กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 341 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (5)
ซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งใจ พลันตระหนักได้ถึงจุดประสงค์ที่เขาปิดประตูหน้าต่างทันที เขาไม่อยากถูกภาพลวงทำให้สับสนอีกแล้ว เขาต้องการอาศัยสภาพแวดล้อมแสวงหาความรู้สึกในอดีต เพื่อยืนยันตัวตนของนาง!
กลีบปากแดงภายใต้หน้ากากกระตุกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นอ่อนโยน ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร วันนี้นางจะต้องชิงแหวนกลับมาอย่างสุดความสามารถให้ได้! ซูหลีไม่วอกแวกอีก นางจ้องมองเงาร่างสูงใหญ่อันคุ้นเคยที่ยืนอยู่ท่ามกลางเงามืด ประกายเยือกเย็นพาดผ่านดวงตา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ดาบสั้นในแขนเสื้อเลื่อนมาอยู่กลางฝ่ามืออย่างเงียบเชียบ นางกระชับดาบแน่น ท่ามกลางความมืดมิด ดาบอันแหลมคมส่องประกายเย็นเยียบ พุ่งตรงไปที่หัวใจของตงฟางเจ๋ออย่างไม่ลังเล!
เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หลับตาลงเบาๆ ด้านหลังเป็นผนังแข็งแรง ไม่มีทางให้ถอยหนีอยู่แล้ว
ซูหลีเบิกตากว้าง เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นนั้นจะรนหาที่ตายหรือไร? หรือกำลังวางเดิมพันว่านางจะกล้าฆ่าเขาหรือไม่? ชั่วพริบตาเดียว อารมณ์ของนางสับสนแปรปรวน นางลังเลไปชั่วขณะ ทว่าคมดาบยังคงพุ่งตรงไปยังหัวใจของเขา
ขณะที่ดาบอยู่ห่างจากหัวใจของเขาเพียงหนึ่งนิ้ว ตงฟางเจ๋อพลันเบี่ยงร่างหลบไปทางขวา ร่างกายเขาหมุนคว้างกลางอากาศเหมือนภูตผี ไปยืนอยู่ข้างหลังซูหลีทันที
ซูหลีรีบหมุนกายและแทงดาบออกไปอีกครั้ง แต่กลับพบว่าเขาไม่อยู่แล้ว นางเบิกตากว้าง พยายามค้นหาตำแหน่งของเขาท่ามกลางความมืด
อุณหภูมิอุ่นๆ ลอยโชยลงมาเหนือศีรษะ นั่นเป็นกลิ่นอายที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี กลิ่นอายของเขา
นางพาร่างกายตนเองทะยานขึ้นกลางอากาศ ซัดฝ่ามือจู่โจมออกไปอย่างรุนแรง เขารีบหมุนตัวกลางอากาศ ซูหลีซัดมือซ้ายออกไปเพื่อหลอกล่อ ก่อนจะตวัดแขนขวาในแนวขวางไปยังตำแหน่งของเขาอย่างแม่นยำ ได้ยินเพียงเสียงฉีกขาดดัง ‘แควก’ แขนเสื้อสีดำครึ่งหนึ่งหลุดออกจากแขนเขา แล้วค่อยๆ ร่วงลงบนพื้น
“ไม่เจอกันหลายวัน กำลังภายในของเจ้าเหมือนจะพัฒนาขึ้นมาก ผู้ใดสอนเจ้า?” ตงฟางเจ๋อพลันเอ่ยขึ้นเบาๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาเหมือนสุรารสเข้มที่ชวนให้เมามาย เมื่ออยู่ท่ามกลางความมืด ยิ่งฟังดูไพเราะรื่นหู และมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
ซูหลีกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ท่านเดาผิดแล้ว ไม่มีผู้ใดสอนข้า” เขาเอาแต่หลบหลีกไม่โต้กลับ หมายจะหลอกล่อให้นางลงมือเพื่อแสดงกระบวนท่าให้มากที่สุด วรยุทธ์อันน้อยนิดของซูหลีในอดีต เขารู้จักเป็นอย่างดี นางลอบขมวดคิ้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การต่อสู้จะจบลงเมื่อใด
คล้ายสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของนาง ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดมากความ พาร่างกายทะยานขึ้นกลางอากาศ เงาร่างสูงใหญ่พุ่งตรงเข้ามาหาซูหลีอย่างรวดเร็ว
ซูหลีตึงเครียด ไม่กล้าดูเบาศัตรู ดาบสั้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายคมปลาบและเยือกเย็น พลันแปรเปลี่ยนเป็นเงาทับซ้อนนับไม่ถ้วน ยากจะแยกแยะจริงเท็จ
เงาร่างสองสายต่อสู้กันอย่างดุเดือด เงาร่างเหมือนดั่งมังกรที่แหวกว่ายกลางอากาศ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสีหมึกอันเข้มข้นในห้องโถงแห่งนี้
ยิ่งสู้กันซูหลีก็ยิ่งตกตะลึง นางแทบจะสู้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงอาศัยกำลังภายในอันแข็งแกร่งฉีกอาภรณ์เขาขาดได้ไม่กี่จุดเท่านั้น มิอาจประชิดเข้าใกล้เขาได้เลยแม้แต่น้อย
นางรู้แต่แรกแล้วว่าตงฟางเจ๋อเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งที่หาตัวจับยากในยุคนี้ แต่นางนึกไม่ถึงว่าหลังจากที่ได้รับวรยุทธ์ของน้าจิ้งหวั่นที่ฝึกฝนมานานสิบกว่าปีแล้ว นางก็ยังห่างชั้นกับเขามากถึงขนาดนี้ นางแทบไม่กล้าจินตนาการว่ากำลังภายในของเขาแข็งแกร่งถึงขนาดไหนแล้ว?! หากเป็นอย่างนี้ต่อไป การต่อสู้จะหยุดลงเมื่อไหร่เล่า? หรือว่านางต้องแพ้? ไม่ นางแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ครั้นสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของเขาที่ซัดเข้ามาจากข้างหลัง หัวใจของนางพลันสะดุด ความลังเลทำให้นางเคลื่อนไหวช้าไปครึ่งก้าว พลังงานรุนแรงสายหนึ่งตวัดผ่าน กรีดเสื้อด้านหลังของนางจนขาด กลายเป็นรอยฉีกยาวๆ
ผิวกายอันเนียนนุ่มพลันรู้สึกเจ็บแปลบ นางกลั้นหายใจ พยายามข่มกลั้นความเจ็บไว้
ในตอนนี้เอง ตงฟางเจ๋อพลันปรากฏตัวตรงหน้านาง ซูหลีตกตะลึง สูดหายใจแล้วรีบถอยกรูด เขาไล่ตามมาติดๆ นึกไม่ถึงเพิ่งจะก้าวถอยไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่กลับสายไปเสียแล้ว แผ่นหลังของนางพุ่งชนเข้ากับผนังแข็งแรงด้านหลัง!
แต่ทว่า ผิวกายที่โผล่พ้นร่มผ้าถูกแขนแข็งแรงข้างหนึ่งโอบกอดไว้ ผ่อนแรงกระแทกให้เบาลง ผิวกายอันอบอุ่นสัมผัสใกล้ชิดกันอย่างกะทันหัน นางสะท้านไปทั้งใจ เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นดวงตาของเขาเปล่งประกายอยู่ท่ามกลางความมืด ความรู้สึกอันลึกซึ้งสะท้อนอยู่ในดวงตาลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ ซูหลีพยายามหลบสุดกำลัง แต่กลับถูกเขาตรึงร่างติดกับผนังด้านหลัง ไม่อาจขยับเขยื้อน!
เขาก้มหน้าเล็กน้อย นางเบนหน้าหนีโดยสัญชาตญาณ สัมผัสได้เพียงลมหายใจอุ่นร้อนที่พ่นออกมาจากกลีบปากของเขา คลอเคลียผิวหนังงามละเอียดข้างใบหูของนางเบาๆ นั่นเป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุดของนาง ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม แทบจะยืนไม่อยู่
มือของเขาเอื้อมไปกุมมือนางที่แนบอยู่ข้างกายอย่างเป็นธรรมชาติ ไออุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ ซูหลีกลับเจ็บปวดหัวใจเหมือนถูกมีดกรีด ประกายดาบพาดผ่าน มือที่ถือดาบสั้นไว้ยกขึ้นจ่อลำคอของเขา นางออกแรงดัน พยายามจะบังคับให้เขาถอยออกไป
“ปล่อยข้า!” นางตวาดเสียงต่ำ
“ซูซู ซูซู” ตงฟางเจ๋อขานเรียกเบาๆ เขาเหมือนไม่เห็นการข่มขู่ของนาง ยามนี้หัวใจของเขาพลุ่งพล่าน คำถามในใจได้รับการยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว
เพียงไม่กี่วัน วรยุทธ์ของนางแข็งแกร่งขึ้นมาก ทำให้เขาเคยสงสัยว่าตนเองตามหาผิดคน แต่ไม่นานเขาก็มั่นใจว่าตนเองคิดไม่ผิด เพราะว่าความรู้สึกของเขาไม่มีทางโกหกตนเองแน่นอน ยี่สิบกว่าปีมานี้ เขาไม่เคยมีความรู้สึกพิเศษเช่นนี้กับสตรีใดเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงนางเท่านั้น
กลิ่นอายหอมสะอาดบนกายเขาคล้ายห่อหุ้มรอบกายนาง หน้ากากสีเงินก็มิอาจขวางกั้นความร้อนรุ่มนั้นไว้ได้ นางกัดฟันแน่น กล่าวเสียงเย็นชา “ท่านเป็นถึงกษัตริย์แห่งแคว้น กลับไร้มารยาทกับสตรีนางหนึ่งถึงเพียงนี้ หากท่านยังไม่ปล่อย ก็อย่าหาว่าไม่เกรงใจ!”
คมดาบในมือประชิดเข้ามาอีกหลายส่วน หากใกล้เข้าไปอีกหนึ่งส่วนต้องกรีดเข้าไปในผิวหนังเป็นแน่
“ข้าไม่มีทางปล่อย! ไม่มีทางปล่อยไปตลอดชีวิต!” เขาคำรามเสียงต่ำ วาจาหนักแน่นไร้ที่เปรียบ ปลายจมูกจรดอยู่บนหน้ากากสีเงินอันเย็นเยียบ ร่างกายของทั้งสองแนบชิดติดกัน ไม่เหลือช่องว่างแม้แต่น้อย ราวกับหากเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียว ก็อาจทำให้เกิดประกายไฟอันร้อนแรง เช่นเดียวกับในอดีต ยามที่ความรู้สึกเสน่หาก่อตัวจนหวานซึ้งนับครั้งไม่ถ้วน
นางเหยียดร่างตรงแน่ว ไม่กล้าขยับส่งเดช สมองกลับคิดหาทางออกอย่างเร่งด่วน
ความทรงจำอันอบอุ่นถาโถมเข้ามาในสมองเหมือนกระแสน้ำขึ้น ความอ่อนหวานของนางอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า เขายากจะควบคุมตนเอง เกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงแผ่วเบา “ซูซู กลับไปกับข้าดีหรือไม่? พวกเราเริ่มต้นกันใหม่ เจ้าต้องการสิ่งใด อยากทำอะไร ข้ายอมทั้งนั้น ขอเพียงอย่าจากข้าไปไหนอีก” พูดไป เขาก็ยกมือขึ้นจับขอบหน้ากากของนาง
ซูหลีไม่ขัดขืน นางพลันยกมือกุมใบหน้าของเขา สัมผัสนุ่มนวลเรียบลื่นยังคงเป็นเหมือนในอดีต ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ อึ้งงันไปชั่วขณะ ปล่อยให้นิ้วมือเรียวบางของนางลูบไล้ไปตามเครื่องหน้าอันงดงามของเขาอย่างแผ่วเบา
ปลายนิ้วเรียวบางค่อยๆ ลูบไล้ไปถึงคางที่มีสัดส่วนสมบูรณ์แบบของเขา ก่อนจะเลื่อนลงไปอีก
เป็นนาง…เป็นนางจริงๆ! หัวใจของเขาเต้นอย่างบ้าคลั่ง ความยินดีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเหมือนคลื่นที่ซัดสาดชายฝั่ง จู่โจมความใจเย็นและสติปัญญาที่เขาพยายามรักษาเอาไว้อย่างต่อเนื่อง เขาหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว เพื่อรับรู้สัมผัสที่ทำให้หัวใจเต้นแรงหลังจากห่างหายไปนาน
เสี้ยววินาทีที่หลับตา เขาไม่เห็นแววเย็นชาที่พาดผ่านดวงตาของนาง
มือข้างที่ถือดาบของซูหลีเคลื่อนขยับอย่างเงียบงัน ปราณดาบอันคมปลาบตัดเชือกสีแดงที่ร้อยแหวนหยกขาวเอาไว้ นิ้วมือบางงอขึ้นเพื่อรองรับแหวนไว้กลางฝ่ามือ ขณะเดียวกัน นางชักมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และซัดฝ่ามือออกไปที่หัวไหล่ของเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี!
………………………………………….