กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 315 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (11)
“กล้าใช้อาวุธลับต่อหน้าข้า รนหาที่ตายยิ่งนัก!” เซี่ยงหลีหัวเราะเสียงเย็น แขนเสื้อโบกสะบัด เข็มเงินที่ยังไม่แทงเข้าไปในเสื้อคลุม พริบตาเดียวก็หมุนเปลี่ยนทิศพุ่งกลับไปยังผู้ที่ปล่อยอาวุธลับ ด้วยความเร็วที่มากกว่าหลายเท่า
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดพลันดังขึ้น ชายชุดดำผู้นั้นถูกเข็มแทงทั่วตัว ก่อนจะล้มลงไปด้วยสภาพเหมือนเม่น หน้าเขียวคล้ำ ร่างกายกระตุกสั่น พริบตาเดียวก็สิ้นลม
ครั้นกลุ่มคนเห็นเช่นนั้นก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
จั้นอู๋จี๋หน้าเปลี่ยนสี องครักษ์ชุดดำหลายคนล้วงกระสุนสีดำออกจากอกเสื้อ พวกเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วและเป็นหนึ่งเดียวกัน ดีดกระสุนออกไปยังทิศทางที่ต่างกัน
ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังติดกันหลายหน กระสุนสีดำระเบิดกลางอากาศ หมอกควันสีเข้มแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ แม้แต่คนที่อยู่ใกล้แค่ตรงหน้า ใบหน้าก็ยังเลือนรางไม่ชัดเจน
เสียงชายเสื้อแหวกอากาศดังมาจากบนกำแพง
ซูหลีตกใจ ตะโกนเสียงเครียด “อย่าให้เขาหนีไปได้!”
เจียงหยวน เซี่ยงหลี และหวั่นซินรับคำพร้อมกันก่อนจะโฉบกายขึ้นกลางอากาศ ขณะเดียวกันตงฟางเจ๋อก็เอ่ยกำชับ “ช่วยฝ่าบาท!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เซิ่งฉิน เซิ่งเซียว และเซิ่งจินพุ่งทะยานไปทางกำแพงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางหมอกควันสีเข้ม พวกเขามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น อาศัยเพียงความรู้สึกในการแยกแยะทิศทางของศัตรู
ชั่วขณะหนึ่ง สายลมแรงพลันก่อตัวทั่วบริเวณสวนด้านหน้าของตำหนักบูรพา ประกายกระบี่พาดผ่านในกลุ่มควัน บ่ายคล้อยของวันนี้ พิธีมงคลอันยิ่งใหญ่ถูกอาบไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้น สีแดงสดของโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วกำแพงของตำหนักบูรพา
พวกเซิ่งฉินไม่ทำให้ตงฟางเจ๋อผิดหวัง ท่ามกลางความวุ่นวาย พวกเขากลับช่วยชีวิตฮ่องเต้ได้สำเร็จ
จั้นอู๋จี๋กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เขาถูกหวั่นซินใช้กระบี่แทงหน้าอก เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นกะทันหันดึงดูดเงาร่างนับไม่ถ้วนให้พุ่งเข้ามาทางนี้ ราวกับกำลังคนจากหลายฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ในขณะที่หมอกควันกลางอากาศใกล้จะจางหาย หมอกควันอีกกลุ่มหนึ่งก็พลันแผ่ปกคลุมเข้ามา บดบังการมองเห็นของทุกคนอย่างรวดเร็ว มีคนมากมายวิ่งเข้ามาในตำหนักบูรพา ไม่นานก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร มีเพียงเสียงเข่นฆ่า และเสียงกรีดร้องที่ดังไม่ขาดสาย แต่หวั่นซินก็ยังได้ยินเสียงหอบหายใจกระชั้นถี่ของจั้นอู๋จี๋ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จึงรีบตะโกนเสียงดัง “เขาหนีไปแล้ว รีบตามไปเร็ว!”
เงาร่างสามสายพุ่งออกจากตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว
ซูหลีหมายจะไล่ตามไป กลับถูกรั้งแขนไว้ก่อน ไม่รู้เพราะเหตุใด เงาร่างเลือนรางของนางที่อยู่ท่ามกลางม่านหมอก ทำให้ตงฟางเจ๋อรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ราวกับว่าหากนางไปครั้งนี้ก็จะยิ่งห่างไกลเขาออกไปเรื่อยๆ และไม่หวนกลับมาอีก นางเป็นคนรอบคอบมาก วันนี้กลับเปิดเผยตัวตนของสามนักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเฉินเหมินพร้อมกัน แม้แต่ฐานะของนางเองก็ยังเปิดเผยออกมาด้วย นางคิดจะทำอะไรกันแน่?
“แค่พวกเขาไปก็พอแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่เถิด” เสียงทุ้มต่ำของตงฟางเจ๋อดังข้างหู มือที่รั้งนางไว้ทั้งหนักแน่นและเด็ดขาด
ซูหลีสลัดไม่หลุด เพียงหันกลับมามองอย่างเย็นชา ซัดฝ่ามือไปที่อกเขาอย่างไร้ความปรานี นางคิดว่าเขาจะต้องหลบอย่างแน่นอน แต่เขากลับรั้งนางไว้อย่างหนักแน่น ไม่หลบไม่หลีก ฝืนรับฝ่ามือที่ซัดออกมาเต็มแรงของนาง โดยไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ
เงาร่างสูงใหญ่โอนเอนเล็กน้อย ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่เห็นเลือนรางอยู่ตรงหน้ามีแววเจ็บปวดพาดผ่านอย่างชัดเจน ในดวงตาคล้ายสะท้อนแววอ้อนวอนขอร้อง ทำให้นางอดรู้สึกขมขื่นและเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้
“องค์รัชทายาท พระองค์เป็นอะไรไปเพคะ?” เสียงร้อนใจของหยางเสวียนดังมาจากด้านหนึ่ง นางตะโกนเสียงดัง “ทหาร ทหาร! ซูหลีทำร้ายองค์รัชทายาท รีบจับตัวนางไว้เร็ว!”
หลางฉ่างหน้าเปลี่ยนสี ซัดฝ่ามือไปที่แขนตงฟางเจ๋อ แล้วดึงซูหลีให้ถอยหลังโดยเร็ว “ไปเร็ว!” ตงฟางเจ๋อยังคงรั้งแขนนางไว้ไม่ยอมปล่อย ใบหน้าซีดขาว มืออีกข้างซัดไปยังหลางฉ่าง เสียงฝ่ามือปะทะกันดังเลื่อนลั่น ซูหลีฉวยโอกาสตอนที่มือเขาคลายออก สลัดแขนออกจากฝ่ามือเขาทันที!
กลุ่มควันแผ่ปกคลุม เงาร่างของหญิงงามหายลับไปในพริบตา ตงฟางเจ๋อกระอักเลือด กลิ่นคาวของเลือดทะลักขึ้นมา ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจทำให้เขาหายใจไม่ออก “ท่านอ๋อง!” เซิ่งฉินพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประคองเขาแล้วเอ่ยอย่างร้อนใจ “รีบเสวยยาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ยาถูกป้อนเข้าปาก พิษในร่างถูกกำจัด ทว่าความเจ็บปวดแสนสาหัสยังคงอยู่ เขาหันไปมองหยางเสวียน สายตาเหี้ยมเกรียมกระหายเลือด
“จับนางไว้! ก่อนที่ข้าจะกลับมา ห้ามทุกคนในที่แห่งนี้ออกไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
แสงสีแดงเจิดจ้าลอยขึ้นบนท้องฟ้าจากหน้าประตูวัง ซูหลีกับหลางฉ่างรีบวิ่งไปทางนั้น บนกำแพงสูงตระหง่าน จั้นอู๋จี๋ถูกพวกหวั่นซินล้อมไว้ตรงกลาง องครักษ์ชุดดำพวกนั้นของเขาตายหมดแล้ว
“สมแล้วที่เป็นนักฆ่ามือฉกาจของเฉินเหมิน! ร้ายกาจดังคาด!” จั้นอู๋จี๋เลือดท่วมกาย ใบหน้าซีดขาวสุดขีดแต่กลับยังหัวเราะออกมาได้
“เจ้าอยากตายอย่างไร?” ซูหลีเดินขึ้นไปบนกำแพงเมืองทีละก้าวๆ สายตาสงบเยือกเย็น
“เจ้าจะลงมือด้วยตนเอง?” จั้นอู๋จี๋กระดกคิ้วถาม ไม่รอให้นางตอบ เขากลับส่ายหน้าแล้วหัวเราะอย่างชั่วร้าย “น่าเสียดาย เจ้าไม่มีโอกาสนั้นหรอก! คนของราชวงศ์หวั่น หากจะตายก็ต้องตายด้วยน้ำมือตนเอง!” ยังไม่ทันสิ้นประโยค เขาใช้กระบี่แทงอกตัวเอง เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น ใบหน้าที่มีเค้าโครงแข็งกร้าวของเขาปรากฏรอยยิ้มเย่อหยิ่งทะนงตน เขากางแขน แล้วล้มตัวลงไปข้างหลัง ตกลงจากกำแพงโดยตรง เงาร่างสูงใหญ่กระแทกกับพื้นเสียงดัง ฝุ่นควันตลบอบอวล
ซูหลีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางยังไม่ทันลงมือด้วยตนเอง เขาก็ตายไปทั้งอย่างนี้แล้วหรือ!?
“ลงไปดูกัน” ซูหลีเพิ่งพูดจบ ทุกคนก็กระโดดลงจากกำแพง ยามนี้ เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นพลันดังออกมาจากประตูวัง ซูหลีตกใจ
เจียงหยวนขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อนำคนไล่ตามมาแล้ว! พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่โดยเร็ว”
เซี่ยงหลีก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ชักช้าจะไม่ทันกาลแล้ว!”
ซูหลีมองดูศพที่ไร้ลมหายใจบนพื้น แล้วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน!” หลางฉ่างรั้งแขนนางแล้วกล่าวอย่างร้อนใจ “เจ้าจะไปไหน? ฐานะของเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว ไปแคว้นติ้งกับข้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” เขาจริงใจมาก และร้อนใจมากเช่นกัน คล้ายกลัวว่าหากนางจากไป เขาก็จะหานางไม่พบอีก
ซูหลีรู้สึกขมปร่าในใจ นางพลิกมือกุมมือหลางฉ่าง แล้วกล่าวด้วยความจริงใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ขอบคุณท่านมาก! แต่ข้าไปไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะข้าจะนำมาซึ่งศึกสงครามและภัยพิบัติแก่ท่าน และแคว้นติ้ง”
“ข้าไม่กลัว ถึงแม้แคว้นติ้งของเราไม่ชอบศึกสงคราม แต่หากศึกสงครามมาเยือนถึงที่ พวกเราก็ไม่กลัว!” เขากุมมือนางแน่นขึ้น เพื่อสื่อถึงความหนักแน่นในใจ
ซูหลีขอบตาร้อนผ่าว “ท่านดีกับข้าถึงเพียงนี้ ซูหลีซาบซึ้งไม่มีวันลืม แต่วันนี้ซูหลีไม่อาจไปกับท่านได้ ซูหลีมีแผนการของตนเอง หากภายหน้ามีโอกาส ซูหลีจะต้องไปเยือนท่านที่แคว้นติ้งอย่างแน่นอน ที่นั่น ยังมีคำตอบที่ซูหลีต้องการตามหาอยู่”
ครั้นเห็นสีหน้าหนักแน่นของนาง หลางฉ่างรู้ว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นที่ดังมาจากในประตูวังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หากยังดึงดันอยู่อย่างนี้ เขามีแต่จะทำร้ายนาง ในที่สุดก็ปล่อยมือ คิ้วและดวงตาหล่อเหลาของเขาพลันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“รักษาตัวด้วย ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่แคว้นติ้ง”
ซูหลีพยักหน้าอย่างหนักแน่น หัวใจของนางในยามนี้ก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน เซี่ยงหลีจูงม้าที่เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วเข้ามา พวกเขากระโดดขึ้นม้า แล้วพุ่งทะยานไปทางแม่น้ำหลานชางอย่างรวดเร็ว
พายุลมเปลี่ยนผัน เมื่อครู่ท้องฟ้ายังปลอดโปร่ง ยามนี้พยับเมฆครึ้มกลับแผ่ปกคลุม แม่น้ำหลานชางเงียบสงบไร้ซึ่งคลื่นลม เหมือนสัญญาณก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ
…………………………………………………..