กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 319 ปริศนาชาติกำเนิด (2)
บนยอดเขาที่อยู่ตรงกลางกลับมีทะเลสาบขนาดไม่ใหญ่แห่งหนึ่งอยู่ เหมือนดั่งไข่มุกเปล่งประกายที่ประดับอยู่บนยอดเขาสีเขียวมรกต เซี่ยงหลีอุทานอย่างตกตะลึง “ลัทธิธิดาเทพช่างสรรหาสถานที่จริงๆ สถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมพิเศษและศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้กลับกลายเป็นแท่นบูชาหลักของพวกเขาไปเสียแล้ว! น่าเสียดาย! ช่างน่าเสียดายนัก!”
ฉินเหิงอดถามไม่ได้ “เจ้าเสียดายอันใด?”
เซี่ยงหลีโบกพัดในมือ หัวเราะเสียงใส “แดนเทวาบนโลกมนุษย์เช่นนี้ ย่อมต้องเหมาะแก่การพาภรรยาสาวสวยมาท่องเที่ยวอย่างสุขสำราญ แต่นี่กลับกลายเป็นของกองกำลังนักฆ่า ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหรอกหรือ?”
ฉินเหิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ทุกคนรู้ดีว่าเขาเคยชินกับการทำตัวเจ้าสำราญ จึงทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเสีย มีเพียงฉินเหิงที่เป็นคนเถรตรง ครุ่นคิดอยู่ครึ่งวันก็ยังคิดไม่ออกว่าควรตอบโต้เขาเช่นไร
เจียงหยวนยิ้มเย็นชา “วันหน้าพาฮูหยินของเจ้ามาดื่มด่ำกับทิวทัศน์ในแดนสวรรค์แห่งนี้ด้วยกัน เป็นห่านป่าที่มีชะตากรรมร่วมกันก็ถือเป็นเรื่องราวอันงดงามได้เหมือนกัน”
ถูกเขาเอ่ยหยันด้วยน้ำเสียงเย็นชา เซี่ยงหลีไม่โมโห เพียงลูบจมูกเบาๆ แย้มยิ้มเล็กน้อย “ไม่เลวๆ ได้ร่วมเดินทางกับทูตวิญญาณ ถึงแม้ต้องเป็นห่านป่า…” พูดไป เขาก็อดหัวเราะไม่ได้
หวั่นซินกล่าว “เอาละ อย่ามัวแต่พูดมากอีกเลย รีบช่วยกันคิดว่าทางเข้าอยู่ที่ใด!”
เจียงหยวนถลึงตาใส่เซี่ยงหลี ข่มกลั้นความโกรธ สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร
ฉินเหิงทำหน้าเคร่งเครียด กวาดมองรอบทิศ แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “ภูเขาลูกนี้เงียบผิดปกติ เกรงว่าทางเข้าคงจะลึกลับมาก ยากจะหาเจอได้โดยเร็ว”
ซูหลีเดินเข้าไปใกล้ขอบทะเลสาบ เพ่งสายตามองอย่างละเอียด ทะเลสาบแห่งนี้อยู่บนยอดเขา น้ำในทะเลสาบเป็นสีมรกตใส งดงามเป็นพิเศษ จะต้องมีอะไรไม่ธรรมดาซ่อนอยู่แน่ๆ นางกวักมือเรียก “ฉินเหิง!”
ฉินเหิงรีบเดินเข้าไปหา “ทูตนารีคิดว่าทะเลสาบแห่งนี้ผิดปกติหรือ?”
เพื่อตบตาคนภายนอก ซูหลีสลับตัวตนกับหวั่นซินชั่วคราว หวั่นซินกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ ส่วนซูหลีก็กลายเป็นทูตนารี นางพยักหน้า กล่าวว่า “อืม ในหมู่พวกเราเจ้าเชี่ยวชาญการดำน้ำมากที่สุด ลงไปดูว่ามีสิ่งผิดปกติใดหรือไม่”
“ได้” ฉินเหิงรับคำ รีบถอดเสื้อตัวนอกออก เตรียมตัวจะดำลงไปในน้ำ
ซูหลีรั้งเขาไว้ แล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่ว่าจะค้นพบสิ่งใด ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการเด็ดขาด…”
เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนจะดำดิ่งลงไปในน้ำทันที ทั้งสี่นั่งรอเงียบๆ อยู่บนฝั่ง เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฉินเหิงดำผุดดำว่ายอยู่หลายครั้ง คล้ายไม่พบสิ่งใด เซี่ยงหลีเริ่มนั่งไม่ติด เขาลุกขึ้นแล้วบอกว่า “มิสู้ข้าลงไปดูด้วย”
ขณะที่เขากำลังจะลงน้ำ เห็นเพียงผิวน้ำกระเพื่อมเบาๆ แล้วฉินเหิงก็ผุดขึ้นมาเหนือน้ำ โบกมือให้ทุกคน ทุกคนดีใจ รีบเข้าไปดึงเขาขึ้นฝั่ง สีหน้าของเขาดูยินดี เห็นได้ชัดว่าค้นพบบางสิ่งเข้าแล้ว
“ทูตนารีคิดถูกแล้ว ใต้น้ำมีทางลับอยู่ดังคาด!”
ซูหลีรีบถาม “เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ทางลับเส้นนั้นอยู่ใต้ทะเลสาบ ลึกลับมาก ข้าหาอยู่นานกว่าจะเจอ” ฉินเหิงสูดหายใจ แล้วกล่าวว่า “ข้าสำรวจอยู่นาน แต่ไม่ได้เข้าไป กลัวว่าข้างในจะมีคนเฝ้าระวังอยู่”
ซูหลีเอ่ยชม “เจ้าทำได้ดีมาก”
“ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อเจ้าคะ?” หวั่นซินขมวดคิ้ว “ถ้าหากว่านั่นเป็นทางเข้าแท่นบูชาหลักจริงๆ จะต้องมีการเฝ้าระวังแน่นอน”
“ข้าไปเอง” เจียงหยวนลุกขึ้น
ซูหลีลังเลเล็กน้อย “ตกลง ฉินเหิงกับเจียงหยวนนำหน้า หวั่นซินกับข้าตามหลัง ปิดท้ายด้วยเซี่ยงหลีคอยระวังหลัง”
ทั้งสี่รับคำ ก่อนจะลักลอบเข้าไปอย่างเงียบๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง
ซูหลีเลิกกลัวน้ำไปนานแล้ว อีกทั้งยังว่ายน้ำเก่งมากด้วย ครั้นว่ายมาถึงประตูลับใต้ทะเลสาบ ก็เห็นทางลับที่คดเคี้ยวและวกวนอยู่ใต้ก้นทะเลสาบรางๆ ดูลึกลับและซับซ้อนยิ่งนัก
เจียงหยวนถือก้านธูปหอมมุดเข้าไปในทางลับก่อน ฉินเหิงตามหลังเขาไป ผ่านไปไม่นานก็เห็นเขากวักมือเรียกอยู่ตรงทางเข้า พวกซูหลีรีบมุดตามเข้าไป รู้สึกถึงสายน้ำเย็นเฉียบที่พัดปะทะใบหน้า ด้านในทางลับกลับมีถ้ำซ่อนอยู่
“น่าแปลก!” เซี่ยงหลีจุดตะบันไฟ แล้วเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “ในทางลับกลับไม่มีน้ำ และไม่มีคนอยู่!”
หวั่นซินยกมือส่งสัญญาณให้เงียบเสียง เขาทำหน้าเครียด รีบระแวดระวังทันที
รอบข้างเงียบสงัด นอกจากพวกเขาห้าคน ก็ไม่ได้ยินเสียงใดอีก ซูหลีโบกมือเบาๆ ทั้งห้าคนเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ทางลับเส้นนี้กว้างขวางและเงียบงัน กลับไม่พบคนของลัทธิธิดาเทพแม้แต่คนเดียว สถานการณ์ประหลาดจนทำให้คนอดสงสัยไม่ได้
ครั้นเดินมาถึงทางเลี้ยว ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหน้าเบาๆ ซูหลีชะงักเท้าทันที ทั้งห้าคนรีบดับตะบันไฟ ถอยหลังไปชิดผนังถ้ำ แล้วกลั้นหายใจรอเงียบๆ เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงไฟกระเพื่อมไหวรางๆ เงาคนปรากฏ เซี่ยงหลียื่นพัดออกไปสกัดจุดคนผู้นั้นด้วยความเร็วดั่งภูติผี
คล้ายนึกไม่ถึงว่าข้างหน้าจะมีคนอยู่ คนผู้นั้นทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออกเพราะถูกสกัดจุด ได้แต่เบิกดวงตาทั้งสองข้างกว้าง
เซี่ยงหลีเอ่ยเสียงเย็น “ข้าจะคลายจุดให้เจ้า หากเจ้าส่งเสียงร้อง ข้าจะส่งเจ้าไปพบท่านยมบาลทันที เข้าใจหรือไม่?”
คนผู้นั้นกะพริบตาเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจแล้ว
เซี่ยงหลียื่นนิ้วออกไปคลายจุด คนผู้นั้นไม่รอให้เซี่ยงหลีถาม กลับถามขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้าเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
เซี่ยงหลีใช้พัดตบหน้าเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าต้องถามเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาถามข้า บอกมา ที่นี่ใช่แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพหรือไม่? เหตุใดจึงได้เงียบงันไร้เงาคนเช่นนี้?” พัดอันงดงามประณีตเดิมมีไว้ชื่นชมความงามของมัน ยามนี้กลับกลายเป็นอาวุธคร่าชีวิตที่จ่ออยู่ตรงจุดตายของคนผู้นั้น
ร่างกายของคนผู้นั้นสั่นสะท้าน สายตาไหวระริกเล็กน้อย คล้ายกำลังหวาดกลัวสุดขีด เขาพยักหน้าเร็วๆ “ถูก ถูกต้องแล้ว ที่นี่ก็คือแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพ นับตั้งแต่สิบแปดปีก่อนที่ธิดาเทพละทิ้งความเชื่อและจากที่นี่ไปพร้อมกับภูติทั้งสอง ลัทธิของเราก็ไม่มีผู้นำ แยกย้ายหนีหาย บ้างก็ไปจากที่นี่ บ้างก็ล้มหายตากจาก ไม่มีใครเต็มใจรั้งอยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้หรอก”
“ไม่มีใครเต็มใจ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่?”
“ข้า…ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งสั่งให้ข้าเฝ้าที่นี่”
“ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งเป็นผู้ใด?”
“หนึ่งในผู้อาวุโสของลัทธิเรา”
“แล้วผู้อาวุโสอีกสองท่านคือใคร ยามนี้มีใครปกปักรักษาแท่นบูชาหลักแห่งนี้อยู่บ้าง?”
“ไม่ ไม่มีผู้ใดปกปักรักษา…ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งออกไปทำธุระข้างนอก ผู้อาวุโสเสวียนฟงก็ไม่อยู่เช่นกัน ส่วนผู้อาวุโสเสวียนจีได้หายตัวไปหลังจากทรยศลัทธิเราเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว”
เช่นนั้นก็หมายความว่า แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพไม่มีผู้ใดอยู่จริงๆ? แปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ เช่นนั้นแล้วท่านน้าจิ้งหวั่นถูกผู้ใดจับตัวไปกันแน่? สายตาของซูหลีคมปลาบ หวั่นซินรีบถาม “พวกเจ้าจับหญิงนางหนึ่งมาจากแคว้นเฉิง นางถูกขังไว้ที่ใด?”
สายตาของคนผู้นั้นไหวระริกเล็กน้อย “ที่…ที่ห้องลับ”
นิ้วมือของเซี่ยงหลีเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้า เขาบีบกระดูกสะบักไหล่ของคนผู้นั้น แล้วตวาดเสียงต่ำ “พาพวกข้าไป!”
คนผู้นั้นหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำใจ
เจียงหยวนเดินนำอยู่ข้างหน้า เซี่ยงหลีจับตัวประกันเดินตามหลัง ฉินเหิงรั้งท้าย ประตูลับถูกเปิดออกบานแล้วบานเล่า ทางแยกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเดินไป ซูหลีก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย
ครั้นเดินมาถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง สายตาของคนผู้นั้นมีแววประหลาดพาดผ่าน เขาฉวยโอกาสตอนเปิดประตูลับทำนิ้วมือหลุดลื่น ได้ยินเพียงเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้น กลไกทำงานทันที ธนูแหลมพุ่งเข้ามาจากรอบทิศพร้อมกับแสงสีฟ้าดูประหลาดตา จำนวนธนูมากมายจนไม่มีที่ให้หลบ ทำเอาทุกคนตกตะลึง
สายตาของซูหลีตึงเครียด นางรีบลอยตัวเหนืออากาศ สะบัดแขนโดยไม่ลังเล กระบี่คมพลันพุ่งออกจากฝัก ด้ามกระบี่พุ่งกระแทกจุดหนึ่งบนผนังดัง ‘ปัง’ กลไกสั่นสะท้าน ธนูแหลมที่ยิงออกมาหดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
………………………………………….