กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 324 พบสหายเก่าในถิ่นศัตรู (2)
ซูหลีมองเขานิ่งๆ มิอาจปฏิเสธได้ เพราะนางอยากรู้จริงๆ ว่าเสด็จแม่เกี่ยวข้องอย่างไรกับราชวงศ์เปี้ยน และผู้ที่ออกคำสั่งไล่ล่าเสด็จแม่ในอดีตใช่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจริงหรือไม่? ถ้าหากพวกเขาเป็นญาติกัน เหตุใดจึงต้องลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้?
“ข้าไปกับท่านก็ได้ แต่ท่านต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
สายตาของหยางเซียวเป็นประกาย “เจ้าว่ามาได้เลย”
“ส่งคนนำศพของท่านน้าจิ้งหวั่นไปฝังร่วมกับเจ้าสำนักเฉินเหมินคนเก่าที่แคว้นเฉิง”
“เรื่องนี้ค่อนข้างยาก ตอนนี้ชายแดนมีสงคราม…”
“ท่านต้องมีวิธีแน่นอน” สีหน้าของนางเย็นชา ท่าทางกลับมั่นใจมาก
หยางเซียวครุ่นคิด ก่อนจะยกมือยอมแพ้และเอ่ยอย่างประนีประนอม “เอาเถิด ข้ารับปากเจ้า”
“ท่านต้องเก็บเรื่องฐานะที่แท้จริงของข้าเป็นความลับ นอกจากนี้ ต้องส่งตัวคนที่ตีขาท่านน้าจิ้งหวั่นจนหักมาให้ข้า”
“ไหนเจ้าว่าเรื่องเดียวอย่างไรเล่า นี่มันตั้งสามเรื่องแล้ว…” หยางเซียวบ่นอิดออด สายตากลับไม่ได้บ่งบอกถึงความไม่พอใจแต่อย่างใด
ซูหลีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ตกลงหรือไม่?”
“ตกลงๆๆ ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่องเลย!” หยางเซียวรับคำรัวๆ ชะโงกหน้าเข้ามามองนาง แล้วถามอย่างประหลาดใจ “ข้ามีคำถามหนึ่ง เหตุใดปานบนหน้าเจ้าจึงหายไปแล้วเล่า?”
ซูหลีไม่ตอบ นางเปิดประตูเรียกพวกหวั่นซินเข้ามา ในห้องที่ปิดสนิท ไม่รู้ว่ามีคนอื่นเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด พวกเขาสี่คนเฝ้าระวังอยู่ข้างนอกกลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ทุกคนตกใจ แต่กลับพร้อมใจกันไม่ถามอะไรมากความ
หยางเซียวได้พบยอดฝีมือสี่คน อดจิ๊ปากไม่ได้ “อาหลีน้อย ท่อนไม้สี่ท่อนนี้เป็นคนของเจ้าหรือ?”
เซี่ยงหลีกลอกตา หมายจะอ้าปากพูด กลับหันไปเห็นสายตาตักเตือนของหวั่นซินเสียก่อน จึงทำได้เพียงแหงนหน้ามองฟ้า
ซูหลีกล่าวอย่างเย็นชา “นำทาง”
หยางเซียวคลี่ยิ้มเบิกบาน “ได้สิ แต่หากเข้าวังแล้ว พวกเจ้าจะพูดจาส่งเดชไม่ได้แล้วนะ” ใบหน้าเกลื่อนยิ้มของเขาไร้ซึ่งแววขี้เล่น แต่กลับเต็มไปด้วยสีหน้าตักเตือน
ทั้งสี่คนลอบตกตะลึง พากันหันไปมองซูหลีแวบหนึ่ง ไม่กล้าพูดมาก เพียงเดินตามหยางเซียวเข้าไปในทางลับเงียบๆ ทางลับเส้นนี้กลับมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวัง พวกเขาเดินเร็วครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว
ที่ตั้งพระราชวังของแคว้นเปี้ยนค่อนข้างสูง ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่เหนือศีรษะ ก้อนเมฆสีขาวแทรกตัวผ่านกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้ประณีตงดงามแต่กลับดูทรงพลังและกว้างขวาง ให้ความรู้สึกงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ สง่างามและยิ่งใหญ่ พาให้ผู้พบเห็นพลันรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา
ไม่ต้องรอให้รายงาน หยางเซียวดึงมือซูหลีเดินเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้งทันที อีกสี่คนที่เหลือรออยู่นอกตำหนัก ขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูค้อมกายทำความเคารพ กลับไม่ห้ามปรามพวกเขาเอาไว้
ฮ่องเต้แห่งแคว้นเปี้ยนอายุย่างเข้าเลขหก ยังคงแข็งแรงและกระฉับกระเฉงดี เพียงแต่กลางหว่างคิ้วเริ่มปรากฏร่องรอยแห่งความชราแล้ว เขาสวมอาภรณ์มังกร นั่งอ่านฎีกาอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร เครื่องหน้าทั้งห้าแบ่งแยกชัดเจน ยังคงความหล่อเหลายามหนุ่มเอาไว้ให้เห็น
“เสด็จพ่อ ดูสิลูกพาผู้ใดมา?” หยางเซียวยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าไปในห้อง น้ำเสียงสดใสกังวานก็ดังนำหน้าเข้าไปก่อนแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนผู้มีอายุเกินหกสิบปีที่กำลังก้มหน้าอ่านฎีกา ครั้นได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าก็พลันปรากฏรอยยิ้ม เขาถามโดยไม่เงยหน้า “เจ้าจะมาไม้ไหนอีก?” น้ำเสียงที่ในยามปกติเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงยามอยู่ต่อหน้าโอรสอันเป็นที่รักเท่านั้นที่จะเต็มไปด้วยความรักของผู้เป็นพ่อเช่นนี้
หยางเซียวก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างกระตือรือร้น ครั้นเห็นบิดาไม่ใคร่สนใจ ยังคงก้มหน้าทำงานต่อ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขารีบสาวเท้าเข้าไป แล้วโวยวายอย่างไม่พอใจ “เสด็จพ่อ! ท่านไม่เชื่อฟังหมอหลวงอีกแล้ว! หมอหลวงบอกว่าท่านต้องพักผ่อนมากๆ อย่าทรงงานจนเหนื่อยล้า!”
เขาแย่งฎีกาในมือฮ่องเต้ไป ฮ่องเต้กลับไม่โกรธเคือง เพียงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทรงอักษร แล้วมองหน้าเขาอย่างเอือมระอา
“เซียวเอ๋อร์ หยุดก่อกวนได้แล้ว! เสด็จพ่อมีเรื่องสำคัญต้องทำ! รีบคืนมา”
“เรื่องสำคัญใดก็ไม่สำคัญเท่ากับคนที่ลูกพามาให้เสด็จพ่อเจอแน่นอน!” หยางเซียวหัวเราะร่าเริง แล้วชี้ไปทางซูหลีราวกับมีความดีความชอบ “เสด็จพ่อ ท่านดูสิ!”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหันไปมองตามนิ้วมือของเขาอย่างสงสัย ครั้นเห็นใบหน้าของซูหลี เขาก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว พู่กันในมือร่วงลงบนโต๊ะทันที
“น้องหญิงซี?!” ฮ่องเต้ขานเรียกอย่างไม่อยากเชื่อ เขาลุกขึ้นด้วยความตกตะลึง
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เงยหน้ามองเขาด้วยความตกตะลึงเช่นกัน ฮ่องเต้ผู้สูงอายุองค์นี้… ‘น้องหญิงซี’ ที่เขาขานเรียก หมายถึงเสด็จแม่ของนาง? หรือว่าเสด็จแม่ของนางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเปี้ยน?
นางชะงักไปเล็กน้อย ฮ่องเต้กลับเดินอ้อมโต๊ะทรงอักษร แล้วเดินมาหานางด้วยสีหน้าตื้นตันสุดแสน เสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งดังก้องอยู่ในตำหนักอันเคร่งขรึมและเงียบงัน ราวกับเสียงฝีเท้านั้นย่ำอยู่ในหัวใจผู้คน
สมองของซูหลีพลันปรากฏภาพใบหน้าก่อนตายของท่านน้าจิ้งหวั่น หัวใจพลันเย็นเยียบ นางก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะทำความเคารพด้วยท่าทีห่างเหินและระแวดระวัง “ซูหลีถวายบังคมฮ่องเต้แห่งแคว้นเปี้ยนเพคะ!”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอึ้งงัน ฝีเท้าที่กำลังสาวไปข้างหน้าพลันชะงักหยุด “ซูหลี?” เขาหลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง ดวงตาพร่ามัวแปรเปลี่ยนเป็นชัดเจน ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของสตรีตรงหน้ามีส่วนคล้ายกับคนผู้นั้นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อสิบแปดปีก่อนถึงเจ็ดแปดส่วน และสีหน้าเย็นชาของสตรีตรงหน้า ก็เหมือนกับสีหน้าของนางยามพบกันครั้งสุดท้ายไม่มีผิด!
“เสด็จพ่อ” หยางเซียวสาวเท้ายาวๆ เข้ามาประคองฮ่องเต้ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “นางไม่ใช่เสด็จอา นางคือท่านหญิงหมิงซีที่ลูกเคยเล่าให้ฟังพ่ะย่ะค่ะ! เป็นอย่างไรบ้าง เหมือนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพยักหน้าเล็กน้อย “เหมือน เหมือนเหลือเกิน! ทั้งดวงตาและคิ้ว ทั้งบุคลิก…ข้ามองหน้าเจ้า เหมือนเห็นน้องหญิงซีเมื่อสิบแปดปีก่อนไม่มีผิด! เจ้า…ชื่อซูหลี? อายุเท่าไรแล้ว?” ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตากลับสับสนสุดแสน มองดวงหน้านางไปมา คล้ายพยายามมองทะลุใบหน้านางเข้าไปค้นหาความทรงจำในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน
ซูหลีก้มหน้าตอบ “ทูลฝ่าบาท ปีนี้ซูหลีอายุสิบเจ็ดแล้วเพคะ”
“อ้อ สิบเจ็ด ช่วงอายุที่ดีที่สุดของสตรี…น้องหญิงซีจากข้าไปตอนอายุเท่านี้พอดี” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกล่าวอย่างหดหู่ จากนั้นก็ถามอย่างทอดถอนใจ “เจ้าเป็นบุตรสาวของนาง? นางเคยพูดถึงข้าให้เจ้าฟังบ้างหรือไม่?”
ไม่เคยเลยสักนิด
และนี่ก็เป็นเรื่องที่ซูหลีสงสัยมาโดยตลอด! ดูจากสีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน เขากับเสด็จแม่น่าจะใกล้ชิดสนิทสนมกันไม่น้อย แต่เหตุใดเสด็จแม่จึงไม่เคยพูดถึงฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนให้นางฟังเลยเล่า?
“ทูลฝ่าบาท ซูหลีเป็นบุตรสาวคนรองของอัครเสนาบดีซูแห่งแคว้นเฉิง ไม่ทราบว่า ‘น้องหญิงซี’ ที่ฝ่าบาททรงกล่าวถึงเป็นผู้ใดหรือเพคะ?” นางเงยหน้าถามอย่างใจเย็น ดูเหมือนไม่สนใจในคำตอบแม้แต่น้อย แต่แท้จริงแล้วมีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่านางเฝ้ารอคำตอบนี้มานานแสนนานแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมองนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “นาง…เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ชื่อหยางซี และนางก็เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากฮ่องเต้แต่กลับมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงหรงซี! ตอนเด็ก นางชอบตามติดข้าที่สุด แต่ครั้นเติบใหญ่…” ราวกับนึกถึงเรื่องราวที่ทำให้ปวดใจ เขาหยุดพูด น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเจ็บปวด “เฮ้อ ยิ่งแก่ก็ยิ่งหวนนึกถึงเรื่องในอดีตได้ง่ายขึ้นดังคาด ข้า แก่แล้วจริงๆ!” เขาถอนหายใจแล้วเดินกลับไปยังโต๊ะทรงอักษร หยางเซียวประคองเขานั่งลง แล้วกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เสด็จพ่อไม่แก่แม้แต่น้อย ท่านเพียงคิดถึงครอบครัวเท่านั้น!”
“ครอบครัว…” ใบหน้าของฮ่องเต้อ่อนโยนขึ้นหนึ่งส่วน “ใช่แล้ว ข้าคิดถึงครอบครัวจริงๆ เพียงแต่เสียดาย นางยังเด็กถึงเพียงนั้นก็…เฮ้อ!” สายตาที่เขามองซูหลีเต็มไปด้วยความคิดถึงอันสับสน แล้วยังมีความเสียใจและเสียดายที่ออกมาจากใจ
…………………………………………………..