กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 320 ปริศนาชาติกำเนิด (3)
คนผู้นั้นตกใจจนตาค้าง เขามองซูหลี แล้วถามด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว “เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใด? รู้ได้อย่างไรว่ากลไกของลัทธิเราซ่อนอยู่ตรงไหน?”
ใบหน้าของซูหลีเย็นชา นางไม่ตอบ ไอพิฆาตพาดผ่านดวงตาของคนผู้นั้น เขาลอบล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หมายจะขว้างอะไรบางอย่างออกมา สายตาของเจียงหยวนพลันเปล่งประกายคมปลาบ เงื้อเข็มเงินคร่าชีวิตแทงไปที่ข้อมือของคนผู้นั้นทันที
คนผู้นั้นร้องโอดโอย กลิ้งตัวลงไปบนพื้น
เซี่ยงหลีหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “บอกแล้วอย่างไรว่าอย่าเล่นลูกไม้ เจ็บตัวแล้วละสิ?”
คนผู้นั้นจ้องพวกเขาด้วยสายตาเคียดแค้น ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ กลับร้ายกาจถึงเพียงนี้! เขายังคิดจะขัดขืน เซี่ยงหลีใช้พัดจี้สกัดจุดเขา คนผู้นั้นได้แต่เบิกตากว้างเปล่งเสียงไม่ออกอีก
“นำทางไปแต่โดยดี มิเช่นนั้น…ครั้งหน้าเจ้าจะไม่มีโอกาสอีก…” เสียงเย็นเยียบของเซี่ยงหลีทำให้คนผู้นั้นตัวสั่นงันงก
พวกซูหลีเดินหน้าต่อ ทางลับของลัทธิธิดาเทพเหมือนกับทางลับของสำนักเฉินเหมินจนน่าตกใจ แม้แต่ตำแหน่งกลไกก็ยังเหมือนกัน! นางพลันนึกถึงสีหน้าแปลกๆ ก่อนตายของเจ้าสำนักเฉินเหมินคนเก่ายามเห็นหน้านาง แล้วยังมีสาเหตุที่ท่านน้าจิ้งหวั่นถูกจับตัวมาที่นี่อีก ทุกอย่างที่เชื่อมโยงกันท่ามกลางปริศนาเหล่านี้ บางทีนางอาจจะได้รู้คำตอบในไม่ช้า
หลังจากเปิดประตูลับบานสุดท้ายโดยอาศัยภาพแผนที่ในความทรงจำ เดินออกไปกลับพบทิวทัศน์อันงดงามปานสรวงสวรรค์ปรากฏอยู่ตรงหน้า
ผิวน้ำในทะเลสาบสีเขียวมรกตขนาดใหญ่แห่งหนึ่งกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคคลื่นเล็กๆ ดอกบัวสีแดงบานสะพรั่ง ตำหนักลอยน้ำหรูหราโอ่อ่าถูกสร้างขึ้นติดกับภูเขาที่มีเมฆหมอกลอยคลอเคล้า ประณีตงดงามราวกับถูกเนรมิตขึ้นมา ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าสุดสายปลายทางของทางลับที่มืดมนและสลับซับซ้อนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด จะมีทิวทัศน์ที่สวยงามตระการตาถึงเพียงนี้อยู่! สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เพียงนี้ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขา โดยไม่มีผู้ใดมองเห็นแม้จะยืนอยู่บนยอดเขาได้อย่างไรกัน!
ฉินเหิงอดอุทานขึ้นไม่ได้ “แคว้นเปี้ยนถูกชาวโลกขนานนามว่าเป็นดินแดนอันกว้างขวางและป่าเถื่อน ดูท่าจะไม่ใช่ความจริงไปเสียทั้งหมด”
เซี่ยงหลีพยักหน้ารัวๆ ด้วยความเหลือเชื่อ “สามารถสร้างตำหนักงดงามเช่นนี้ในแท่นบูชาหลักได้ ลัทธิธิดาเทพต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน”
ซูหลีไม่พูดอะไร ทั้งห้าคนเดินเข้าไปในตำหนักอย่างเงียบงัน เป็นอย่างที่คนผู้นั้นบอกจริงๆ ภายในสำนักว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดเฝ้ารักษา หากมิใช่ว่าซูหลีคุ้นเคยกับกลไกลับเหล่านั้นพอดี กอปรกับพวกเขามีความสามารถสูงเป็นพิเศษ เกรงว่าคงไม่อาจมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
“ห้องลับอยู่ที่ใด?” เซี่ยงหลีกระชากตัวเชลยเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แววสิ้นหวังพาดผ่านดวงตาของคนผู้นั้น ซูหลีลอบอุทานว่าแย่แล้ว กำลังคิดจะเอ่ยปากเตือน ใบหน้าเขาก็พลันเขียวซีด หมดสติล้มลงไปเสียแล้ว!
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี เจียงหยวนรีบพุ่งเข้าไปงัดปากเขา พบว่ามีเลือดสีดำเต็มปากดังคาด
ฉินเหิงตะโกนด้วยความตกใจ “ช่างเป็นพิษที่ร้ายกาจยิ่งนัก!”
เจียงหยวนขมวดคิ้ว “พิษนี้มีชื่อว่าเจิ้นเซวี่ย คร่าชีวิตได้ในทันที!”
เซี่ยงหลีเตะร่างเขาด้วยความโมโห “พิษร้ายแรงมาก คนผู้นี้คิดจะเล่นงานเรามาตลอดทาง มาถึงที่นี่แล้วค่อยฆ่าตัวตาย แสดงว่าข้างหน้าคงไม่มีกลไกอะไรอีกแล้ว”
ฉินเหิงถอนหายใจ “เขาตายแล้ว ที่นี่ก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเราจะหาห้องลับเจอได้อย่างไร?”
ซูหลีจ้องฉากกั้นลมอันประณีตงดงามที่ทำจากไม้แกะสลักบานหนึ่งซึ่งอยู่สุดทางเดินของตำหนักใหญ่ บนฉากกั้นลม นกเพลิงสยายปีกโบยบิน ทว่ากลับโบยบินไม่พ้นกรงไม้ที่ขังมันไว้ มันแหงนหน้าสุดกำลัง ดวงตาของนกเพลิงสะท้อนแววเจ็บแค้นและไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของซูหลีพลันเจ็บแปลบขึ้นมาชั่วขณะ นางเดินเข้าไปลูบดวงตาของนกเพลิงอย่างไม่รู้ตัว
พลันนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ผนังด้านหลังฉากกั้นลมที่ดูราบเรียบพลันปรากฏประตูบานหนึ่ง
ซูหลีอึ้งงัน นางรีบเดินเข้าไป มันคือห้องลับที่ปิดมิดชิดห้องหนึ่ง ผนังสามด้านมีภาพแขวนไว้ ภาพสตรีนั่งทำสมาธิอันคุ้นเคยดึงดูดสายตาซูหลีทันที
“นี่มัน…ภาพวาดที่อยู่ในห้องลับของเฉินเหมินมิใช่หรือ?” หวั่นซินที่เดินตามเข้ามาถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
คนในภาพสวมอาภรณ์สีขาว ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงเบาๆ บนกายไร้ซึ่งเครื่องประดับตกแต่ง แต่กลับดูงดงามศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ไม่มีผู้ใดสามารถดูแคลนได้ นางนั่งอยู่บนใบบัวสีเขียวอ่อนในบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เส้นผมดำขลับสยายลงบนไหล่ และทิ้งตัวคลอเคลียพวงแก้มทั้งสองข้างอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ภาพนี้เหมือนภาพสตรีนั่งสมาธิที่อยู่ในห้องลับของเฉินเหมินจริงๆ
ภาพทิวทัศน์แปลกประหลาด กลอนที่แฝงความหมายถึงแปดสำนักใหญ่ของลัทธิธิดาเทพ หยางเซียวปลอมตัวเป็นภูติจากลัทธิธิดาเทพและพยายามแย่งชิงแหวนหยกขาว รวมถึงพิษดอกฉิงฮวาที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด…ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ล้วนบ่งบอกว่าเสด็จแม่เกี่ยวข้องกับลัทธิธิดาเทพและราชวงศ์ อีกทั้งธิดาเทพแห่งลัทธิธิดาเทพก็ได้แปรพักตร์ไปเมื่อสิบแปดปีก่อน สิบแปดปีก่อน…เสด็จแม่กำลังตั้งครรภ์นางอยู่พอดี!
ด้วยความสงสัยที่ยากจะยืนยันความจริงได้ นางหยิบภาพนั้นลงมา ยังไม่ทันจะได้ลูบภาพวาดอย่างละเอียด ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ อีกครั้ง ภาพวาดสองภาพที่เหลือพลันเคลื่อนออกไปยังสองด้าน เสียง ‘ครืน’ ดังขึ้น ทางเข้าทางใหม่พลันปรากฏขึ้นตรงกลาง
ทุกคนได้ยินเสียง ก็รีบพุ่งเข้ามาปกป้องซูหลีเต็มกำลัง
ซูหลีเงยหน้ามอง ก็เห็นแสงไฟด้านในอุโมงค์ลับอันมืดสลัวส่องโซ่ตรวนเหล็กหนาๆ สองเส้นบนกำแพงจนกลายเป็นสีแดงดูน่ากลัว ด้านล่างโซ่เหล็ก สตรีนางหนึ่งถูกล่ามไว้ เส้นผมของนางยุ่งเหยิง รูปร่างผ่ายผอม นางหลับตา คอตก คล้ายถูกทรมานจนหมดเรี่ยวแรงไปนานแล้ว
ลมหายใจของซูหลีสะดุด รีบเดินเข้าไปเชยคางของหญิงนางนั้นขึ้น แล้วขานเรียกด้วยความตกใจ “ท่านน้าจิ้งหวั่น?!” น้ำเสียงของซูหลีสะอื้น ซูหลีมองดูจิ้งหวั่นที่ถูกทรมานจนไม่เหลือสภาพของมนุษย์ หัวใจเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย
ครั้นได้ยินเสียงขานเรียกคุ้นหู จิ้งหวั่นสะท้านใจ รีบลืมตา ถึงแม้จะถูกทรมานถึงเพียงนี้ แต่สายตาของนางกลับยังคงคมปลาบเย็นชาแฝงแววอันตราย นางจ้องหน้าซูหลี แล้วแสยะยิ้มเย็นชา กล่าวว่า “พวกเจ้าคิดจะมาไม้ไหนอีก? อย่าเสียเวลาอีกเลย ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว ซูหลีก็เข้าใจแล้วว่าคนพวกนั้นใช้ทุกวิถีทางเพื่อเค้นถามนาง ซูหลีปวดใจ รีบถอดหน้ากาก แล้วขานเรียกนางเสียงเบา “ท่านน้าจิ้งหวั่น ข้าเอง! ข้าคือซูหลี ข้ามาช่วยท่านแล้ว!”
สายตาของจิ้งหวั่นสั่นระริก นางเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าซูหลีอย่างสงสัย “เจ้า…ซูหลี? ไม่! เจ้าไม่ใช่!” นางมองหน้าซูหลีชัดๆ โครงหน้าทั้งห้าของสตรีตรงหน้าเหมือนซูหลีทุกประการ แต่ผิวหน้าของนางกลับเรียบเนียน ไม่มีปานสีแดงปรากฏบนหน้าเหมือนในความทรงจำ จิ้งหวั่นแค่นยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เจ้าจะปลอมตัวเป็นนาง ก็ควรสืบเรื่องนางให้ชัดเจนก่อน ซูหลีมีปานสีแดงบนใบหน้า แล้วนางก็กระโดดน้ำฆ่าตัวตายไปแล้วด้วย! อย่าคิดโกหกข้าเสียให้ยาก!”
ซูหลีถอนหายใจ รู้ดีว่านางถูกขังเป็นเวลานาน ไม่มีทางเชื่อผู้อื่นง่ายๆ อีก ซูหลียกมือลูบหน้าตนเอง ปานบนแก้มซ้ายของนางเริ่มจางลงเมื่อสองเดือนก่อน ยามนี้ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย พิษดอกฉิงฮวาในร่างนางก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ นางคาดเดาเหตุผลได้รางๆ แต่กลับไม่อาจอธิบายให้จิ้งหวั่นเข้าใจ
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “หวั่นซิน พวกเจ้าสี่คนออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่านน้าจิ้งหวั่น”
เมื่อได้รับคำสั่ง ทั้งสี่ก็รีบหมุนกายเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูศิลา ซูหลีกุมมือจิ้งหวั่นแน่นๆ ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ท่านน้ายังจำได้หรือไม่ ปีที่ข้าอายุสิบขวบข้าถูกเสด็จแม่ตำหนิ ข้าเสียใจมาก ได้แต่แอบร้องไห้เพียงลำพัง คนอื่นไม่มีใครตามหาข้าเจอ มีเพียงท่านน้าที่หาข้าเจอ ท่านบอกข้าว่าเสด็จแม่หวังดีกับข้าจึงได้ทำเช่นนั้น ท่านยังบอกว่าข้าไม่ใช่คนธรรมดา จำต้องมีความสามารถเพื่อปกป้องตนเอง…”
………………………………………