กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 310 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (6)
ฮ่องเต้หลุบตามองหยางเสวียนที่ยกมือกุมท้อง แล้วขมวดคิ้ว
ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “องค์หญิงไม่จำเป็นต้องกริ้วไปเพคะ ซูหลีมาที่นี่เพื่อเปิดเผยความจริงใน ‘คดีหลีซู’ มิได้มีเจตนาก่อกวนพิธีอภิเษกสมรส ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงองค์รัชทายาทต้องการสู่ขอองค์หญิงจริงๆ ไม่ว่าจะเสียเวลานานแค่ไหน สุดท้ายพิธีอภิเษกสมรสขององค์หญิงกับองค์รัชทายาทก็จะยังดำเนินต่อไปอยู่ดี”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด สีหน้าเย็นชาของนางกลับทำให้หัวใจของเขาปวดร้าวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถึงขั้นทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ หากไม่ใช่หมดรักและตัดใจได้แล้ว นางจะสามารถเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาอย่างใจเย็นได้เช่นไร?
“กล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง” เผิงอิง ทูตจากแคว้นเปี้ยนอดทนมานาน ยามนี้เขาลุกพรวด ใบหน้าปกปิดความไม่พอใจไว้ไม่มิด เขาเดินเชิดหน้าออกมา ประสานมือคารวะแล้วกล่าวกับฮ่องเต้
“ที่กระหม่อมมาที่นี่ เพราะได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ หวังว่าจะสามารถสานสัมพันธ์อันดีงามกับแคว้นเฉิงผ่านพิธีอภิเษกสมรสในครั้งนี้ องค์หญิงเจาหวาเป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้ของเรารักมากที่สุดองค์หนึ่ง เดิมฮ่องเต้ของเราหวังว่าแคว้นของท่านจะปฏิบัติต่อองค์หญิงของเราอย่างดี แต่ว่า พิธีคำนับฟ้าดินกลับถูกก่อกวน สำหรับแคว้นของเราถือเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นความอัปยศอดสูที่ไม่อาจลบล้างไปได้ตลอดชีวิตของหญิงสาว! หากแคว้นท่านมีใจต้องการเป็นพันธมิตรกับแคว้นของเราจริง ได้โปรดมอบคำอธิบายให้แก่องค์หญิงของเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านทูตต้องการคำอธิบายเช่นไรหรือ?” ตงฟางเจ๋อหันมามองทูตจากแคว้นเปี้ยน สายตาเรียบเฉย คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก
เผิงอิงกล่าวว่า “ใต้หล้าล้วนรู้ แคว้นหวั่นล่มสลายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว ปีนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องนำทัพทหารสวมชุดเกราะห้าแสนนายบุกประตูเมืองของพวกเขา องค์หญิงเยวี่ยหยางยอมจำนน กษัตริย์แคว้นหวั่นปลิดชีพตนเองด้วยความโกรธแค้น ก่อนตายยังแทงภรรยาอันเป็นที่รัก รวมทั้งบุตรชายและบุตรสาวที่ยังเล็กด้วยมือตนเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์หวั่นยอมตายดีกว่ายอมจำนน เรียนถามเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าพูดถูกหรือไม่?”
“ถูกต้อง” หลีเฟิ่งเซียงพยักหน้า
เผิงอิงกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “องค์หญิงเยวี่ยหยางที่ยอมจำนนในตอนนั้นก็ได้ตายไปนานแล้ว ราชวงศ์หวั่นไม่มีผู้ใดเหลือรอดมาได้สักคน แล้วผู้ใดจะอดทนแฝงตัวอยู่สิบกว่าปี เพียงเพื่อสังหารบุตรสาวของเซ่อเจิ้งอ๋องแก้แค้นที่ถูกทำลายแคว้น? หากเป็นการแก้แค้นจริง เหตุใดเขาจึงไม่สังหารเซ่อเจิ้งอ๋องโดยตรงเลยเล่า?”
“เพราะความแค้นในใจของเขา ใหญ่หลวงกว่าที่ท่านทูตจะจินตนาการได้!” ซูหลีเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา สายตาเฉียบคมจับจ้องจั้นอู๋จี๋ กัดฟันกล่าวต่ออีกว่า “เขาวางแผนสังหารท่านหญิงหมิงอวี้ แล้วค่อยลักลอบส่งสารให้พระชายาเอกในเซ่อเจิ้งอ๋องที่กำลังป่วยอยู่รู้ข่าวการตายของหลีซู ส่งผลให้พระชายาเอกตรอมใจตาย…เขาต้องการให้เซ่อเจิ้งอ๋องลิ้มลองรสชาติแห่งความทุกข์ทรมานจากการสูญสิ้นซึ่งวงศ์ตระกูลเหมือนกับเขา ไม่ได้ต้องการชีวิตของเซ่อเจิ้งอ๋องแต่เพียงผู้เดียว!”
“เหลวไหลทั้งเพ” จั้นอู๋จี๋ขมวดคิ้วตวาดเสียงเกรี้ยว “คนที่ซื้อตัวนักฆ่าสังหารท่านหญิงหมิงอวี้ คืออวี้หลิงหลง ไม่เกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่น้อย”
“นี่คือความฉลาดของท่าน! เรื่องที่ศิลาเลือดนกเพลิงทำได้ ท่านกลับจงใจจัดฉากขึ้นมา ให้คนนำพิษที่สามารถเปลี่ยนชีพจรหญิงพรหมจรรย์ป้ายลงบนปิ่นปักผมของหลีเหยา แล้วสั่งให้นางปลอมตัวเป็นพระชายารองในเซ่อเจิ้งอ๋องไปซื้อตัวนักฆ่าสังหารคนจากเฉินเหมิน ท่านรู้ว่าหากหลีซูตาย เซ่อเจิ้งอ๋องจะไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ จึงรอให้เซ่อเจิ้งอ๋องพลิกคดีด้วยมือตนเอง แล้วส่งภรรยาและบุตรสาวอีกคนของตนเองสู่เส้นทางแห่งความตายอีกครั้ง!” แผนการชั่วร้ายถูกเปิดโปงออกมาทีละขั้นๆ น้ำเสียงเย็นชาของนางเหมือนดั่งวิญญาณร้ายที่มาจากขุมนรก พาให้ผู้ได้ยินอดตัวสั่นไม่ได้
“ช่างเป็นแผนการที่น่ากลัวยิ่งนัก!” มีคนหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ
หลีเฟิ่งเซียนเบิกตากว้างจนหนังตาแทบฉีกขาด ดวงตาแดงก่ำ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดบนสมุดลับของเฉินเหมินจึงได้มีชื่อของอวี้หลิงหลงอยู่! แล้วยังมีการตายของซีจิน…หัวใจของเขาพลันรวดร้าว ที่แท้ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นเพราะตัวเขาเอง!
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาส่งเดชของเจ้า ไม่มีหลักฐาน!” จั้นอู๋จี๋ชี้นิ้วกล่าวตำหนิ
ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์เย็นชา เขาจ้องใบหน้าเครียดขรึมของซูหลี คล้ายกำลังใคร่ครวญเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
ซูหลีเองก็ไม่รีบร้อนแก้ต่าง เพียงเงยหน้าเล็กน้อย แล้วสบตากับฮ่องเต้อย่างใจกล้า นางรู้ดี สำหรับฮ่องเต้ที่มีจิตคิดระแวงสงสัยเป็นทุนเดิม บางคำพูด หากพูดออกไปเมื่อใดก็เหมือนมีหนามทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ในสายตาของฮ่องเต้ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนร้ายตัวจริงในคดีหลีซูก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว! เรื่องสำคัญคือ คนของแคว้นหวั่นแฝงตัวเข้ามาในราชสำนักแคว้นเฉิง และกุมกำลังทหารสำคัญไว้ในมือ เรื่องอย่างนี้ แม้มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่น ก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากอยู่ดี!
ฮ่องเต้ถาม “ซูหลี ทุกอย่างที่เจ้าพูดในวันนี้ เป็นเรื่องที่เจ้าคาดเดาขึ้นมาเอง หรือมีหลักฐานพิสูจน์?”
ซูหลีตอบอย่างตรงไปตรงมา “ทูลฝ่าบาท เดิมทีซูหลีมีพยาน แต่ตอนนี้ พยานได้ตายไปแล้วเพคะ”
จั้นอู๋จี๋เชิดหน้าหัวเราะ “เช่นนั้นก็แสดงว่าไม่มีหลักฐาน? เจ้าพูดจาเหลวไหลทั้งเพ! กระหม่อมขอร้องฝ่าบาท โปรดลงโทษคนผู้นี้ และคืนความเป็นธรรมให้แก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย เขาก็กลับไปเป็นแม่ทัพหน้าตายที่ดูซื่อสัตย์ภักดีดังเช่นในยามปกติ
ใบหน้าของฮ่องเต้พลันเคร่งขรึมลง
ซูหลีกล่าวขึ้นมาอีกว่า “แต่หม่อมฉันพิสูจน์ได้ว่าราชวงศ์หวั่นยังมีคนเหลือรอดมาได้เพคะ!”
สายตาของจั้นอู๋จี๋พลันเย็นเยียบ ไอสังหารรุนแรงพาดผ่านดวงตา
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสี เขากับหลีเฟิ่งเซียนถามขึ้นพร้อมกัน “ผู้ใดกัน?”
“รัชทายาทแคว้นหวั่น เยวี่ยจั้นเกอ!” นางเอ่ยทีละคำๆ ผู้คนแตกตื่นฮือฮา ตกตะลึงอึ้งงันกันถ้วนหน้า
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวขึ้นเป็นคนแรก “เป็นไปไม่ได้!”
“ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเลือน!” จั้นอู๋จี๋กล่าวต่อ “เมื่อครู่ทูตจากแคว้นเปี้ยนก็บอกแล้วว่ากษัตริย์แห่งแคว้นหวั่นได้แทงภรรยาและบุตรตายด้วยน้ำมือของตนเอง และเซ่อเจิ้งอ๋องก็ยืนยันกับปากตนเองแล้ว”
หลีเฟิ่งเซียนขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นข้าเห็นกับตาตนเอง กระบี่แทงทะลุหัวใจ พวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกสิ้นใจคาที่ แล้วข้าก็คอยคุมการฝังศพของพวกเขาด้วยตนเองด้วย” เอ่ยจบก็หันไปมองซูหลี เดิมนึกว่าที่นางเอาศิลาเลือดนกเพลิงออกมาก็เพื่อจะชี้ตัวตงฟางเจ๋อว่าเป็นคนร้าย นึกไม่ถึงว่าพอถึงตอนสุดท้าย กลับโยงไปถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้ ช่างเข้าใจยากจริงๆ
“จากที่เซ่อเจิ้งอ๋องบอก รัชทายาทแคว้นหวั่นไม่มีทางรอดชีวิตมาได้แน่นอน! เช่นนั้นวาจาของสตรีนางนี้ ก็เป็นวาจาเหลวไหลเชื่อถือไม่ได้ เห็นชัดว่ามีเจตนาขัดขวางพิธีอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น สมควรถูกลงโทษสถานหนัก!” เผิงอิงกล่าววาจาชอบธรรมด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ส่งผลให้เหล่าขุนนางบางคนต่างพากันพยักหน้ากล่าวสนับสนุน ในขณะที่ขุนนางอีกส่วนเลือกที่จะนิ่งเงียบอย่างชาญฉลาด เพราะคำนึงถึงฐานะของตงฟางเจ๋อและซูหลี
ซูหลีเงยหน้ามองจั้นอู๋จี๋ แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “แต่เขายังมีชีวิตอยู่แน่นอน อีกทั้งคนในราชวงศ์หวั่นที่รอดมาได้ในตอนนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น! แม้แต่องค์หญิงเยวี่ยเหลียนอีที่ยังเป็นทารกแบเบาะในยามนั้น ก็ยังไม่ตาย!”
ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ ต่างหันมาให้ความสนใจกับเรื่องประหลาดที่นางกำลังพูด
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “การยอมจำนนขององค์หญิงเยวี่ยหยางในตอนนั้นเป็นเรื่องลวง แท้จริงแล้วเพื่อปกป้องสายเลือด-ของราชวงศ์หวั่น นางได้ลอบพาสองพี่น้องมายังเมืองหลวงแคว้นเฉิงของเราก่อนแล้ว เด็กชายใช้ชื่อเป็นแซ่ มีอุดมการณ์ฟื้นฟูแคว้น เด็กหญิงนั้นหกปีให้หลังได้แฝงตัวเข้าไปในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ภายนอกจงรักภักดีต่อผู้เป็นนาย แท้จริงมีจิตคิดชั่ว จ้องหาโอกาสแก้แค้น”
สายตาของหลีเฟิ่งเซียนพลันแปรเปลี่ยน ครั้นเห็นสีหน้าหนักแน่นของซูหลี ก็อดถามด้วยความร้อนใจไม่ได้ “เด็กหญิงที่เจ้าพูดถึงก็คือ…”
“เป็นเหลียนเอ๋อร์ สาวรับใช้ของหลีซูเพคะ!”
เหลียนเอ๋อร์ เยวี่ยเหลียนอี…หลีเฟิ่งเซียนสะท้านไปทั้งใจ พลันนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยที่ขอทานอยู่ข้างถนน แต่กลับไม่ยอมรับอาหารจากผู้อื่น นางอายุราวหกขวบ สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ สายตาใสซื่อบริสุทธิ์ น่าสงสาร ต้องโทษที่เขาใจอ่อน เห็นหลีซูชอบเด็กหญิงคนนั้นจึงได้พากลับจวน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน มานึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว! อีกทั้งเด็กหญิงคนนั้นเข้ามาอยู่ในจวนตั้งหลายปี เขากลับไม่เคยรู้ว่านางมีจิตคิดชั่ว!
………………………………………………….