กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 344 ไม่มีวันปล่อยมือ (3)
เบื้องล่างแท่นบูชาเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามอีก
ซูหลีเหล่มองสองผู้อาวุโส แล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทั้งสองท่านมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง สร้างคุณประโยชน์แก่ลัทธิเรามากมาย ให้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโส และดูแลจัดการเรื่องราวในลัทธิต่อไป”
สีหน้าของเสวียนจิ้งกับเสวียนฟงผ่อนคลายลง บรรยากาศกระอักกระอ่วนพลันจางหายไป เสวียนจิ้งโบกมือ คนผู้หนึ่ง ประคองจานหยกลวดลายสวยงามเดินขึ้นมาจากด้านล่าง ในจานหยกมีกล่องสีดำประณีตใบหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง
เสวียนจิ้งเปิดกล่องเบาๆ ด้านในมียาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่ง
“นี่คือยาไร้รัก ทันทีที่กิน จะมิอาจมีความรักได้อีกตลอดชีวิต มิเช่นนั้นชีพจรจะย้อนกลับ เจ็บปวดเหมือนโดนลูกธนูนับหมื่นยิงทะลุหัวใจ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ลัทธิเราสูญเสียผู้นำเหมือนที่เคยเกิดขึ้น ท่านธิดาเทพโปรดกินยานี้ด้วย”
ยาลูกกลอนสีดำปรากฏอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมประหลาดลอยโชยมารางๆ นิ้วมือของซูหลีที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อสั่นเล็กน้อย นางเพียงยืนจ้องยาเม็ดนั้นอย่างนิ่งงัน ความรู้สึกสับสนวุ่นวายประดังประเดเข้ามาในใจ จนมิอาจทำใจให้สงบได้
สายตาของพวกหวั่นซินแปรเปลี่ยนเป็นหนักใจ ชั่วขณะหนึ่งภายในวิหารเงียบงันจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจอันแผ่วเบา ซูหลีเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปชั่วขณะ ราวกับมีใบหน้าของคนผู้หนึ่งลอยชัดอยู่ตรงหน้านาง ความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาเขาพาให้หัวใจนางรู้สึกเจ็บแปลบอย่างมิอาจควบคุม
“คุณหนูเจ้าคะ?!”
เสียงเรียกเบาๆ ของหวั่นซินดึงความคิดของนางกลับมา ซูหลีพลันได้สติ เพ่งมองยาลูกกลอนสีดำลูกเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าราวกับนั่นมิใช่ยาพิษที่จะทำให้หัวใจด้านชา แต่เป็นยาที่วิเศษที่สุดในโลก ตลอดมาเรื่องใดที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะยากเพียงใด นางก็ไม่เคยลังเล เมื่อก่อนเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น
ซูหลีสลัดความรู้สึกอันสับสนวุ่นวายออกไป แล้วยื่นมือหยิบยาไร้รักเม็ดนั้นมา นิ้วมือเรียวบางดั่งหยกของนางถูกสีดำของยาขับเน้นให้ยิ่งซีดขาวขึ้นไปอีก สายตาของนางหนักแน่น ยกมือขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว กลีบปากแดงสัมผัสถูกเม็ดยาแล้ว
“ช้าก่อน!” นอกวิหาร เสียงตวาดเสียงหนึ่งพลันดังเข้ามา ราวกับผืนฟ้าและแผ่นดินเปลี่ยนสีไปทันที
ครั้นได้ยินเสียงนี้ พวกหวั่นซินตกตะลึง ซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือที่ยกขึ้นพลันค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น นางเงยหน้ามอง ก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่งเหมือนดั่งนกอินทรีที่กางปีกทะยานขึ้นฟ้า บินโฉบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าเหล่ายอดฝีมือในยุทธภพที่ไม่ว่าผู้ใดได้ยินชื่อล้วนอกสั่นขวัญแขวนหลายร้อยคน เงาร่างนั้นกลับเข้ามาราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดอยู่
ผู้มาสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสีดำ รัดเกล้าสีทอง ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีผู้ใดเปรียบดังเดิม มีเพียงความเจ็บปวดและความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนที่สะท้อนชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ส่งยาไร้รักมาให้ข้า! เจ้ากินไม่ได้!” เขารีบสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้า เอื้อมแขนออกไปหมายจะแย่งชิง
สายตาของซูหลีขรึมลง นางพาร่างทะยานขึ้นกลางอากาศ พริบตาเดียวก็ถอยห่างไปไกล พวกหวั่นซินรีบชักดาบและพุ่งเข้ามาคุ้มกันด้านหน้านาง
ตงฟางเจ๋อจ้องมองซูหลีที่อยู่ห่างออกไปหลายก้าว กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “หลีกไป” เสียงของเขาไม่ดังมาก แต่กลับคมปลาบและเยือกเย็น แขนเสื้อของเขากระเพื่อมไหวราวกับมีคลื่นน้ำก่อตัว ไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวปะทะเข้ามาโดยตรง คล้ายต้องการทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่าง
พวกหวั่นซินถูกพลังอันแข็งแกร่งขุมนี้บีบบังคับให้ถอยหลัง สีหน้าพลันเปลี่ยน ฉินเหิงหมายจะก้าวเข้าไปอีกครั้ง แต่กลับถูกเซี่ยงหลีรั้งไว้ พวกเขาสื่อสารกันด้วยสายตาที่รู้กันเพียงสองคน หวั่นซินกับเจียงหยวนเองก็หยุดด้วยเช่นกัน ทั้งสี่ใจตรงกัน ถ้าหากตงฟางเจ๋อขัดขวางซูหลีมิให้กินยาไร้รักได้ กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดี
“ผู้ใดบังอาจถึงเพียงนี้! ถึงขั้นกล้าบุกเข้ามาในแท่นบูชาของลัทธิเรา? เร็วเข้า จับตัวเขาไว้!” ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งตวาดสั่งเสียงเข้ม กลุ่มคนที่อยู่ในวิหารจึงได้สติ ชักดาบออกมาและล้อมเขาไว้
ใบหน้าของเซิ่งฉินและเซิ่งเซียวที่ติดตามตงฟางเจ๋อมาพลันเปลี่ยนสี พวกเขารีบคุ้มกันตงฟางเจ๋อทันที บรรยากาศตึงเครียดแผ่ปกคลุมวิหารกลางน้ำอันงดงามแห่งนี้ในพริบตา
ครั้นเห็นว่าการต่อสู้อันดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หัวใจของซูหลีดิ่งลงทันที ในส่วนลึกของนัยน์ตาที่เรียบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ มีแววสั่นไหวเล็กน้อย
ทุกคนพุ่งตัวเข้ามาหมายจะสังหารตงฟางเจ๋อ เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวชักดาบออกมาทันที การต่อสู้นองเลือดกำลังจะเกิดขึ้นในวินาทีถัดไป ซูหลีขมวดคิ้ว ตวาดเสียงเย็นชา “หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ท่านธิดาเทพเหตุใดต้องขัดขวาง? กฎของลัทธิเรา ผู้ใดบุกรุกเข้ามา ฆ่าไม่เว้น” ใบหน้าของผู้อาวุโสเสวียนจิ้งตึงเครียด น้ำเสียงแฝงแววตักเตือน จ้องมองยาในมือซูหลีเขม็ง เหมือนกำลังบอกกับนางว่า ทันทีที่นางเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ก็ไม่อาจถอยกลับออกไปได้อีกแล้ว หากไม่กินยาไร้รัก แล้วรับตำแหน่งธิดาเทพ ก็อย่าได้คิดจะออกไปจากที่นี่!
ซูหลียิ้มเย็นเล็กน้อย “ผู้อาวุโสมั่นใจหรือว่าสามารถฆ่าคนผู้นี้ได้?”
เสวียนจิ้งอึ้งงัน เมื่อครู่ ทั้งเงาร่างและความเร็วของบุรุษรูปงามผู้นี้ นับได้ว่ายอดเยี่ยมและพบเจอได้ยากมากจริงๆ! เกรงว่าในวิหารแห่งนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้! แต่จะให้เขาผู้เป็นอาวุโสแห่งลัทธิยอมรับต่อหน้าธารกำนัลว่าวรยุทธ์ของตนเองสู้คนอื่นไม่ได้ จะไม่น่าอับอายเกินไปหน่อยหรือ? ใบหน้าของเขากระตุกสั่น เขากล่าวเสียงเย็นชา “ถึงแม้ข้าน้อยสู้เขาไม่ได้ แต่จะขอสละชีพเพื่อลัทธิเรา เพื่อเป็นเกียรติแก่ลัทธิธิดาเทพที่มีรากฐานมายาวนานหลายร้อยปี! ทุกคนจงฟัง วันนี้ห้ามปล่อยให้คนผู้นี้รอดไปได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นภายหน้าลัทธิธิดาเทพจะมีหน้าอยู่ในยุทธภพอีกได้เช่นไรกัน?!”
เสียงของเขาเหมือนเสียงระฆังที่ดังก้องไปทั่ววิหาร ปลุกใจกลุ่มคนให้เดือดพล่าน เสียงคำรามห้ำหั่นดังก้องฟ้า
ซูหลีขมวดคิ้ว กล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ “ดี วันนี้พวกท่านต้องการสละชีพเพื่อลัทธิ ถือเป็นเรื่องน่ายกย่อง ข้าที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งธิดาเทพคงต้องเตรียมเก็บศพพวกท่านแล้ว เกรงว่าภายหน้าในยุทธภพจะไม่มีลัทธิธิดาเทพ หรือรากฐานอันใดอีก กลายเป็นเพียงเรื่องตลกขบขันเท่านั้น!”
เสวียนจิ้งหน้าเขียว ตะโกนเสียงดัง “ท่านธิดาเทพ! ลัทธิเรามีกำลังคนนับร้อย หนึ่งเสียงเรียกหา ร้อยคนขานรับ ยังต้องหวาดกลัวคนนอกเพียงคนเดียวอีกหรือ?”
ซูหลีก้าวเข้ามาหาเขาอย่างแช่มช้า “ท่านเรียกข้าว่าอย่างไรนะ?”
เสวียนจิ้งอึ้งไปเล็กน้อย “ท่านธิดาเทพ!”
“ตามกฎลัทธิ ลบหลู่เบื้องสูง ไม่ฟังคำสั่ง สมควรถูกลงโทษเช่นไร?” นางจ้องหน้าเสวียนจิ้ง น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ ทว่าสายตากลับไม่บ่งบอกอารมณ์
เสวียนจิ้งถึงขั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เสวียนฟงกล่าวเสียงขรึม “ผู้ขัดขืนคำสั่งต้องถูกตัดหัวโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น!”
ซูหลีกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เหงื่อเย็นเริ่มผุดพรายบนหน้าผากของเสวียนจิ้ง
“เห็นแก่ที่ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งเป็นผู้มีผลงาน กอปรกับวันนี้เป็นวันมงคลที่ข้าขึ้นสืบทอดตำแหน่ง ข้าจะไม่เอาผิดท่าน ยังไม่ถอยลงไปอีก?!”
ใบหน้าของเสวียนจิ้งซีดขาวสุดขีด คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ในลัทธินี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้มาก่อนสักครั้ง! ประกายเย็นยะเยือกพาดผ่านดวงตา ทว่าในที่สุดเขาก็โบกมือ แล้วถอยกลับไปยืนตำแหน่งเดิม ครั้นเห็นว่าเขายอมอ่อนข้อ คนอื่นๆ ต่างก็ไม่กล้าส่งเสียงคัดค้าน
ผู้อาวุโสเสวียนฟงเห็นเหตุการณ์ จึงถามเสียงขรึม “ท่านธิดาเทพรู้จักผู้มาหรือ?”
ซูหลีไม่ตอบ สายตาของนางที่จดจ้องตงฟางเจ๋อเย็นชาและไม่แยแสเหมือนกำลังมองอากาศธาตุ
เกรงว่าผู้ใดมีตาก็คงดูออกทั้งนั้น พวกเขาใช่เพียงรู้จักกันธรรมดาเสียที่ไหน! คุณชายรูปงามบุคลิกไม่ธรรมดาผู้นี้ กับธิดาเทพที่เพิ่งขึ้นสืบทอดตำแหน่งใหม่จะต้องมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกันอย่างแน่นอน
“ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่มีธุระใด?” ซูหลีถาม เสียงแหบต่ำและแปลกหูสะท้อนความเย็นชาไม่แยแสได้เป็นอย่างดี
สายตาของตงฟางเจ๋อหม่นหมอง เขาก้าวเข้าไปข้างหน้า กล่าวอย่างหนักแน่น “ข้ามาพาเจ้าไปจากที่นี่”
ซูหลีเอียงหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านเป็นผู้ใด แล้วข้าเป็นผู้ใด คิดจะพาข้าไปจากที่นี่? ไม่คิดว่าตนเองโอหังเกินไปหน่อยหรือ!”
ปะทะกันสามครั้ง เขายังคงไม่เห็นหน้านาง แต่กลับมั่นใจถึงเพียงนี้ว่านางคือคนที่เขากำลังตามหา!
“ซูซู…”
“ทูตทั้งสี่ส่งแขก” ไม่รอให้เขาพูดอะไร นางหันหลังให้เขาอย่างเย็นชา คำสั่งส่งแขก ไร้ซึ่งความรู้สึกปะปน
“เชิญ!” พวกหวั่นซินก้าวเข้ามา ส่งสัญญาณให้เขาไปจากที่นี่เสีย ตงฟางเจ๋อทำเหมือนไม่ได้ยิน ผลักพวกเขาออก แล้วสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไปคว้าแขนซูหลี ตวาดถามเสียงโกรธเกรี้ยวระคนร้อนใจ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?!”
………………………………………………..