กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 329 พานพบอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด! (2)
บนโลกใบนี้มีคนเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน? คนที่เฝ้ามองหญิงที่ไม่ได้รักตนเองอย่างเงียบๆ ถึงสิบกว่าปี ให้เกียรติและปกป้องนางอย่างถึงที่สุด ทั้งยังมอบความรักมหาศาลให้แก่ลูกของนาง
ซูหลีเงยหน้า สีขาวหม่นของเพดานกระโจม เหมือนใบหน้าของชายชราที่แก่ตัวลงช้าๆ อย่างอ้างว้างเดียวดาย
สนามรบอันโหดร้ายไร้ความปรานี เป็นตายยากจะคาดเดา ถึงแม้ยามนี้แคว้นเฉิงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เสด็จพ่อไม่ได้เยาว์วัยดังแต่ก่อนแล้ว และกำลังทหารของแคว้นเปี้ยนก็แข็งแกร่งเกรียงไกร ฮูเอ่อร์ตูและพวกหยางเจิ้นล้วนมิใช่คนธรรมดา นางช่วยทำลายค่ายกลเก้าประตูแปดทิศเพราะสถานการณ์พาไป แต่สงครามครั้งนี้ใครจะแพ้หรือชนะยังไม่อาจคาดเดาได้!
หวนนึกถึงเหล่าคนที่สำคัญกับนางที่สุด เสด็จแม่ตายแล้ว หลีเหยาตายแล้ว แม้แต่ท่านน้าจิ้งหวั่นก็ไม่อยู่แล้ว ยามนี้ครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวของนางก็คือเสด็จพ่อ…นางไม่อาจปล่อยให้เสด็จพ่อเป็นอะไรไปเด็ดขาด ต้องขัดขวางสงครามครั้งนี้ให้ได้
แต่จะทำเช่นไรเล่า จึงจะหยุดสงครามครั้งนี้ได้? ตงฟางเจ๋อเป็นราชาจอมเผด็จการที่ต้องการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนก็เป็นผู้มีความทะเยอทะยานไม่ต่างกัน หากจะยับยั้งสงครามที่ระเบิดไปแล้วครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน!
กลางดึกสงัด ซูหลีขมวดคิ้วแน่น เพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกได้ว่ากระโจมด้านหลังสั่นไหวเล็กน้อย สายลมกรีดพัดเบาๆ เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏกายอยู่ด้านหลังนางอย่างไร้ซุ่มเสียง
เร็วมาก! ไม่ใช่หวั่นซิน!
สายตาของซูหลีฉายแววตื่นตะลึง ขณะที่กำลังจะตวาดถามเสียงต่ำ คนผู้นั้นก็เอื้อมมือออกมาคว้าไหล่นาง! ซูหลีเบี่ยงกายหลบ หมุนกายอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า หมายจะโต้กลับด้วยการซัดฝ่ามือออกไป
ทว่าในเสี้ยววินาทีที่เงยหน้า ซูหลีเบิกตากว้างทันที ท่ามกลางแสงเทียนสลัว ผู้มาสวมชุดสีดำสำหรับเคลื่อนไหวยามราตรี ผ้าคลุมหน้าสีดำทำให้มิอาจแยกแยะเครื่องหน้าทั้งห้าได้ แต่นัยน์ตาที่กระจ่างใสดั่งดวงดารากลางท้องฟ้ายามค่ำคืน กลับสะดุดใจนางทันที!
ตงฟางเจ๋อ!
แม้ว่าฟ้าดินถล่มทลายจนกลายเป็นผุยผงไปต่อหน้า นางก็ยังไม่ตื่นตะลึงเช่นนี้! นางไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้มา…จะเป็นเขา!
ความเจ็บปวดที่พยายามลืมมาโดยตลอดพลันทิ่มแทงร่างนางดั่งกระบี่คม คนที่คิดว่าชาตินี้จะไม่ต้องพบเจออีก กลับมาปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างไม่คาดคิด ทั้งยังรวดเร็วถึงเพียงนี้…นางไม่ทันได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย
ซูหลีอึ้งงัน
ต้องเป็นเพราะนางทำลายค่ายกลเก้าประตูแปดทิศจนทำให้เขาสงสัยแน่นอน แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่กองทัพชายแดนได้เล่า?! เงาร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีดำที่ยืนอยู่บนเนินเขาเล็กๆ พลันผุดขึ้นมาในสมอง
สองกองทัพปะทะกัน ไม่ข้าก็เจ้าต้องตายกันไปข้าง เขาที่มีฐานะเช่นนี้ กลับกล้าบุกเข้ามาในกองทัพศัตรูยามวิกาล หากมิใช่มั่นใจในตนเองเกินไป ก็คงบ้าคลั่งเกินไป!
“เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงสามารถทำลายค่ายกลเก้าประตูแปดทิศได้?” เขาจ้องดวงตาที่อยู่ด้านหลังหน้ากากของนาง เสียงทุ้มต่ำสะท้อนอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอย่างไม่อาจปกปิด
ซูหลีพลันได้สติ ควบคุมความตื่นตะลึงในใจ รีบยกมือดับเทียน ทั้งกระโจมเข้าสู่ความมืดมิดทันที นางรีบถอยกรูด หมายจะเว้นระยะห่างกับเขา เขากลับไล่ตามนางมาดั่งเงา ท่ามกลางความมืด สายตาของเขาเหมือนดั่งเปลวเทียน จ้องนางเขม็ง เอื้อมมือเข้ามาหานางโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด
นางหมุนกายพาตัวเองไปอยู่ด้านหลังเขาอย่างรวดเร็วดั่งภูตผีวิญญาณ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางซัดฝ่ามือไปที่ต้นคอเขาเต็มแรง เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก กำลังภายในของสตรีตรงหน้าเหนือกว่าคนที่อยู่ในความทรงจำของเขาหลายเท่า กลิ่นอายเย็นชาและเด็ดเดี่ยวให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่ก็ห่างเหินเหลือเกิน
เรี่ยวแรงที่นางซัดออกมาทั้งรุนแรงและโหดเหี้ยม เคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่นึกไม่ถึงเขากลับเร็วกว่านาง หมุนกายเอื้อมมือข้างหนึ่งเกี่ยวเอวบาง มืออีกข้างคว้าฝ่ามือที่ซัดเข้ามาของนาง หมายจะดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน
ครั้นเห็นว่าตนเองกำลังจะถูกจับ สายตาของซูหลีเย็นเยียบ นางรีบพลิกข้อมือและซัดไปที่แผงอกกำยำของเขา
แสงจันทร์นอกกระโจมสว่างสดใส ประกายสีขาวสว่างวาบพาดผ่านแผงอกกำยำของบุรุษ แหวนหยกขาววงหนึ่งปรากฏสู่ครรลองสายตาของนาง สายตาของซูหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฝ่ามือที่กำลังซัดออกไปพลันชะงักทันที นั่นเป็นของดูต่างหน้าเพียงชิ้นเดียวที่เสด็จแม่เหลือไว้ให้นาง นางมีหรือจะกล้าทำให้มันเสียหายได้?
เพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ ทำให้สายตาของบุรุษที่เดิมทีเต็มไปด้วยความสงสัย พลันมีรัศมีแห่งความยินดีพาดผ่านทันที ราวกับว่าความสงสัยในใจได้รับการยืนยันแล้ว
ซูหลีตึงเครียด เขาถึงขั้นใช้วิธีนี้มาทดสอบนาง?! นางรีบเปลี่ยนเป็นเอื้อมมือออกไปหมายจะแย่งชิง เขาที่เตรียมตัวรับมือแต่แรกกลับลงมือรวดเร็วกว่า นิ้วมือเรียวยาวจับหน้ากากบนหน้านางได้แล้ว…
ซูหลีตกตะลึง จำต้องดึงมือกลับมาปัดป้อง นึกไม่ถึงเขากลับเลื่อนมือลงมากอดนางไว้แน่น!
“ซูซู นั่น…เจ้าใช่ไหม?” เสียงขานเรียกเบาๆ ฟังดูแหบพร่า และแฝงไว้ด้วยความตื่นตะลึงอย่างที่ไม่อาจหาคำพูดมาพรรณนาได้ ราวกับเสียงพึมพำในความฝันอันสิ้นหวังในค่ำคืนอันเงียบสงัด
สรรพสิ่งในโลก ราวกับหยุดนิ่งไปในพริบตา
ภายในกระโจมอันมืดมิดเงียบงันไร้เสียง มีเพียงเสียงหายใจและเสียงใจเต้นของบุรุษตรงหน้าที่ดังก้องอยู่ในประสาทสัมผัสของนางอย่างคุ้นเคย พาให้หัวใจที่สงบเงียบมาตลอดหลายเดือนของนางบังเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมทันที
ซูหลีตัวสั่นเล็กน้อย พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่มิอาจควบคุมนี้เอาไว้ แต่ในขณะที่นางเผลอไผล เขากลับโอบกอดนางและพานางกลิ้งตัวลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว
ร่างกายสูงใหญ่คร่อมอยู่เหนือตัวนาง กลิ่นกายหอมสะอาดของเขาลอยปะทะเข้ามา คุ้นเคยเสียจนทำให้นางตกใจ! ภาพความทรงจำอันคุ้ยเคยประดังประเดเข้ามาในสมองซูหลี ความรักอันตราตรึงในอดีต ยามนี้กลับกลายเป็นเหมือนลูกธนูที่ทิ่มแทงหัวใจ เจ็บปวดจนยากจะทานทนไหว
ซูหลีซัดฝ่ามือออกไป ต้องการจะผลักเขาลงจากเตียง แต่กลับถูกเขาคว้ามือไว้แน่น
เอวที่อยู่ใต้ฝ่ามือใหญ่ ยังคงบอบบางนุ่มนวลดังเช่นในความทรงจำ มือของนาง เขาเคยกุมมานับครั้งไม่ถ้วน ลายละเอียดทุกกระเบียดนิ้วล้วนสลักลึกไว้ในใจของเขาแล้ว
เขากอดนางไว้อย่างนั้น ไม่กล้าคลายมือแม้แต่น้อย ราวกับหากปล่อยมือ นางก็จะหายตัวไปต่อหน้าต่อตา สัมผัสนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก คุ้นเคยจนทำให้เขาทั้งดีใจและปวดใจในเวลาเดียวกัน
“ซูซู?” เขาขานเรียกนางเสียงเบาอีกครั้ง ในน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไว้ด้วยแววลนลานแหบพร่า สายตาที่จ้องมองนางบ่งบอกถึงความดีใจจนมิอาจปิดบัง
สายตาของนางเย็นชาห่างเหินจนมองไม่เห็นคลื่นอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย
ทั้งสองจ้องตากันท่ามกลางความมืด เงียบงันไร้เสียง
นางไม่เอ่ยปาก เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยมือนางออก หมายจะถอดหน้ากากนาง สายตาของซูหลีไหวระริก ฉวยโอกาสตอนเขาเผลอ หยิบมีดสั้นที่อยู่ข้างหมอน แล้วแทงออกไปอย่างรวดเร็ว
ประกายเย็นเยียบของอาวุธพาดผ่านในความมืด คมมีดสว่างจ้าส่องให้เห็นความเฉียบขาดและไม่แยแสในดวงตาของนาง โหดเหี้ยมจนทำให้เขาปวดไปทั้งใจ
เขาไม่หลบไม่หนี ยังคงเอื้อมมือไปที่หน้ากากของนาง ปล่อยให้คมมีดแหลมๆ แทงเข้าไปในแขนอย่างไร้ความปรานี มือเขาชะงักหยุดอย่างไม่อาจควบคุม โลหิตสีแดงสดไหลอาบลงมาตามอาภรณ์สีดำ แล้วไหลลงบนหน้าอกนางทีละหยดๆ ราวกับเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากหัวใจนางเอง อาบย้อมจนสีแดงฉานเสียดแทงนัยน์ตา
ความรู้สึกเจ็บแปลบวิ่งผ่านหัวใจ ซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งใจ! นิ้วมือเรียวคลายออกโดยไม่รู้ตัว มีดสั้นหล่นลงบนเตียง แสงสว่างอันเย็นยะเยือกส่องให้เห็นนิ้วมือบอบบางที่กำลังสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ความเจ็บปวดทำให้ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้น ดวงตากลับจดจ้องมองนางแน่นิ่ง นิ้วมือยังคงกำหน้ากากของนางไว้แน่น
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ พลันได้สติราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน เขาต้องการถอดหน้ากากเพื่อยืนยันตัวตนนาง! ฉะนั้นนางจึงไม่แม้แต่จะคิด เงยหน้าขึ้นไปหาเข้าอย่างรวดเร็ว
……………………………………………………………….