมกมุ่นกับคดีหลีซูถึงเพียงนี้? นางยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อหน้าฟ้าดิน และการกระทำของนางในยามนี้ เกรงว่าคงจะ…
“ใต้ฟ้ามีศิลาชั่วเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว สายตาขรึมลงเล็กน้อย เขาหันไปมองตงฟางเจ๋อ ถามว่า “รัชทายาท ศิลานี้เจ้ามอบให้ตงฟางจั๋วเป็นของขวัญในวันอภิเษกสมรส ซูหลีบอกว่ามันเป็นศิลาชั่ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ทุกคนตวัดสายตามองมาทางตงฟางเจ๋ออย่างพร้อมเพรียง ยามนี้คิ้วกระบี่ของเขากำลังขมวดเข้าหากัน สายตาลึกล้ำสับสน จ้องมองซูหลี ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่บ้าง ส่วนซูหลีนั้นท่าทางเย็นชาสุดแสน ไม่แม้กระทั่งหันมองเขาสักนิด คล้ายมั่นใจเต็มเปี่ยม และไม่สนใจว่าเขาจะยอมรับหรือไม่
ตงฟางเจ๋อตึงเครียดขึ้นสองส่วน เงยหน้ากล่าวว่า “เสด็จพ่อ คดีนี้มีจุดน่าสงสัยจริงๆ แต่วันนี้เป็นวันสำคัญที่สองแคว้นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ลูกกับองค์หญิงเพิ่งจะคำนับฟ้าดินไปได้ครึ่งเดียว พูดเรื่องคดีขึ้นมาในยามนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสม รอให้งานอภิเษกสมรสเสร็จสิ้น แล้วลูกค่อยกราบทูลอย่างละเอียดได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
คำขอร้องนี้สมเหตุสมผล
ฮ่องเต้ไตร่ตรอง คล้ายยังตัดสินใจไม่ได้ ซูหลีจึงรีบขานเรียกด้วยความร้อนใจ “ฝ่าบาทเพคะ!”
“ซูซู!” ไม่รอให้นางพูดอะไร ตงฟางเจ๋อตัดบทนาง เดินเข้ามาหานาง แล้วกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าแต่งกับผู้อื่น แต่เรื่องราวกลายมาเป็นอย่างนี้แล้ว เจ้ากับข้ายังมีสัญญาแต่งงานอยู่ ถึงแม้ข้าสู่ขอองค์หญิง ก็จะไม่ละเลยเจ้าแน่นอน เจ้าถอยไปก่อนเถิด”
เขาเย่อหยิ่งอวดดีถึงเพียงนี้ วาจาที่เอ่ยออกมาแต่ละคำ ทำให้การกระทำของนางกลายเป็นความหึงหวงอย่างไร้สติทันที
ซูหลีปวดใจ เงยหน้ามองเขา สายตาแฝงความหมายของเขาทอดมองมา นางกลับอดหัวเราะเย็นชาไม่ได้ เขายังนึกว่าระหว่างพวกเขายังเชื่อใจกัน และสื่อถึงกันได้เช่นในอดีตอีกงั้นหรือ?
ซูหลีกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “หากท่านคิดว่า ซูหลีมาเพื่อสร้างเรื่องวุ่นวายโดยใช่เหตุเพราะความหึงหวงไร้สติ ต้องการขัดขวางงานแต่งของท่านกับองค์หญิง เช่นนั้นท่านก็ดูเบาซูหลีเกินไปแล้วเพคะ!”
สายตาของนางคมปลาบเหมือนดังมีดดาบ
ตงฟางเจ๋อมองหน้านางครู่หนึ่ง คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ
สตรีตรงหน้ายังคงมีใบหน้างดงาม ท่าทีของนางกลับแปลกออกไปราวกับพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นางคุกเข่าหลังตรงอยู่บนพื้น ท่าทางไร้ความเกรงกลัว คล้ายกำลังบอกกับคนทั้งโลกว่าถึงแม้ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ นางก็ยังมีดวงวิญญาณสูงส่งที่ผู้อื่นไม่สามารถอาจเอื้อม ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าคิดว่าจะทำให้นางก้มหัวได้
ตงฟางเจ๋อยังคงมองนางอยู่อย่างนั้น หัวใจเหมือนจมดิ่งสู่ก้นบ่อน้ำลึก ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้ว ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนนี้ พวกเขาห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อใจและไว้ใจในอดีตได้จางหายไปดังหมอกควันแล้ว ความรักที่เคยมีก็กลายเป็นเพียงความทรงจำในอดีต เขากับนาง กลับเดินมาถึงวันนี้แล้ว วันที่ยืนอยู่กันคนละข้างต่อหน้าธารกำนัล!
“ซูซู!” เสียงทุ้มเบาดังขึ้นข้างหู คล้ายกำลังทอดถอนใจ ซูหลีมองหน้าเขา สายตายังคงเย็นชาสุดแสน
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างหนักแน่น “เชื่อข้า ข้าเคยบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า!” เขาพยายามใช้คำสัญญาในอดีตดึงหัวใจอันเย็นชาดั่งเหล็กของนางที่ค่อยๆ ห่างออกไปทีละนิดกลับมา
ซูหลีหัวเราะเย็นชา ได้ยินเขาเอ่ยต่ออีกว่า “คำถามที่เจ้าสงสัย หลังผ่านวันนี้ไป ข้าจะให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่เจ้าแน่นอน เจ้าเพียงต้องเชื่อข้าเท่านั้น!”
เชื่อหรือ? รอยยิ้มเย็นชาตรงมุมปากของนางกว้างขึ้นเรื่อยๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากนางยังเชื่อเขา นางก็ไม่ใช่หลีซูแล้ว!
นางหันหน้ากลับไป ไม่มองเขาอีก ซูหลีเงยหน้ามองบุรุษที่ยังคงมีราศีสูงส่งน่าเกรงขามบนบัลลังก์มังกร แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น “ฝ่าบาท ซูหลีทราบว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมที่จะคุยเรื่อง ‘คดีหลีซู’ แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ตัวตนที่แท้จริงของคนร้ายไม่ธรรมดา ซูหลีจึงจำต้องชี้ตัวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดหายนะร้ายแรงไปมากกว่านี้เพคะ”
…………………………………………………..