กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 309 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (5)
ฐานะที่แท้จริงไม่ธรรมดา หายนะร้ายแรง…ทุกคนตกตะลึง ทุกคำพูดของนางทำให้ผู้คนต่างคาดเดาไปต่างๆ นานามากกว่าเดิม
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ไอเย็นพาดผ่านดวงตา “เจ้าหมายความว่าเช่นไร? หรือเจ้าจะบอกว่า คนร้ายตัวจริงในคดีหลีซูก็คือองค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ?”
คำถามที่ตรงไปตรงมาของเขาตรงกับการคาดเดาที่อยู่ในใจของหลายๆ คน ทุกคนตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตงฟางเจ๋ออีกครั้ง
ตงฟางเจ๋อกลับนิ่งเงียบไม่พูดจา สายตาสับสนยังคงจดจ้องไปที่ซูหลี
ซูหลีเอ่ยอย่างใจเย็น “ศิลานี้เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่องค์รัชทายาททรงมอบให้จิ้งอันอ๋องจริงๆ ทว่าคนที่เป็นตัวการวางแผนชั่วที่แท้จริง เป็นผู้อื่นเพคะ! และคนผู้นั้น ก็อยู่ในตำหนักด้วยเพคะ!”
“ผู้ใดกัน?” ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว ฮ่องเต้ก็ถามต่อทันทีอย่างอดไม่ไหว
ซูหลีตวัดสายตาคมปลาบมองผ่านใบหน้าของตงฟางเจ๋อ แล้วกวาดมองเข้าไปในที่นั่งแขก คนที่ถูกนางมองล้วนมีใบหน้าตกใจ คล้ายกลัวว่านางจะชี้มาที่ตนเอง และนำภัยมาให้วงศ์ตระกูล แต่ละคนก้มหน้าหลุบตาอย่างลนลาน
บรรยากาศในตำหนัก พลันเงียบสงัดราวกับร้างไร้ผู้คน แม้แต่ลมหายใจ ก็เหมือนจะสะดุดไปด้วย
ทุกคนตื่นตระหนก ทว่าเซี่ยงหลีกลับเกือบหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ขุนนางพวกนั้น ยามอยู่นอกวังกับยามอยู่ในวังเหมือนเป็นคนละคนกันเลยจริงๆ
ซูหลีเหลือบมองเขาเล็กน้อย เซี่ยงหลีรีบปั้นหน้าเคร่งขรึมทันที แววขบขันพลันจางหายไปจากดวงตา ซูหลีหยุดสายตาจับจ้องที่ใบหน้าของคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมีใบหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง เค้าโครงใบหน้าแข็งกร้าว ครั้นเห็นนางมองมา แววเหี้ยมเกรียมเย็นชาพาดผ่านดวงตาของเขา
ซูหลีจ้องหน้าเขา แล้วกล่าวออกมาทีละคำๆ “ทูลฝ่าบาท คนร้ายตัวจริงใน ‘คดีหลีซู’ ก็คือแม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋เพคะ!”
เสียงของนางไม่ดังมาก แต่กลับดังสะท้อนชัดเจนอยู่ในหูของคนทุกผู้ที่อยู่ในตำหนัก
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ในตำหนักบูรพา บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็อึ้งงัน ล้วนหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะหลีเฟิ่งเซียนที่มีใบหน้าตื่นตะลึง ราวกับคาดไม่ถึงแม้แต่น้อย
ใบหน้าของจั้นอู๋จี๋พลันตึงเครียดขึ้นมาทันที เขาหันมาตำหนินางเสียงเย็น “คุณหนูซูอย่าได้พูดจาส่งเดช! ข้าไม่มีความแค้นส่วนตัวกับท่าน! หากท่านต้องการทำลายพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท ก็ไม่จำเป็นต้องลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย!”
ซูหลีหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าว “ท่านไม่มีความแค้นต่อข้าซูหลี แต่ท่านกลับมีความแค้นกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง!”
จั้นอู๋จี๋หน้าพลันเปลี่ยนสี กล่าวเสียงเกรี้ยว “น่าขันยิ่งนัก ข้ากับเซ่อเจิ้งอ๋องไปมาหาสู่กันไม่บ่อย จะมีความแค้นต่อกันได้เยี่ยงไร? เห็นชัดว่าท่านพูดจาเหลวไหล มีจุดประสงค์แอบแฝง ทหาร ลากตัวสตรีเสียสติผู้นี้ออกไป!”
ทหารรับคำแล้ววิ่งเข้ามาในตำหนัก หมายจะลากซูหลีออกไป แต่กลับถูกเซิ่งฉินและเซิ่งเซียวขวางไว้
คิ้วคมของจั้นอู๋จี๋กระดก หันมองตงฟางเจ๋อ แล้วถาม “หรือองค์รัชทายาทจะปล่อยให้สตรีเสียสตินางนี้พูดจาเหลวไหลส่งเดชต่อไป เพื่อทำลายพิธีอภิเษกสมรส?”
แววคมปลาบพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ ราศีน่าเกรงขามสะท้อนกลางหว่างคิ้วกระบี่ ทุกคนตกตะลึง ได้ยินเขากล่าวเสียงเข้ม “แม่ทัพจั้นอย่าได้ลืมฐานะตนเอง! อย่าได้กระทำการเกินอำนาจ ที่นี่คือตำหนักบูรพาของข้า เสด็จพ่อยังประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หากจะเอาตัวผู้ใดออกไป ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดลงมือ! เซิ่งเซียว!”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซิ่งเซียวรับคำ แต่หลีเฟิ่งเซียนกลับก้าวเข้ามาห้ามไว้ก่อน แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ช้าก่อน นางยังพูดไม่ทันจบ ยังไปไหนไม่ได้ คุณหนูซู เมื่อครู่เจ้าบอกว่าแม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋คือคนร้ายตัวจริงที่สังหารบุตรสาวข้าหลีซู แล้วยังกล่าวว่าเขามีความแค้นกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ได้โปรดกล่าวต่อให้จบด้วย!”
ไม่รอให้ซูหลีเปิดปาก จั้นอู๋จี๋ที่มีสายตาเคร่งเครียดชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน “เซ่อเจิ้งอ๋องมีตำแหน่งสูงส่ง กลับเชื่อวาจาเหลวไหลของสตรีที่เสียสติเพราะพิษรักแรงหึงเช่นนางอย่างนั้นหรือ!”
“ข้าไม่เห็นว่านางจะมีท่าทางเสียสติเช่นที่ท่านกล่าว นางเหมือนบุตรสาวของข้าหลีซู เป็นเด็กที่ฉลาดปราดเปรื่องและมีไหวพริบปฏิภาณ วาจาให้ร้ายที่ไร้หลักฐาน ย่อมต้องเป็นวาจาเหลวไหลอยู่แล้ว!” ใบหน้าหลีเฟิ่งเซียนมืดครึ้ม เอ่ยต่ออีกว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าแม่ทัพจั้นดูร้อนตัวเกินเหตุ คล้ายมีความผิดติดตัว! หรือว่า…ข้ากับท่านมีความแค้นใดต่อกันเช่นนั้นหรือ?”
จั้นอู๋จี๋กล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องช่างมีอารมณ์ขันยิ่ง ข้ากับเซ่อเจิ้งอ๋องไปมาหาสู่กันน้อยมาก จะมีความแค้นใดที่ทำให้ข้าถึงขั้นต้องวางแผนการยิ่งใหญ่เพื่อทำร้ายท่านหญิงหมิงอวี้กันเล่า?”
“ความแค้นที่ทำลายแคว้นอย่างไรเล่า” ซูหลีกล่าวต่อ ราวกับมีเสียงอัสนีบาตฟาดฟันลงมาบนผืนแผ่นดิน ทุกคนตกตะลึงทันที
ฮ่องเต้หน้าถอดสีในพริบตา แทบจะลุกพรวด กล่าวเสียงตกใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซ่อเจิ้งอ๋องกับแม่ทัพทหารม้ามีความแค้นทำลายแคว้นต่อกัน?”
“เพคะ ฝ่าบาท” ซูหลีหมุนกายกลับมา แล้วตอบด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “หรือหากกล่าวให้ถูก ไม่ใช่แค่เพียงเซ่อเจิ้งอ๋องเท่านั้นที่มีความแค้นฐานทำลายแคว้นต่อเขา ฝ่าบาทเอง ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำลายแว่นแคว้นบ้านเมืองของเขาเช่นกันเพคะ!”
ทุกคนในตำหนักต่างพากันสูดหายใจด้วยความตกใจ! ผู้คนรอบข้างหน้าเปลี่ยนสี ร้องออกมาด้วยความตกใจ
ฮ่องเต้กล่าวเสียงเข้ม “เขาเป็นผู้ใด?”
แววเย็นชาคมปลาบพาดผ่านดวงตาซูหลี นางเอ่ยว่า “ฝ่าบาทยังทรงจำ ‘แคว้นหวั่น’ อาณาจักรโบราณที่อยู่ขอบชายแดนที่สิบปีก่อนแคว้นเฉิงของเราได้ส่งทหารห้าแสนนายไปบุกยึดได้หรือไม่เพคะ?”
ร่างของหลีเฟิ่งเซียนสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสี เขาจ้องหน้าจั้นอู๋จี๋แล้วพูดขึ้นด้วยความตกใจ “เขาเป็นคนแคว้นหวั่นหรือ?”
แคว้นหวั่นเป็นอาณาจักรโบราณที่อยู่ขอบชายแดน เป็นแคว้นเล็กๆ ที่ทรงพลัง ด้วยเพราะอุดมไปด้วยแร่เหล็กหายาก จึงกลายเป็นเป้าแย่งชิงของแคว้นอื่นๆ มีศึกสงครามเกิดขึ้นตลอดหลายปี สุดท้ายก็ถูกแคว้นเฉิงยึดครองสำเร็จ
ปีนั้น เซ่อเจิ้งอ๋องรับพระบัญชาจากฮ่องเต้นำทัพทหารไปบุกยึดอาณาเขต กองทัพทหารสวมชุดเกราะห้าแสนนายเคยพ่ายแพ้ให้แก่อาณาจักรที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อแห่งนั้น คนของแคว้นนั้นฉลาดมาก ทั้งยังมีจิตที่ตั้งมั่นมาก เมื่อรวมตัวกันพวกเขาจะมีพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ยามนั้นภายใต้การโจมตีอย่างรุนแรง กองทัพแคว้นเฉิงเสียหายอย่างหนัก สุดท้ายหลีเฟิ่งเซียนใช้แผนล่อศัตรู ใช้ประโยชน์จากความอ่อนเยาว์ของกษัตริย์แคว้นหวั่น หลอกล่อเหล่าทหารฝีมือดีให้กระจายตัว แล้วค่อยๆ ลอบโจมตี ทำศึกอยู่นานสามเดือนเต็มๆ จึงสามารถยึดครองได้สำเร็จในที่สุด
สายตาของตงฟางเจ๋อเปลี่ยนผันไปมา ตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าที่มากกว่านั้นก็คือเหนือความคาดหมาย ขังนางไว้ในสวนดอกเหมย เพราะไม่อยากให้นางสืบสาวราวเรื่อง และมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้มากนัก แต่สุดท้ายเรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง! ที่นางมาชี้ตัวจั้นอู๋จี๋ถึงที่นี่ แสดงว่าจะต้องมีหลักฐานพร้อม และไม่มีใครขวางนางได้อีก เขาลอบถอนใจอย่างจนใจ
เสียงกระดูกลั่นดังมาจากที่นั่งแขก ใบหน้าจั้นอู๋จี๋บึ้งตึง สองมือกำหมัดแน่น เส้นเอ็นบนหลังมือปูดโปน ทว่าไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเย็นชายิ่งกว่าเดิม ก้าวมายืนตรงหน้าฮ่องเต้ แล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท สตรีนางนี้พูดจาเหลวไหล นางจะต้องเป็นไส้ศึกของแคว้นอื่นอย่างแน่นอน นางทำเช่นนี้ทั้งสามารถทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเฉิงและแคว้นเปี้ยน แล้วยังยุยงปลุกปั่นขุนนางในราชสำนักของเราได้ ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แผนชั่วยิ่งนัก!” เอ่ยจบก็เหลือบมององค์รัชทายาทแคว้นติ้ง คล้ายต้องการสื่อความหมายบางอย่าง
แทนที่จะยอมรับผิด กลับย้อนเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ซูหลีแสยะยิ้มเย็นชา หมายจะกล่าววาจา “ฝ่าบาท!” หยางเสวียนที่ถูกมองข้ามหลายครั้ง ยามนี้คล้ายทนไม่ไหวอีกต่อไป นางถอดผ้าคลุมศีรษะออก ดวงหน้าที่ผ่านการแต่งแต้มมาอย่างประณีตงดงามยิ่งกว่าเดิม แต่สีหน้าของนางกลับบึ้งตึงอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้ยกเลิกพิธีอภิเษกสมรสในครั้งนี้ด้วยเถิดเพคะ”
แขกเหรื่อในงานต่างตกตะลึง พิธีอภิเษกสมรสถูกก่อกวนกลางคัน อีกฝ่ายเป็นสตรีอีกนางหนึ่งที่มีสัญญาแต่งงานกับตงฟางเจ๋อ ก็ไม่แปลกที่องค์หญิงแห่งแคว้นเปี้ยนจะไม่พอใจ แต่งานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นไม่เหมือนการละเล่นของเด็กๆ ที่อยากยกเลิกเมื่อไหร่ก็ยกเลิกได้
………………………………………………………